บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 220 วันนองเลือดแห่งเขาประจิม
ตอนที่ 220: วันนองเลือดแห่งเขาประจิม
นครหลวงอวี้จิง
ภายในตำหนักขององค์ชายรองที่กว้างใหญ่ไพศาล
ในห้องลับหนึ่ง ธูปในกระถางมอดไหม้จนม้วนงอ
โจวจื่อคุน องค์ชายรองผู้ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘ราชาลมปราณ’ โดยองค์จักรพรรดิแห่งต้าโจวเมื่อสองปีที่แล้ว นั่งอยู่ภายในห้องด้วยสีหน้าที่มืดมน
ขณะนี้ในมือของเขากำจดหมายลับจากมหานครกุ่นโจวแน่นจดยับยู่ยี่
สาส์นในจดหมายเขียนอย่างชัดเจนว่ากลุ่มคนที่นำโดยเซี่ยงเทียนชิวทั้งหมดถูกสังหารจนหมดสิ้นไม่เหลือแม้เพียงหนึ่งบนยอดเขาประจิมทิศ
ในหมู่ผู้ตายมีทั้ง เยว่จางหยวนแห่งตระกูลซู และยังมีปรมาจารย์ขั้นห้าอย่าง ฉินฉางซาน!
ทว่าทางด้านขององค์ชายหกกลับไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตายแม้แต่หนึ่งคน!
ในจดหมายลับยังวิเคราะห์ด้วยว่าผู้ที่น่าจะช่วยองค์ชายหกตัดสินผลลัพธ์ต้องสงสัยว่าเป็นซูอี้!
น่าเสียดายที่ในจดหมายไม่ได้อธิบายรายละเอียดอะไรนักว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบนยอดเขา ซึ่งทำให้โจวจื่อคุนรู้สึกโกรธเป็นที่สุด
“พี่รอง ในเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นผ่านพ้นไปแล้ว เหตุใดท่านจึงต้องมีโทสะกับมันด้วยเล่า? สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือท่านควรจะสนใจความคิดอ่านของบิดาเราเสียมากกว่า”
โจวจือเจิ้น องค์ชายลำดับสามกล่าวอย่างจริงจัง “ในความคิดข้า การกระทำของน้องหกครั้งนี้นั้นโหดร้ายและอหังการจนเกินไป การนองเลือดระดับนี้จะก่อให้เกิดความวุ่นวายในแคว้นกุ่นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ข้าแน่ใจว่าพระบิดาของเราคงไม่น่าจะพอพระทัยนัก!”
คำพูดนั้นเย็นชาและเย้ยหยัน
“ข้าหาได้สนใจเรื่องเสียตำแหน่งเจ้าแคว้นกุ่นให้แก่คนของน้องหก! แต่สิ่งที่ทำให้ข้ารำคาญใจก็คือข้าไม่เคยคิดเลยว่าน้องหกของเรา ซึ่งข้ามองเขาเป็นเพียงเด็กไร้เดียงสามาตลอดอีกทั้งยังเป็นเพียงบุตรของนางสนม แต่แท้จริงแล้วเขากลับเป็นเสือในคราบแกะกล้ากระทำการโหดร้ายถึงเพียงนี้!” โจวจื่อคุนกล่าวอย่างหงุดหงิด “ก่อนหน้านี้เราทั้งคู่ประเมินเขาต่ำไป!”
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น”
ดวงตาของโจวจือเจิ้นกะพริบ “หากคิดย้อนให้ถี่ถ้วน ความสำเร็จหรือล้มเหลวของงานเลี้ยงน้ำชานี้ขึ้นอยู่กับคนผู้เดียว ซึ่งคนผู้นั้นคือซูอี้!”
