บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 222 บรรยากาศอันมีชีวิตชีวาในเรือนพำนักหินศาล
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 222 บรรยากาศอันมีชีวิตชีวาในเรือนพำนักหินศาล
ตอนที่ 222: บรรยากาศอันมีชีวิตชีวาในเรือนพำนักหินศาล
“หืม?”
ที่ด้านข้างทะเลสาบ ทุกคนแลเห็นร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนอนบนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน
เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ซึ่งเดิมหวาดกลัวและทำอะไรไม่ถูก จู่ ๆ ดวงตาเบิกกว้างราวกับถูกฟ้าผ่า
ซูอี้!?
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เจอกันนานกว่าหนึ่งเดือน แต่เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ จะจำซูอี้ผู้ซึ่งกำลังนอนเอนอยู่บนเก้าอี้หวายไม่ได้ได้อย่างไร?
ฉินชิ่งประหลาดใจก่อนจะโพล่งออกมาอย่างไม่รู้ตัว “ไอ้เจ้าตัวเปลืองข้าวสุก เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร!?”
ความเงียบงันอันน่าสยดสยองปกคลุมทั้งลานในทันทีที่ฉินชิ่งเอ่ยจบ
โจวจือหลี มู่จงถิง ฉาจิ่น และคนอื่น ๆ ต่างหรี่ตามองไปที่ฉินชิ่ง ตัวเปลืองข้าวสุก? สตรีนางนี้กล้าดีอย่างไร!?
เมื่อถูกบรรดาตัวตนยิ่งใหญ่จ้องมองเขม็งอย่างเอาเป็นเอาตาย ฉินชิ่งแทบหายใจไม่ออกอยู่พักหนึ่ง นางทั้งหวาดกลัว กังวลและสับสน สถานการณ์นี้มันคืออะไรกัน?
กลับกัน เหวินฉางจิ้งและเหวินฉางไท่ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกเขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาตอนนี้มันแปลกและผิดปกติสุดขีด
เหลียงเวินปี้จ้องมองตรงไปที่ซูอี้ สีหน้าของนางไม่แน่ใจ
ในเวลานี้ ซูอี้พูดกับฉาจิ่นที่อยู่ข้าง ๆ เขาว่า “เจ้าไปชงชามาที”
ฉาจิ่นรีบไป
ซูอี้พูดกับมู่จงถิงอีกครั้ง “เจ้าแคว้น ขอรบกวนท่านนำเก้าอี้มาตรงนี้ที”
มู่จงถิงยิ้มอย่างประจบประแจง “คุณชายซู ท่านไม่จำเป็นต้องสุภาพ มู่ผู้นี้ยินดีรับใช้!” หลังจากพูด
หลังจากพูดเสร็จ เขารีบเดินไปหาเก้าอี้
เมื่อเห็นฉากนี้ เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ตกใจจนแทบอ้าปากค้าง มู่จงถิงคือเจ้าแคว้นกุ่นคนใหม่ไม่ใช่หรือ?
แต่ขณะนี้เขากลับดูเต็มใจที่จะรับคำสั่งจากซูอี้ประหนึ่งคนรับใช้เช่นนี้ได้อย่างไร???
เหลียงเวินปี้สูดหายใจเข้าลึกและพูดด้วยดวงตาที่ซับซ้อนว่า “ซูอี้ เจ้าจะไม่อธิบายให้ข้าฟังหน่อยหรือ เจ้าอยากทำให้เราเหมือนตัวตลกหรืออย่างไร?”
ซูอี้กล่าวว่า “เหวินหลิงเจาไม่ได้บอกเล่าสิ่งใดให้เจ้าฟังงั้นหรือหญิงเฒ่า?”
“ไม่” เหลียงเวินปี้ส่ายหัว
เหวินฉางจิ้ง เหวินฉางไท่ และฉินชิ่งก็ดูสับสนเช่นกัน
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาต้องพูดยืดยาวเพื่ออธิบายเรื่องนี้?
