บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 221 แขกจากเมืองกว่างหลิง
ตอนที่ 221: แขกจากเมืองกว่างหลิง
เช้าวันต่อมา วันที่สิบหกเดือนสาม
นอกมหานครกุ่นโจวมีกลุ่มคนเดินทางเข้ามาอย่างช้า ๆ จากระยะไกล
ผู้นำกลุ่มเป็นชายหนุ่มชุดขาวซึ่งกำลังขี่ม้า เขาสะพายดาบยาวไว้บนหลัง ใบหน้าของเขาหล่อเหลาและที่มุมปากเผยร่อยรอยของความเย่อหยิ่งอย่างไม่อาจปกปิด
เหริ่นอี้ซวี
เขาคือศิษย์สายในของตำหนักเทียนหยวน ลูกชายของผู้นำตระกูลเหริ่นซึ่งอาศัยอยู่ในมหานครกุ่นโจว
เหริ่นอี้ซวีมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเซี่ยงหมิงลูกชายของผู้ว่าเซี่ยงเทียนชิว
เมื่อไม่นานมานี้ เซี่ยงหมิงมอบหมายให้เหริ่นอี้ซวีทำงานชิ้นหนึ่งซึ่งก็คือ ให้เขานำกองทหารองครักษ์ของจวนเจ้าแคว้นไปยังเมืองกว่างหลิง เพื่อนำพ่อแม่ของเหวินหลิงเจามาที่มหานครกุ่นโจว
ตอนนี้เหริ่นอี้ซวีไม่เพียงแต่ทำภารกิจได้สำเร็จเท่านั้น แต่แม้กระทั่งนายหญิงเฒ่าเหลียงเวินปี้แห่งตระกูลเหวินก็ยังถูกพามาด้วย ซึ่งขณะนี้นางกำลังนั่งอยู่ในรถม้า
“ทุกคน มหานครกุ่นโจวอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าตรงไปที่จวนเจ้าแคว้นหลังจากเข้าไปในเมือง”
เหริ่นอี้ซวีชี้ตรงไปข้างหน้าและพูดเสียงดัง
ม่านหน้าต่างของรถม้าถูกยกขึ้น จากนั้นเหวินฉางจิ้งผู้นำตระกูลเหวินประสานมืออย่างนอบน้อมและพูดว่า “ขอรบกวนนายน้อยเหริ่นและเหล่าทหารองค์รักษ์ทุกท่านช่วยส่งเราไปถึงปลายทางด้วยแล้ว!”
ยามที่อยู่ในเมืองกว่างหลิง เขาคือผู้นำตระกูลเหวินผู้ซึ่งมีแต่ผู้คนต้องแหงนหน้ามอง
แต่ตอนนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับชายหนุ่มจากมหานครกุ่นโจวเหริ่นอี้ซวี การแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน อีกทั้งยังเยินยออีกฝ่าย
เหริ่นอี้ซวีโบกมือและพูดว่า “เซี่ยงหมิงและข้านับได้ว่าเป็นเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน ธุระของเขาจึงนับได้ว่าเป็นธุระของข้าเช่นกัน ลุงเหวินไม่จำเป็นต้องสุภาพให้มากนัก”
ใบหน้าของเหวินฉางจิ้งยิ้มกว้างราวกับดอกเบญจมาศบานสะพรั่ง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉินชิ่งซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “ท่านผู้นำตระกูล การที่ตระกูลเราได้รับเกียรติได้ไปเยือนจวนท่านเจ้าแคว้นกุ่นเช่นนี้เป็นเพราะใบหน้าของหลิงเจาโดยแท้”
เหวินฉางจิ้งหัวเราะและกล่าวว่า “น้องสะใภ้เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว หลิงเจาลูกของเจ้านับวันยิ่งน่าภาคภูมิใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ข้าได้ยินมาว่าในหมู่ศิษย์รุ่นเยาว์ของตำหนักเทียนหยวน ผู้ที่สะดุดตาที่สุดคือหลิงเจา!”