ดวงตาของโจวจื่อคุนหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ตามข่าวที่ข้าได้รับมา เขาเป็นทายาทแห่งตระกูลซู แต่เนื่องจากถูกทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก แม้แต่บิดาของเขาซูหงหลี่ก็ยังเอ่ยว่าเขาเป็นบุตรนอกคอก ข้านึกภาพไม่ออกว่าคนผู้นี้ที่ไม่เคยได้รับการสนับสนุนใดจากตระกูลซูจะกลายเป็นตัวตนที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ได้อย่างไร”
โจวจือเจิ้นพยักหน้าและกล่าวว่า “ชายหนุ่มผู้แปลกยิ่งนักอย่างที่ท่านพี่ว่า แต่เรื่องราวนี้เราหาได้จำเป็นต้องลงมือเองไม่ ข้ามั่นใจเต็มสิบส่วนว่าอีกไม่นานนักตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงย่อมจะลงมือและไม่มีวันปล่อยเขาให้ลอยนวลอย่างแน่นอน!”
ได้ยินประโยคนี้สีหน้าของโจวจื่อคุนผ่อนคลายลงอย่างมาก และเขากล่าวว่า “น้องสามเจ้าพูดถูก ชายผู้นี้กล้าสังหารเยว่จางหยวนผู้ตรวจการแห่งตระกูลซู สิ่งนี้ย่อมทำให้ตระกูลซูบังเกิดความอาฆาตแค้นอย่างแน่นอน”
หลังจากหยุดชั่วคราวเขาเยาะเย้ย “ด้วยสถานะอันต่ำต้อยของเขาในตระกูลซู อีกทั้งความแกร่งกล้าที่ผิดธรรมชาติอย่างไม่อาจอธิบายได้เช่นนั้น ถ้าข้าเป็นสมาชิกของตระกูลซู ข้าจะไม่มีวันเฉยเมย!”
ในขณะเดียวกันนั้นเสียงอันแหบพร่าแต่แฝงซึ่งความเคารพยิ่งดังขึ้นจากด้านนอกของห้องลับ “ฝ่าบาท มีข่าวจากพระราชวัง”
โจวจื่อคุนรู้สึกสดชื่นและถามทันทีว่า “บิดาของข้าทรงมีรับสั่งใด?”
นอกห้องลับเสียงแหบพร่าดังขึ้นอีกครา “ฝ่าบาท องค์จักรพรรดิทรงทราบเรื่องราวงานเลี้ยงน้ำชาที่เกิดขึ้นในแคว้นกุ่นแล้ว พระองค์ทรงเงียบไปราวหนึ่งก้านธูปก่อนจะดื่มสุราอีกหนึ่งจอกแล้วหัวเราะออกมาดังก้อง เอ่ยเพียงสั้น ๆ ว่า ‘เด็กน้อยคนนี้ค่อนข้างคล้ายกับข้าในช่วงเยาว์วัย’ พ่ะย่ะค่ะ!”
โจวจื่อคุนและโจวจือเจิ้นมองหน้ากันอย่างโง่งมอยู่ครู่หนึ่ง ไม่เพียงแต่บิดาของพวกเขาจะไม่พิโรธแล้ว แต่กลับชื่นชมการกระทำของน้องชายพวกเขาในครั้งนี้อีกต่างหาก?
นี่ไม่ดีเลย!
โจวจื่อคุนสูดหายใจเข้าลึกแล้วถามว่า “มีข่าวอื่นอีกหรือไม่?”
เสียงแหบพร่านอกห้องลับตอบเสียงต่ำ “ราชครูหงเซินชางแนะนำว่าเราควรตรวจสอบรายละเอียดของชายหนุ่มชื่อซูอี้ และนี่เป็นเรื่องของตระกูลซู ดังนั้นเราควรปล่อยให้ตระกูลซูแก้ไขด้วยตนเอง”
โจวจื่อคุนขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยออก “ปรากฏว่าราชครูเห็นเช่นกันว่ามีบางอย่างผิดปกติกับซูอี้… แล้วพระราชบิดาพูดถึงข้าบ้างหรือไม่?”