ขณะเดียวกันนี้ มู่จงถิงก็มาพร้อมกับเก้าอี้จำนวนมาก
แลเห็นสิ่งนี้ ซูอี้ก็พูดขึ้นทันทีว่า “นั่งลงกันก่อนเถอะ”
“ทุกคน เชิญนั่ง”
มู่จงถิง เจ้าแคว้นคนใหม่เป็นเหมือนคนรับใช้ในขณะนี้ เขาเชิญเหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่เขานำมาทีละคน อย่างน่าชื่นตาบาน
ซูอี้รู้สึกแปลก ๆ ในใจเล็กน้อย
เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นเหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ของตระกูลเหวินในเวลานี้
ไร้ซึ่งความรู้สึกเกลียดชังหรือความสุข
แม้ชีวิตของเขาในบ้านตระกูลเหวินเมื่อปีก่อนจะไม่ดีสักเท่าใดนัก แต่นั่นเป็นเรื่องราวก่อนที่ความทรงจำของเขาจะฟื้นคืน และถ้าว่ากันตามตรง ตระกูลเหวินหาได้เคยทำร้ายเขาจนเกินขอบเขตไม่ มีเพียงเหล่าคำพูดเท่านั้นที่ทำให้เขานึกย้อนไปและรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย
เวลาเปลี่ยนและคนต่างกัน
“ทุกคน เชิญดื่มชา”
ฉาจิ่นเดินมา ถือถาดน้ำชายิ้มหวาน
เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ รีบขอบคุณ หัวใจของพวกเขาสั่นไหว สตรีผู้งามเลิศนางนี้เหตุใดถึงทำหน้าที่ประหนึ่งสาวใช้เช่นกัน?
เกิดอะไรขึ้นกับซูอี้ตั้งแต่เขาออกจากเมืองกว่างหลิง?
เกิดความสงสัยขึ้นเรื่อย ๆ ในใจพวกเขา
“หากพวกเจ้าอยากถามอะไรก็ให้ถามฉาจิ่น นางจะตอบพวกเจ้าเอง”
ซูอี้ชี้ไปที่ฉาจิ่น
ฉาจิ่นยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า “พวกท่านอยากรู้สิ่งใด”
เหลียงเวินปี้เงียบไป
นางมีความสงสัยในใจมากมายจนไม่รู้จะถามอะไร
ฉินชิ่งไม่ได้คิดมาก และกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “สาวน้อย ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านนี้เป็นใครกันงั้นหรือ?”
ในขณะที่พูด นางมองไปที่โจวจือหลีและมู่จงถิงอย่างหวาดเกรง
โจวจือหลีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเริ่มแนะนำด้วยรอยยิ้ม “ที่อยู่ด้านข้างข้าผู้นี้คือท่านมู่จงถิงซึ่งเคยเป็นผู้ว่าการเขตปกครองหย่งเหอ แต่ตอนนี้เขาเป็นเจ้าแคว้นกุ่น ส่วนข้า… ชื่อของข้าคือโจวจือหลี ข้าเป็นโอรสลำดับที่หกแห่งราชวงศ์ต้าโจว บิดาของข้าคือจักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งราชวงศ์ต้าโจว!”
ฉินชิ่งอ้าปากค้างหมดแรงจะกล่าวออก “สวรรค์! นี่ข้ากำลังฝันอยู่หรือไม่!?”
บั้นท้ายของเหวินฉางจิ้งรู้สึกราวกับถูกเข็มหมุดทิ่มแทง เขาอ้าปากค้าง
ทันใดนั้นร่างกายของเหลียงเวินปี้เกร็งตึง สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนไปหลายครั้ง
เหวินฉางไท่ผู้ซื่อตรงไร้พิษภัยมาโดยตลอดก็ตกตะลึงในเวลานี้เช่นกัน
แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะพอเดาคำตอบได้อยู่แล้ว แต่เมื่ออีกฝ่ายยอมรับ พวกเขาก็ยังตกตะลึงอย่างมาก
คนธรรมดาอาจไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงอำนาจอิทธิพลที่ตัวตนเช่น ‘เจ้าแคว้น’ หรือ ‘องค์ชาย’ นั้นมีมากขนาดไหน
แต่คนอย่างเหวินฉางจิ้งจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหลียงเวินปี้ นางเคยเป็นสาวใช้ตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง ดังนั้นนางจึงรู้ดีว่าตัวตนเช่นองค์ชายนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย และอำนาจของเจ้าแคว้นนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด!