ฉินชิ่งกล่าวอย่างมีชัย “นั่นเป็นเรื่องปกติ”
เหวินฉางไท่ที่อยู่ข้าง ๆ ยังคงนิ่งเงียบไม่กล่าวอะไรตามบุคลิกที่ไร้พิษภัยของตนเอง
นายหญิงเฒ่าเหลียงเวินปี้ซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางรู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อยและขมวดคิ้ว “เพียงแค่ได้รับเชิญไปที่จวนของผู้ว่าการเท่านี้ เจ้าจะภาคภูมิใจอะไรนักหนา?”
ฉินชิ่งนิ่งเงียบในทันทีและทำหน้าบึ้ง
เหวินฉางจิ้งพูดด้วยอารมณ์ “นายหญิงเฒ่า ท่านเคยผ่านโลกมามากมาย อีกทั้งยังเคยอาศัยอยู่ในนครหลวงอวี้จิงตั้งแต่ยังเยาว์ มันเป็นเรื่องปกติสำหรับคนเช่นท่านที่จะไม่สนใจอิทธิพลของเจ้าแคว้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สำหรับตระกูลเหวินของเรานั้นหากต้องไปเปรียบกับตำแหน่งเจ้าแคว้นนั่นแล้ว ช่องว่างระหว่างเรากับเขามันไม่ต่างจากแม่น้ำกับมหาสมุทร…”
เหลียงเวินปี้พ่นลมหายใจและขัดจังหวะ “ฮึ่ม”
เมื่อเห็นว่าเหลียงเวินปี้ดูไม่พอใจเล็กน้อย เหวินฉางจิ้งก็เงียบไปทันที
ในไม่ช้า ทั้งกลุ่มขบวนก็ผ่านซุ้มประตูเมืองและเคลื่อนที่ไปจนสุดทางไปยังจวนของเจ้าแคว้น
เมื่อใกล้จะถึงจวนเจ้าแคว้นอันใหญ่โตงดงาม เหริ่นอี้ซวีลงจากหลังม้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกคน ที่อยู่ข้างหน้าถัดไปนั้นคือจวนของท่านเจ้าแคว้นแล้ว!”
เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ลงจากรถม้าทีละคน
เมื่อพวกเขาเห็นทั้งหมดเห็นประตูจวนอันโอ่อ่าที่ดูกดดัน แม้แต่เหลียงเวินปี้เหวินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แม้ว่านางเคยเป็นสาวใช้ในตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง แต่นางก็เป็นแค่สาวใช้ซึ่งสถานะของนางนั้นต่ำต้อย ดังนั้นในความเป็นจริงแล้ว นางจะไม่เห็นเจ้าแคว้นกุ่นอยู่ในสายตาได้อย่างไร
สำหรับ เหวินฉางจิ้ง เหวินฉางไท่ และฉินชิ่ง พวกเขาทั้งหมดต่างกดดัน ที่หว่างคิ้วเผยออกซึ่งความกลัวที่ไม่สามารถควบคุมได้
สำหรับพวกเขาแล้ว ตำแหน่งเจ้าแคว้นเป็นตัวตนซึ่งสามารถกำหนดชีวิตและความตายของพวกเขาได้ไม่ต่างจากองค์จักรพรรดิ
เหริ่นอี้ซวีมองเหล่ากลุ่มคนจากตระกูลเหวินอยู่ห่าง ๆ อย่างขบขันอยู่พักหนึ่ง เพียงเหลือบมองก็รู้แล้วว่าสมาชิกตระกูลเหวินเหล่านี้ไม่เคยเห็นความยิ่งใหญ่อันแท้จริงมาก่อน
เขากระแอมในลำคอและกล่าวว่า “ทุกคนตามข้ามา”
หลังจากพูดเสร็จ เขาเดินตรงไปที่ประตูจวนของผู้ว่า
ที่หน้าประตูจวนขณะนี้มีทหารยามชั้นยอดสองกลุ่มประจำการอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นเหริ่นอี้ซวีเดินเข้ามาหา ทหารร่างผอมบางผู้หนึ่งก้าวออกไปขวางหน้าในทันที
“เจ้า…จำข้าไม่ได้หรือ?”