“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
เสียงแหบพร่าตอบกลับ
หัวใจของโจวจื่อคุนดิ่งลง
ชมเชยน้องชายคนที่หกแต่ไม่พูดถึงตัวเองแม้แต่น้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้มันหมายถึงเขาล้มเหลวในการทำให้พระบิดาของตนเองพึงพอใจในการทดสอบครั้งนี้!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ใบหน้าของโจวจื่อคุนก็มืดหม่นมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ซูอี้ผู้นี้… บัดซบนัก…”
องค์ชายสามโจวจือเจิ้นอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า
“ข้าใคร่รู้จริง ๆ ว่าหลังจากนี้ตระกูลซูจะจัดการกับไอ้ชายน่าตายผู้นั้นอย่างไร…”
องค์ชายรองโจวจื่อคุนกัดฟันกรอดพลางพยักหน้า
…
นครหลวงอวี้จิง ตระกูลซู
ใต้ต้นตุงอายุร้อยปีซึ่งมีกิ่งก้านงอกงาม
ซูหงหลี่นั่งขัดสมาธิบนฟูกที่โคนต้นไม้ ในมือถือหนังสือโบราณและพลิกดูทีละหน้าอย่างสงบเงียบ
ขณะนี้เขาสวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้าง ผมยาวมัดเป็นมวยปักด้วยปิ่นไม้ ทั้งร่างกายแผ่ออกด้วยกลิ่นอายสงบนิ่งประหนึ่งนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่หมกมุ่นในบทกวีและหนังสือวิชาความรู้
ข้าง ๆ ซูหงหลี่มีชายชราคนหนึ่งสวมชุดคลุมคล้ายนักพรตเต๋า ใบหน้าอ่อนเยาว์คล้ายกับเด็กขัดแย้งกับรูปร่าง ดวงตาของเขาแจ่มใสราวกับทารก ลมหายใจเข้าออกยาวสม่ำเสมอ
ข้างหน้าเขามีพิณเจ็ดสายตั้งวางอยู่ สิบนิ้วของเขาดีดสายพิณเชื่องช้าสร้างเป็นเสียงใสกังวานไพเราะและลื่นไหลคล้ายกระแสน้ำเอื่อยจากภูเขาและลำธาร ช่างงดงามไม่ต่างจากเสียงซึ่งธรรมชาติรังสรรค์
ทันใดนั้นซูหงหลี่เงยหน้าและยกมือขึ้นก่อนจะเอ่ยกล่าว “สหายเต๋า ดูคล้ายว่ามีบางอย่างไม่น่าพิสมัยขัดจังหวะพวกเราแล้ว”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋ายิ้มเล็กน้อยก่อนจะยกมือออกจากพิณที่ตนเองกำลังบรรเลง
ในขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบดังขึ้นจากระยะไกล เป็นชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีดำที่มีอารมณ์ขุ่นมัวซึ่งเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“ขออภัยนายท่านที่ผู้น้อยเข้ามาขัดจังหวะ”
ชายวัยกลางคนชุดคลุมดำโค้งคำนับเขา
“ว่ามา”
ซูหงหลี่โบกมือเบา
ชายวัยกลางคนชุดคลุมดำพยักหน้าและเอ่ยเสียงเบาว่า “เรียนนายท่าน มีข่าวจากแคว้นกุ่นเพิ่งมาถึง…”
จากนั้นชายวัยกลางคนเล่าเหตุการณ์ของงานเลี้ยงน้ำชา
ขณะรับฟัง ซูหงหลี่ดูสงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์แปรปรวน
เมื่อชายชราในชุดนักพรตเต๋าได้ยินชื่อ ‘ซูอี้’ เขาตกใจเล็กน้อย สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด
เมื่อชายวัยกลางคนชุดคลุมดำพูดจบ ซูหงหลี่พยักหน้าและพูดว่า “องค์จักรพรรดิพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนชุดคลุมดำกล่าวอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาทกล่าวว่านี่เป็นเรื่องภายในของตระกูลซูเรา พระองค์จะปล่อยให้เราจัดการสะสางเรื่องราวนี้กันเอาเอง”
ซูหงหลี่วางม้วนหนังสือไว้ข้างกาย ก่อนจะมองไปที่ชายวัยกลางคนชุดคลุมดำและถามอย่างเรียบเฉยว่า “ไอ้เด็กชั่วร้ายซูอี้นั่นกระทำการในนามตระกูลซูเราหรือไม่?”