แต่ขณะนี้ ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนนี้กลับนับถือซูอี้เป็นอย่างมากจนดูราวกับพวกเขาเป็นผู้ติดตาม!
สิ่งนี้จะทำให้เหลียงเวินปี้สงบลงได้อย่างไร?
นางอดไม่ได้ที่จะมองไปที่ซูอี้และพูดว่า “ซูอี้ ตอนนี้เจ้ากำลังกระทำการในนามของนายน้อยแห่งตระกูลซูงั้นหรือ?”
ในความเห็นของนาง ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน การที่ซูอี้จะสามารถยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ความเป็นไปได้ที่มากที่สุดคือการพึ่งพาสถานะนายน้อยสามของตระกูลซู!
ไม่เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่เห็นในวันนี้จะไม่สมเหตุสมผลเลย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวจือหลีและมู่จงถิงแสดงสีหน้าแปลกประหลาด
ขณะที่ฉาจิ่นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ซูอี้ก็โบกมือเพื่อหยุดนาง
เขาเงยหน้าขึ้นมองเหลียงเวินปี้และพูดว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด ข้าบอกกับเจ้าตอนที่ข้าอยู่ในเมืองกว่างหลิงไปแล้ว ว่าข้าซูอี้จะไม่มีทางกระทำการใดในนามของสกุลซูไม่ว่าจะในตอนนี้หรืออนาคตตลอดกาล”
“แล้ว…”
เหลียงเวินปี้เปิดปากพูด
โจวจือหลีกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หญิงเฒ่า ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังสักหนึ่งอย่าง เมื่อวานนี้ผู้ตรวจการของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงชื่อเยว่จางหยวนมาเยือนที่นี่ และจากนั้น เขาถูกดาบของพี่ซูอี้แยกร่างออกเป็นสองเพราะวาจาดูหมิ่นที่เขาเอ่ยออก!”
เยว่จางหยวน!
ใบหน้าของเหลียงเวินปี้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางรู้จักบุคคลนี้ นางรู้ว่าเยว่จางหยวนเป็นลูกน้องของนายหญิงคนที่สี่ของตระกูลซู โหยวชิงจือ!
นางไม่คาดคิดเลยว่าเยว่จางหยวนจะตายแล้ว…
นี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของเหลียงเวินปี้ ดังนั้นนางจึงเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่งไม่สามารถฟื้นคืนสติได้เป็นเวลานาน
มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?
“คุณชายซูอยู่หรือไม่? ผู้น้อยหยวนลั่วอวี่มาเยี่ยมท่านพร้อมกับบิดาและน้องสาว!”
ในเวลานี้ เสียงของหยวนลั่วอวี่ดังขึ้นนอกประตูลานบ้าน
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นและโบกมือ “ไปเปิดประตู”
ฉาจิ่นรีบออกไป
ไม่นานหลังจากนั้น หยวนอู่ทง หยวนลั่วซี และหยวนลั่วอวี่ก็เดินเข้ามา
“หยวนพบคุณชายซู องค์ชายหก และท่านเจ้าแคว้นแล้ว!”
หยวนอู่ทงยิ้มและโค้งกายขณะที่ทักทายพวกเขาทีละคน
หยวนลั่วซีและหยวนลั่วอวี่ประสานมือโค้งกายทักทายเช่นกัน
“ผ…ผู้นำหยวน!?”
ในเวลานี้เหวินฉางจิ้งผงะ เขารีบลุกขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้จักมู่จงถิงหรือโจวจือหลี แต่เขาจะไม่รู้จักหยวนอู่ทงผู้นำของหนึ่งในสี่ตระกูลชั้นนำแห่งมหานครอวิ๋นเหอได้อย่างไร?