เหริ่นอี้ซวีตกตะลึง เขาและเซี่ยงหมิงสนิทกันมาก ทุกครั้งที่เขามาจวนเจ้าแคว้นก่อนหน้านี้ไม่มีใครกล้าหยุดเขา
ทหารร่างผอมเอ่ยอย่างเย็นชา “ขอบังอาจถามคุณชายมาหาผู้ใดกัน?”
ใบหน้าของเหริ่นอี้ซวีแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดก่อนจะเอ่ยตอบอย่างเดือดดาล “ไอ้สารเลว เจ้าไม่รู้งั้นหรือว่าข้าเป็นผู้ใด! หากวันนี้เจ้าไม่อยากเดือดร้อนก็จงหลีกทางให้ข้าซะ ไม่อย่างนั้นแล้วลุงเซี่ยงของข้าจะลงโทษเจ้าเพราะมีตาหามีแววไม่!”
สีหน้าของทหารร่างผอมบางเปลี่ยนเป็นหยอกล้อ “ลุงเซี่ยง? หนุ่มน้อย เจ้าไม่รู้เลยหรือว่าเซี่ยงเทียนชิวตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วที่ยอดเขาประจิม! ขณะนี้เจ้าแคว้นกุ่นคนใหม่คือนายท่านมู่จงถิง!”
ใบหน้าของเหริ่นอี้ซวีเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ถ้อยคำอุทานออกอย่างไม่รู้ตัว “อะไรนะ!?”
ทหารร่างผอมบางแสดงความสงสารและพูดว่า “ดูเหมือนว่าเจ้ายังคงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นสินะ?”
เหริ่นอี้ซวีอ้าปากค้าง ขณะนี้เขาตระหนักได้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจ สถานการณ์นี้เป็นมาอย่างไรกันแน่?
“ทหาร คร่ากุมคนพวกนี้เอาไว้ให้ข้า!”
ทันใดนั้นทหารร่างผอมบางตะโกนเสียงดังลั่น
เหล่าทหารที่รออยู่ต่างพยักหน้าอย่างหนักแน่นอีกยังปลดปล่อยกลิ่นอายสังหาร แลเห็นภาพนี้เหวินฉางจิ้งหวาดกลัวจนเข่าอ่อนแรงและแทบยืนขึ้นไม่ไหว
พวกเขาได้รับเชิญมาที่จวนเจ้าแคว้นกุ่นซึ่งพวกเขาต่างคิดว่ามันเป็นงานใหญ่ที่มีแต่ความรื่นเริง ใครจะคิดว่าภัยพิบัติเช่นนี้จะเกิดขึ้น?
“เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
เหริ่นอี้ซวีพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมาจับเรา? เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร!?”
ทหารร่างผอมบางกล่าวว่า “เจ้าเรียกหัวขโมยเฒ่าเซียงว่าลุงของเจ้า มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเจ้าและเขามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ท่านผู้ว่ามู่ได้สั่งการเอาไว้เมื่อวานนี้ว่าใครก็ตามที่ใกล้ชิดกับโจรเฒ่าต้องถูกจับกุมตัวเอาไว้ไม่มีละเว้น!”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาจ้องไปที่เหริ่นอี้ซวีด้วยสายตาเย็นชา “แต่ถ้าหากพวกเจ้ากล้าขัดขืนแม้เพียงเล็กน้อย เจ้าจะถูกตราหน้าเป็นกบฏและโทษทัณฑ์ของกบฏคือฆ่าไม่มีละเว้น!”
ก่อนที่ใครจะได้มีปฏิกิริยา ฉินชิ่งซึ่งหวาดกลัวจนเจียนจะตายอยู่แล้วร้องตะโกนเสียงดังว่า “ท่านผู้สูงศักดิ์โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย พวกเรามาจากตระกูลเหวินในเมืองกว่างหลิง พวกเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับหัวขโมยเฒ่าเซี่ยงที่ท่านว่า!”
“ตระกูลเหวินแห่งเมืองกว่างหลิง?”
ทหารร่างผอมบางบางตกตะลึง แววตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
“ไม่ผิดแล้ว!”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เหวินฉางจิ้งพยักหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “คราวนี้เราได้รับเชิญมาจวนของเจ้าแคว้นโดยที่เราเองก็หาได้รู้จักเขามาก่อนไม่!”
เขายังตกใจและคำพูดของเขาสั่นเทา
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่?”