แรงความกดดันที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าทำให้เข่าของชายวัยกลางคนชุดคลุมดำอ่อนแรง อีกทั้งเขายังรู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง ถ้อยคำตอบออกด้วยเสียงสั่นเครือ
“เขาหาได้ทำเช่นนั้น… ไม่…” ชายวัยกลางคนชุดคลุมดำก้มศีรษะงุด
ซูหงหลี่ถามอีกครั้ง “แล้วเด็กผู้นั้นได้เหยียบย่างเข้ามาในนครหลวงอวี้จิงแล้วหรือยัง?”
“ไม่!” คราวนี้ชายวัยกลางคนชุดคลุมดำตอบอย่างหนักแน่น
ซูหงหลี่พ่นลมหายใจก่อนจะมองไปทางอื่น จากนั้นเขาจึงหยิบม้วนหนังสือโบราณขึ้นมาเปิดพลิกอ่านไปมาอีกครั้งและถามว่า
“ใครเป็นผู้เอ่ยให้เยว่จางหยวนเข้าไปวุ่นวายในการต่อสู้ระหว่างองค์ชายรองกับองค์ชายหก?”
ชายวัยกลางคนชุดคลุมดำแม้ในใจจะสั่นเทาแต่ถ้อยคำที่เอ่ยตอบยังแฝงไปด้วยน้ำเสียงอันกล้าหาญ “มันควรจะเป็นคำสั่งจากนายหญิงลำดับสี่”
นายหญิงลำดับสี่คือภรรยาคนที่สี่ของซูหงหลี่ ‘โหยวชิงจือ’ นางเป็นภรรยาที่ซูหงหลี่โปรดปรานมากที่สุด
ซูหงหลี่พยักหน้าราวกับว่าไม่แปลกใจ จากนั้นเขาก็มองไปที่ชายชราในชุดเต๋าข้างตนเองและพูดว่า “สหายเต๋า ท่านคิดว่าเรื่องนี้ควรแก้ไขเช่นไรดี?”
ชายชราในชุดเต๋ายิ้มและส่ายหัว “นี่คือเรื่องภายในของตระกูลท่าน ข้าไม่สามารถมีส่วนร่วมได้”
ซูหงหลี่ยิ้มและพูดว่า “อย่างที่คิดไว้ เรื่องราวทางโลกต่าง ๆ ท่านย่อมไม่สนใจ เช่นนั้นข้าจะไม่ทำให้ท่านลำบากใจก็แล้วกัน”
เขามองย้อนกลับไปที่ชายวัยกลางคนชุดคลุมดำและกล่าวว่า “ถ่ายทอดคำสั่งข้าออกไป แจ้งให้เพ่ยเหวินซานไปที่มหานครกุ่นโจวด้วยตนเอง ให้เขาบอกกับลูกชายสารเลวคนนั้นของข้าว่า ตราบใดที่ยอมก้มศีรษะและยอมรับความผิดพลาดแต่โดยดี ข้าจะให้โอกาสได้กลับตัวและมีชีวิตรอดต่อไป”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกนั้นฟังดูสงบและราบเรียบราวกับกล่าวถึงเรื่องเล็กน้อย “แต่ถ้าหาก ‘มัน’ ปฏิเสธ ข้าจะให้เวลามันคิดบ้างสักเล็กน้อย เส้นตายอยู่ในวันที่ห้าของเดือนห้าเท่านั้น เจ้าไปได้แล้ว”
จนกระทั่งร่างของชายวัยกลางคนชุดคลุมดำหายลับไปจากสายตา ชายชราในชุดนักพรตเต๋ากล่าวด้วยอารมณ์ว่า “การบ่มเพาะของสหายเต๋ารุดหน้าไปอย่างมาก และมีแนวโน้มที่จะเหยียบย่างเข้าสู่สภาวะ ‘หนึ่งเดียวกับสวรรค์และโลก’ แต่ทำไมท่านถึงยังไม่เต็มใจจะฝ่าเข้าไป?”