ต้องรู้ว่าเมืองกว่างหลิงเป็นหนึ่งในสิบเก้าเมืองใต้อำนาจการปกครองของเขตปกครองอวิ๋นเหอ
สำหรับตระกูลเหวินในเมืองกว่างหลิง ตระกูลหยวนที่ดำรงอยู่ในมหานครอวิ๋นเหอนับเป็นยักษ์ใหญ่ที่พวกเขาได้แต่แหงนหน้ามอง
“สหายเหล่านี้เป็นใครกัน?”
หยวนอู่ทงประหลาดใจ
หยวนลั่วซีที่ด้านข้างพูดอย่างรวดเร็ว “ท่านพ่อ นี่คือเหวินฉางจิ้งผู้นำตระกูลเหวิน ข้าเคยเห็นเขาอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อข้าไปที่เมืองกว่างหลิง”
หยวนอู่ทงเลิกคิ้วขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะป้องมือและเผยยิ้ม “กลายเป็นว่าท่านคือผู้นำตระกูลเหวินนี่เอง หากมีเวลาพวกเรามาสนทนากันบ้างเป็นอย่างไร?”
เหวินฉางจิ้งรีบคำนับกลับพร้อมยิ้มอย่างนอบน้อม และกล่าวว่า “นับเป็นเกียรติยิ่งของเหวินแล้ว!”
ในเวลานี้เหวินฉางไท่และฉินชิ่งยิ่งเครียดมากขึ้น พวกเขาต่างตกตะลึง ผู้นำตระกูลหยวนมาที่นี่เพื่ออะไร?
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าหยวนอู่ทงทักทายซูอี้ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงทักทายองค์ชายหกและผู้ว่าการทีละคน
ความหมายของลำดับคำทักทายนั้นชัดเจนและน่าตื่นตะลึง!
“พวกเจ้าเลือกนั่งได้ตามใจชอบ”
ซูอี้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายกล่าวออก
หยวนอู่ทง หยวนลั่วอวี่ และ หยวนลั่วซี ต่างก็พยักหน้ารับอย่างยิ้มแย้ม
เมื่อเห็นฉากนี้ เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยความสงสัยในใจก็ยิ่งกดดันและไม่กล้าเอ่ยอะไรมากขึ้น
ฉินชิ่งตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่งในใจของนางอย่างแจ่มชัด
ซูอี้วันนี้ไม่ใช่ลูกเขยที่นางสามารถด่าได้อีกต่อไป!
แม้แต่องค์ชายหก เจ้าแคว้นกุ่นและผู้นำตระกูลหยวนแห่ง มหานครอวิ๋นเหอต่างยังต้องเคารพซูอี้ ตราบใดที่ไม่ได้ตาบอดหูหนวก ไม่ว่าใครก็ต้องรู้ว่าซูอี้วันนี้ไม่ใช่คนเดิมกับในอดีตอีกต่อไป!
“ท่านอาซูอี้ พ่อของข้าและข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมเยือนท่าน!”
ไม่นานนักเสียงที่ร่าเริงและไพเราะก็ดังขึ้นนอกลานบ้าน
เป็นเจิ้งเทียนเหอและเจิ้งมู่เหยามาเยือนนั่นเอง
ผู้นำแห่งตระกูลเจิ้งซึ่งเป็นตระกูลอันดับต้น ๆ ในมหานครกุ่นโจวเข้ามาทักทายซูอี้ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงหันไปทักทายคนอื่น ๆ ทีละคน
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม เหวินฉางจิ้ง และตระกูลเหวินคนอื่น ๆ แค่เพียงลอบฟังบทสนทนาทั้งหลายก็สามารถเข้าใจได้ถึงตัวตนของพ่อและลูกสาวตระกูลเจิ้ง
ยิ่งเวลาผ่านไป เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกคล้ายว่าเข็มหมุดที่ตัวเองนั่งทับนั้นมันเพิ่มจำนวนขึ้นมากเรื่อย ๆ พวกเขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นเสมือนฝัน
แต่น่าเสียดายมันไม่ได้จบเพียงแค่นั้น
ในไม่ช้า เสียงร้องอันดังกังวานและชัดเจนจากนกอินทรีเกล็ดสีเขียวก็ดังขึ้นและร่างของอินทรียังก็ค่อย ๆ ร่อนลงมายังลานบ้านอย่างนุ่มนวลพร้อมกับหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซง
องค์ชายหกโจวจือหลี เจ้าแคว้นจงถิงและคนอื่น ๆ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อทักทายหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซง
ในทางกลับกันหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงเดินเข้ามาทักทายซูอี้แทน
แลเห็นฉากนี้ เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ ไม่อาจเอ่ยคำใด ๆ ได้อีกแล้ว
แม้แต่เหลียงเวินปี้ก็ยังสงสัยในตัวเองเพราะเพียงแค่สถานะนายน้อยสามแห่งตระกูลซูเพียงอย่างเดียว ไม่มีทางที่ซูอี้จะได้รับการนับถือจากตัวตนยิ่งใหญ่ถึงระดับนี้ได้แน่
เรือนพำนักหินศิลามีชีวิตชีวามากในวันนี้ แต่บรรยากาศอันมีชีวิตชีวานี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหล่าคนตระกูลเหวินเลยแม้แต่น้อย
สมาชิกตระกูลเหวินทำได้เพียงชำเลืองมองอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ไปยังเหล่าตัวตนยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่กำลังรายล้อมซูอี้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและนับถือ
ส่วนซูอี้ก็ยังนั่งอยู่ที่เดิมอย่างเกียจคร้าน บางครั้งเขาอ้าปากพูดอะไรเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่เขาพูดไม่เกินหนึ่งคำสั้น ๆ เช่น อืม…
ท่าทีที่ผ่อนคลายและสงบเช่นนี้ของซูอี้ มันทำให้เหล่าคนตระกูลเหวินยิ่งรู้สึกเหมือนถูกทรมานในหัวใจของพวกเขา
ไม่นานหลังจากนั้น หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงก็เป็นกลุ่มที่ขอลาเป็นกลุ่มแรก
พวกเขาบรรลุจุดประสงค์ของการมาเยือนครั้งนี้แล้ว พวกเขาได้ตกลงกับซูอี้ว่าพวกเขาจะออกเดินทางในอีกสามวันเพื่อไปที่หุบเขามารบุปผาโลหิตด้วยกัน!
เป็นเรื่องบังเอิญเพราะเมื่อตอนที่ซูอี้อยู่ในมหานครอวิ๋นเหอ เขาได้สัญญากับเฉินเจิ้งจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงว่าเขาจะไปเยี่ยมชมปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งที่เกิดขึ้นทุก ๆ สิบปีในหุบเขามารบุปผาโลหิต
ด้วยเหตุนี้ซูอี้จึงตกลงอย่างง่ายดาย
ในไม่ช้า โจวจือหลี มู่จงถิง พ่อและลูกสาวของทั้งตระกูลเจิ้งและตระกูลหยวนต่างก็กล่าวคำอำลาและจากไป
อันที่จริงพวกเขาไม่มีเรื่องสำคัญใดจะปรึกษาหารือกับซูอี้ พวกเขาเพียงมาที่นี่เพื่ออยากจะสานความสัมพันธ์กับซูอี้ให้แน่นแฟ้นมากขึ้นก็เท่านั้น
เรือนพำนักหินศิลาที่เคยมีชีวิตชีวาได้กลับคืนสู่ความสงบเช่นเดิมเมื่อแขกส่วนใหญ่กลับไปและเหลือไว้แต่คนของตระกูลเหวิน
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวาย เหลือบมองเหลียงเวินปี้แล้วพูดว่า “หญิงเฒ่า เราไปหาที่สนทนาตามลำพังกันจะดีกว่า”
เหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ ราวกับถูกปลุกขึ้นตื่นจากฝันด้วยคำพูดของซูอี้
สีหน้าของเหลียงเวินปี้ไม่แน่ใจอยู่ครู่หนึ่ง และหลังจากถอนหายใจยาว นางยืนขึ้นและกล่าวว่า “ในเมื่อนายน้อยสามเอ่ยขอ หญิงชราผู้นี้จะปฏิเสธได้อย่างไร”
นางเดาได้คร่าว ๆ ว่าสิ่งใดที่ซูอี้อยากจะถาม