ขณะเดียวกันนี้ มีคนสองคนเดินออกจากจวนเจ้าแคว้น คนหนึ่งคือเจ้าแคว้นกุ่นคนใหม่มู่จงถิง และอีกคนคือองค์ชายหกโจวจือหลี
ทั้งสองมองเหตุการณ์ที่เกิดตรงหน้าอย่างประหลาดใจ
ทหารร่างผอมบางบางรีบวิ่งไปข้างหน้าและกล่าวว่า “ฝ่าบาท ท่านเจ้าแคว้นมู่ คนเหล่านี้บอกว่าพวกเขามาจากตระกูลเหวินแห่งเมืองกว่างหลิง…”
เขาแนะนำสถานการณ์สั้น ๆ
โจวจือหลีประหลาดใจ สายตาพลันกวาดมอง
ในขณะนี้เหริ่นอี้ซวีร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ
ฝ่าบาท?
ชายหนุ่มตรงหน้าเขาเป็นองค์ชาย!
สีหน้าของนายหญิงเฒ่าเปลี่ยนไปเป็นลนลาน เมื่อเผชิญหน้ากับโจวจือหลีนางก้มศีรษะลงโดยไม่รู้ตัว หัวใจของนางสั่นคลอน
นางเห็นได้ชัดแล้วว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในจวนเจ้าแคว้น!
ไม่เช่นนั้นตัวตนสูงศักดิ์อย่างเช่นองค์ชายจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?
“เจ้ามาจากตระกูลเหวินด้วยหรือไม่?”
โจวจือหลีมองไปที่เหริ่นอี้ซวี
เหริ่นอี้ซวีรีบประสานมือและพูดว่า “เรียนฝ่าบาท ผู้น้อยอี้ซวีเป็นสมาชิกตระกูลเหริ่นของมหานครกุ่นโจว ตอนนี้ผู้น้อยเป็นศิษย์สายในแห่งตำหนักเทียนหยวน”
โจวจือหลีถอนหายใจ ก่อนจะมองไปที่เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ จากนั้นเอ่ยขึ้นหลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ “ในเมื่อพวกเจ้ามาจากตระกูลเหวิน เช่นนั้นก็จงเดินไปกับข้าเถิด”
พูดจบเขาวางมือไพล่หลังและออกเดิน
“ทุกคนเชิญ!”
มู่จงถิงผายมือให้เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ
เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ต่างมองหน้ากัน แม้ว่าหัวใจของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่พวกเขาจะกล้าปฏิเสธคำเอ่ยนี้ได้อย่างไร?
พวกเขารีบติดตามไปในทันที
“พวกเจ้าจัดการเขาให้เรียบร้อยตามที่ข้าเคยสั่งไว้”
มู่จงถิงชี้ไปที่เหริ่นอี้ซวีซึ่งอยู่ไม่ไกลและออกคำสั่ง ก่อนจะรีบไล่ตามโจวจือหลีไปพร้อมกับกลุ่มทหารองค์รักษ์อีกส่วนหนึ่ง
“นายน้อยเหริ่น เจ้าจะตามพวกเรามาแต่โดยดีหรือจะให้เราบังคับเจ้าตามมา?”
ทหารร่างผอมบางมองไปที่เหริ่นอี้ซวีด้วยดวงตาที่เย็นชา
เหริ่นอี้ซวีตกตะลึงและตระหนักว่าการที่เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเซี่ยงหมิงมันคือภัยพิบัติที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยง!
…
ระหว่างทาง เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ต่างก็ใจสั่น พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะพบกับภัยพิบัติที่ไม่คาดคิดเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เพิ่งมาถึงมหานครกุ่นโจว!
และสิ่งที่น่าตระหนกที่สุดตอนนี้คือพวกเขาไม่รู้ว่าเลยว่าอีกฝ่ายจะพาพวกเขาไปที่ใด หรือหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?!