ซูหงหลี่คิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดอย่างเฉยเมย “หากข้าต้องการ ข้าสามารถบรรลุวิถีต้นกำเนิดได้ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว แต่ข้าอยากได้มากกว่านั้น”
หลังจากหยุดชั่วครู่เขายิ้มและพูดว่า “สหายเต๋าเป็นผู้ที่อยู่ในวิถีต้นกำเนิดมานานแล้ว ดังนั้นท่านควรจะชัดเจนว่าผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดแต่ละคนนั้นล้วนมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันไปอย่างเทียบกันไม่ได้ ข้าซูหงหลี่ไม่อาจทานทนได้หากต้องกลายเป็นแค่ผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดธรรมดา”
ชายชราในชุดนักพรตเต๋าหรี่ตาเล็กน้อยและกล่าวว่า “ทุกคนรู้ดีว่าในบรรดาสิบสำนักยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่แห่งต้าโจว ราชครูหงเซินชางคือผู้ที่มีความแข็งแกร่งไม่อาจหยั่งถึงมากที่สุด ข้าแทบรอไม่ไหวที่จะเห็นว่าสหายเต๋าจะก้าวข้ามคนผู้นั้นไปได้อย่างไรในเส้นทางแห่งวิถีต้นกำเนิด”
ดวงตาของซูหงหลี่เคลื่อนลงไปยังม้วนหนังสือในมือของเขาเช่นเดิม และเขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยคำสั้น ๆ “อย่าได้กังวล”
ชายชราในชุดคลุมเต๋าพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก
…
อีกส่วนหนึ่งในอาณาเขตตระกูลซู
ไม่นานหลังจากซูหงหลี่ออกคำสั่ง นายหญิงคนที่สี่ ‘โหยวชิงจือ’ ก็ได้ทราบข่าว
“ท่านพี่ตั้งใจจะให้โอกาสเดรัจฉานน้อยตัวนั้นกลับใจงั้นหรือ? อีกทั้งยังส่งเพ่ยเหวินซาน ‘จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน’ ไปที่นั่นด้วยตนเองเช่นนี้อีก…”
เพ่ยเหวินซาน หรือก็คือ จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน เป็นหนึ่งในจวิ้นอ๋องต่างสกุลลำดับที่สิบแปดแห่งต้าโจว!
ในต้าโจว ทุกคนต่างรู้กันดีว่าบรรดาราชาต่างสกุลทั้งเก้า ตระกูลซูควบคุมอยู่ถึงสาม
ส่วนบรรดาจวิ้นอ๋องต่างสกุลทั้งสิบแปดนั้น ตระกูลซูควบคุมอยู่ถึงห้า!
จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน เพ่ยเหวินซาน เป็นหนึ่งในนั้น
“ท่านแม่อย่าได้กังวล แม้ว่าท่านพ่อจะให้โอกาสซูอี้ในการกลับใจ แต่ลูกเชื่อมั่นว่าท่านพ่อย่อมไม่ต้องการนำซูอี้กลับมาใช้งาน”
ซูป๋ออิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตรงกันข้าม ในความคิดของข้า ท่านพ่อแค่อยากจะตอกย้ำซูอี้ก็เท่านั้น…”
เขาเป็นบุตรชายลำดับที่ห้าของซูหงหลี่ อายุย่างเข้าสิบหกในปีนี้ รูปลักษณ์สง่างามสมบูรณ์แบบเช่นที่บุรุษทุกคนพึงจะมี อีกทั้งยังนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบเปรียบได้ในหมู่คนรุ่นเยาว์แห่งนครหลวงอวี้จิง
โหยวชิงจืองุนงง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ซูป๋ออิ๋นตอบกลับอย่างฉะฉาน “ท่านพ่อบอกว่าเขาจะให้เวลาซูอี้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเส้นตายคือวันที่ห้าของเดือนห้า ท่านแม่ ท่านลืมไปแล้วหรือว่า เยี่ยอวี่เฟย แม่ของซูอี้ถูกท่านพ่อทอดทิ้งในวันที่ห้าเดือนห้าเช่นกัน?