สิ่งที่ไม่รู้จักเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
โจวจือหลีไม่ได้อธิบายอะไรเลย
และเป็นตามปกติอยู่แล้วที่มู่จงถิงจะไม่พูดอะไรมากเช่นกัน
เหตุผลคือทั้งสองคนไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างซูอี้กับตระกูลเหวินนั้นดีหรือเลวร้าย ด้วยมีความลับที่ซ่อนอยู่มากหรือน้อยระหว่างซูอี้และตระกูลเหวิน
ดังนั้นแนวทางปฏิบัติที่ฉลาดที่สุดคือความเงียบอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ยิ่งบรรยากาศเงียบงันมากเท่าไร เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้นเท่านั้น
แม้แต่เหลียงเวินปี้ก็ยังกังวลจนหว่างคิ้วของนางขมวดเข้าหากันแน่น
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างหลิงเจากับเซี่ยงหมิงซึ่งเป็นบุตรชายของเจ้าแคว้นคนเก่า จึงทำให้เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ร้ายแรงเช่นนี้?”
เหวินฉางจิ้งอดไม่ได้ที่จะกระซิบกับพวกของตนเองระหว่างทาง
“นี่…” ฉินชิ่งตกใจจนหน้าซีด นางพูดด้วยความกลัว “หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าควรทำอย่างไรดี?”
นายหญิงเฒ่าสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “เจ้าจะตื่นตระหนกอะไรนักหนา ตระกูลเหวินของเราและเซี่ยงเทียนชิวไม่เคยเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว ตราบใดที่เราอธิบายทุกอย่างให้ชัดแจ้ง ข้าเชื่อว่าเราทั้งหมดจะไม่เป็นไร”
เหวินฉางจิ้ง เหวินฉางไท่ และฉินชิ่งพยักหน้าพร้อมกัน
เมื่อได้ยินการสนทนาของพวกเขา มู่จงถิงลอบส่ายหัว แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงเรือนพำนักหินศิลา
โจวจือหลีก้าวไปข้างหน้าและเคาะประตูด้วยตนเอง
ในไม่ช้าฉาจิ่นเป็นผู้เปิดประตูออก เมื่อเห็นโจวจือหลีและมู่จงถิง นางจึงเอ่ยว่า “ท่านทั้งสองโปรดรอประเดี๋ยว ข้าขอไปถามนายท่านของข้าก่อน”
โจวจือหลีรีบเอ่ยขึ้น “แม่นางฉาจิ่นเดี๋ยวก่อน”
“ท่านมีสิ่งใดจะรับสั่งงั้นหรือฝ่าบาท?”
ฉาจิ่นสงสัย
โจวจือหลีชี้ไปที่เหวินฉางไท่และคนอื่น ๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “พวกเขามาจากตระกูลเหวิน เมื่อครู่ข้าเห็นพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูจวนเจ้าแคว้น แต่ข้าไม่กล้ายืนยันตัวตนของพวกเขา เมื่อเจ้าไปพบกับพี่ซูอี้ โปรดจงบอกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ด้วย”
“เจ้าค่ะ” ฉาจิ่นพยักหน้าและหันหลังกลับ
แม้ว่าเหวินฉางจิ้ง และคนอื่น ๆ จะไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างฉาจิ่นและโจวจือหลีอย่างชัดเจน
แต่เมื่อพวกเขายืนอยู่หน้าเรือนแห่งนี้ พวกเขาเกิดลางสังหรณ์ว่าเหตุการณ์ถัดไปจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของพวกเขาว่าจะมีชีวิตรอดหรือตาย!
คิดได้เช่นนี้พวกเขาทั้งหมดเริ่มไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
โดยเฉพาะฉินชิ่ง นางกลัวจนหน้าซีด
ไม่นานหลังจากนั้นฉาจิ่นก็กลับมาและพูดว่า “นายท่านอนุญาตให้พวกท่านเข้ามาได้”
โจวจือหลีพยักหน้าและเดินเข้าไปในเรือนพำนักหินศิลา
เหวินฉางจิ้งต้องการปฏิเสธ แต่เมื่อเขาเห็นเหล่าทหารที่ทำหน้าตาขึงขังอยู่ด้านหลังรวมไปถึงมู่จงถิง เขาก็ไม่อาจปฏิเสธใด ๆ ได้
เช่นเดียวกับนักโทษในลานประหาร พวกเขาเดินเข้าไปทีละคนอย่างหวาดกลัว