ดวงตาของโหย่วชิงจือเป็นประกายอย่างเย็นชา “แน่นอนแม่ย่อมจำได้! ในวันนั้นเองที่นังสุนัขตัวเมียผู้นั้นสูญเสียตัวตนและสถานะของมันจนสิ้นเชิง ก่อนถูกนำตัวไปที่ตำหนักเย็นโดยสมบูรณ์ ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นังนั่นก็ป่วยหนักและดิ้นรนจนถึงปีต่อมาจึงได้เสียชีวิตลงในวันที่สองของเดือนสอง”
ซูป๋ออิ๋นกล่าวอย่างเย้ยหยัน “ถูกต้อง ในตอนนั้นวันที่ห้าของเดือนห้าท่านพ่อได้ขับไล่นางสนมผู้นั้นซึ่งคราวนี้มันเป็นวันเดียวกับเส้นตายสำหรับซูอี้!”
“การที่เป็นเช่นนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าท่านพ่อกำลังเตือนซูอี้อย่างอ้อม ๆ ว่าถ้าหากมันไม่กลับใจมันจะถูกขับไล่อย่างสมบูรณ์เช่นเดียวกับแม่ของมัน!”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ดวงตาของโหยวชิงจือเต็มไปด้วยความยินดีพร้อมกับถอนหายใจ “ป๋ออิ๋น เจ้าในขณะนี้ช่างเหมือนพ่อของเจ้ามากตอนที่เขายังเด็ก ถึงแม้ว่าพ่อของเจ้ายังเด็ก แต่เขาก็มีสติปัญญาและความแข็งแกร่งเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างใครเปรียบไม่ได้”
ซูป๋ออิ๋นประสานมือพร้อมกับก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะท่านแม่สั่งสอนข้ามาอย่างดีต่างหาก!”
โหยวชิงจือยิ้มอย่างพึงพอใจ “หาใช่เป็นความดีของแม่เจ้าผู้นี้คนเดียวไม่ หากไม่ใช่เพราะพ่อเจ้าให้การสนับสนุน เจ้าก็อาจจะไม่สำเร็จเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่อายุสิบหกปีและกลายเป็นยอดอัจฉริยะเหนือคนรุ่นเดียวกันเช่นดังทุกวันนี้”
ซูป๋ออิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จากมุมมองของลูก ตระกูลซูนี้ไม่มีที่ให้สำหรับคนเช่นซูอี้อย่างแน่นอน ไม่ว่ามันจะกลับใจเปลี่ยนความคิดได้หรือไม่ย่อมไม่สำคัญเลย”
…
เรือนพำนักหินศิลา
ยามเที่ยง ซูอี้และฉาจิ่นกำลังรับประทานอาหารร่วมกัน
หยวนลั่วอวี่มาพร้อมกับกองทัพเกล็ดแดงและกล่องใบใหญ่
“คุณชายซู กล่องนี้บรรจุสมบัติที่เก็บได้จากยอดเขาประจิม องค์ชายหกได้มีรับสั่งให้ข้านำพวกมันทั้งหมดมามอบให้คุณชายซูเป็นการส่วนตัว”
หยวนลั่วอวี่โค้งตัวพร้อมกับประสานมือคารวะ สีหน้าของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมยินดี
การต่อสู้ของวันนี้ที่บนยอดภูเขาประจิมทิศทำให้เขาตกตะลึงถึงขีดสุด และเมื่อเขาเผชิญหน้ากับซูอี้อีกครั้ง เขาก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้นจนสุดไม่อาจกล่าว
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวว่า “วางทิ้งไว้ที่ตรงนั้น”
หยวนลั่วอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “คุณชายซู พ่อของข้าบอกว่าเขาต้องการมาเยี่ยมท่าน ท่านคิดว่าเมื่อไรจึงจะเป็นเวลาที่เหมาะสมดี?”
“พรุ่งนี้”
ซูอี้ตอบกลับอย่างเฉยเมย
ในไม่ช้าหยวนลั่วอวี่ก็พากลุ่มคนของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
ในอดีตเขาอาจจะกล้ารั้งอยู่เพื่อพูดคุยกับซูอี้ต่ออีกสักชั่วขณะหนึ่ง
แต่หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบได้ เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ เขาจึงระมัดระวังกิริยามากกว่าเดิมและรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น
“ฉาจิ่น ไม่ว่าใครจะมาวันนี้เจ้าจงบอกให้ทุกคนมาพรุ่งนี้กันทั้งหมด”
ซูอี้เอ่ยสั่ง
ฉาจิ่นพยักหน้ารับคำ
จากนั้นซูอี้ลุกขึ้นและกลับเข้าไปที่ห้องของตนเองพร้อมกับกล่องใบใหญ่ที่เพิ่งได้รับมอบ
เมื่อเปิดกล่อง เขาพบว่ามันบรรจุสิ่งของมากมายเช่น อาวุธ วัตถุวิญญาณและเม็ดยา
ซูอี้ค้นอยู่ครู่หนึ่งและหยิบดาบยาวสีเข้มขึ้นมาถือในมือ
ดาบเล่มนี้ชื่อว่า ‘คีรีตระหง่าน’
มันเป็นดาบของฉินฉางซานปรมาจารย์ขั้นห้า
ว่ากันว่านี่คือ ‘ศาสตราวิญญาณ’ ที่ฉินฉางซานได้รับมาจากเทพเซียนเดินดินผู้หนึ่ง
จากมุมมองของซูอี้ ดาบนี้คือศาสตราวิญญาณอย่างแท้จริง ทั้งตัวดาบเต็มไปด้วยร่องรอยของจิตวิญญาณ
ทว่ามันกลับถูกสร้างขึ้นมาอย่างหยาบกร้านมาก อำนาจของวัตถุวิญญาณที่ใช้ในการหลอมมันขึ้นมานั้นไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่
“ข้ายังมีแร่เหล็กอุกกาบาตอยู่ในมือ ซึ่งเป็นวัสดุที่ยอดเยี่ยมสำหรับการหลอมดาบวิญญาณ เมื่อข้ารวบรวมวัตถุวิญญาณได้เพิ่มเติม ข้าจะนำดาบเล่มนี้มาหลอมเหลวและใช้มันร่วมกับแร่เหล็กอุกกาบาตเพื่อสร้างดาบเล่มใหม่ให้กับตัวข้า”
ซูอี้ครุ่นคิดกับตนเอง
วันนี้บนยอดเขาประจิม เขาได้ใช้ดาบบงการฟ้าดินดึงพลังฟ้าดินเพื่อสังหารเซี่ยงเทียนชิว และคนอื่น ๆ ที่วางแผนจะหลบหนี
แต่ด้วยเหตุนี้ พลังของบัญญัติ ‘คว้าล้ำลึก’ ซึ่งสลักในดาบบงการฟ้าดินจึงร่อยหรอลงอย่างมาก และแม้แต่ใบดาบก็บังเกิดรอยร้าวเล็กน้อยซึ่งหากมองด้วยตาเปล่าอาจจะสังเกตได้ยาก
หากคิดทบทวนอย่างถี่ถ้วน แม้ว่าพลังของดาบบงการฟ้าดินจะนับว่าไม่เลวร้าย แต่มันเป็นเพียงดาบวิญญาณที่หลอมสร้างขึ้นจากวัตถุวิญญาณระดับสอง
นอกเหนือจากอำนาจของบัญญัติคว้าล้ำลึกแล้ว ระดับของตัวดาบนั้นด้อยกว่าดาบคีรีตระหง่านที่อยู่ในมือของฉินฉางซานมาก
ขณะนี้เมื่อซูอี้มาถึงช่วงปลายของขอบเขตรวบรวมลมปราณ และอยู่ในช่วงขัดเกลาพลังของ ‘เต๋ากัง’ มันจึงเป็นเรื่องยากที่ดาบบงการฟ้าดินจะสามารถสำแดงพลังของเขาได้อย่างเต็มที่
หากเขาใช้พลังของตนเองอย่างเต็มที่ มันจะมีโอกาสสูงที่ดาบบงการฟ้าดินจะแหลกคามือเนื่องจากมันไม่อาจทนแรงกดดันในระดับที่เขาปลดปล่อยออกมาได้
ทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้ต้องคิดถึงการหลอมสร้างดาบอีกเล่มหนึ่ง
ส่วนเรื่องที่เขาจะนำดาบคีรีตระหง่านมาใช้เองนั้น…
เขาปฏิเสธความคิดนี้ทันที พลังของดาบเล่มนี้ไม่เหมาะต่อเขาอย่างสิ้นเชิง
ต่อมาซูอี้เก็บวัตถุวิญญาณ สมุนไพรวิญญาณและยาเม็ดที่เป็นประโยชน์ต่อเขามากที่สุดเอาไว้กับตัวเองส่วนหนึ่ง จากนั้นส่วนที่เหลือเขาตั้งใจจะมอบพวกมันให้กับฉาจิ่นเพื่อนำไปขายที่หอศิลาทองคำ
หลังจากจัดการกับสมบัติที่ได้มาเรียบร้อย ซูอี้นั่งที่โต๊ะข้างหน้าหน้าและทอดสายตามองชมวิวทิวทัศน์ในระยะไกล
จากตำแหน่งนี้ เขาสามารถมองเห็นทะเลสาบสีเขียวอยู่ไกล ๆ
ที่ริมทะเลสาบ ฉาจิ่นในชุดกระโปรงยาวสีเขียวกำลังหยอกล้อกับลูกพยัคฆ์ตัวน้อย ใบหน้าของนางร่าเริงสดใสเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์อันเลิศล้ำราวกับเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ลงมาจุติ
ขณะนี้ลูกพยัคฆ์ตัวน้อยเติบโตขึ้นพอสมควรแล้ว ลำตัวของมันยาวครึ่งฉื่อ รูปร่างของมันอวบอ้วนอีกทั้งขนของมันยังนุ่มเนียน
ดูเหมือนลูกสุนัขอ้วนสีขาวที่ดูไร้เดียงสา
ซูอี้รู้สึกผิดหวังในใจ
เดิมทีเหตุผลที่เขายอมรับลูกพยัคฆ์ตัวน้อยนี้มาเป็นเพราะเขาวางแผนที่จะมอบมันให้กับเหวินหลิงเสวี่ยเพื่อให้นางนำมันไปเป็นสัตว์เลี้ยง
แต่ตอนนี้…
เขาทำได้เพียงยอมแพ้ชั่วคราว
“หลังจากนี้ข้าคงต้องหาโอกาสเหมาะเพื่อให้ไอ้เจ้าพยัคฆ์น้อยตัวนี้เบิกสติปัญญาและมอบวิถีฝึกฝนให้แก่มัน ส่วนความสำเร็จของมันจะไปได้ถึงเท่าใดนั้นคงขึ้นอยู่กับตัวมันเองแล้ว”
ซูอี้กล่าวอย่างลับ ๆ
วันนี้เป็นวันที่สิบห้าของเดือนสามในปีที่สามร้อยเก้าสิบเก้าของปฏิทินแห่งต้าโจว
วันนี้บนยอดเขาประจิมทิศ ซูอี้ตัดหัว เยว่จางหยวน สังหาร ฉินฉางซาน และสังหาร อวี้ไป๋ถิงซึ่งเป็นผู้นำหนึ่งในสี่ตระกูลชั้นนำแห่งมหานครกุ่นโจว
หนึ่งคนหนึ่งดาบ พลิกกระแสน้ำช่วยองค์ชายหกโจวจือหลีเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะ
ความวุ่นวายในกุ่นโจวนี้ย่อมทำให้เกิดความโกลาหลและดึงดูดความสนใจจากทั่วหล้า
ในอนาคต คนรุ่นหลังต่างเรียกขานเหตุการณ์นี้ว่า ‘วันนองเลือดแห่งเขาประจิม’