บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 223 ความทรงจำที่หยั่งรากลึก
ตอนที่ 223: ความทรงจำที่หยั่งรากลึก
ณ ห้องหนังสือ
แม่เฒ่าเหวินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “เรื่องเกี่ยวกับเยี่ยอวี่เฟยมารดาของเจ้า ข้ารู้ไม่มากนัก ข่าวลือเหล่านั้นข้าก็ได้ยินจากผู้อื่นมาอีกที”
ซูอี้นั่งอยู่ตรงข้ามอย่างผ่อนคลาย พลางพยักหน้า “ที่เจ้าพูดก็ถูกต้อง”
“เมื่อสิบสามปีก่อนวันที่ห้าต้นเดือนห้า จู่ ๆ บิดาเจ้าก็มีคำสั่งลงมา ให้ปลดเยี่ยอวี่เฟยมารดาเจ้าในฐานะภรรยา และคุมขังในเรือนเล็กอวิ๋นหนี ไม่ให้ออกไปไหนตลอดชีวิต”
นัยน์ตาของใต้เท้าฉายแววหวนนึกถึงออกมา “ยามนั้น ทั้งตระกูลซูตกใจมาก รวมถึงข้าที่ไม่คาดคิดมาก่อน เนื่องจากเมื่อหลายปีก่อนนั้น ความสัมพันธ์ของบิดาและมารดาเจ้านั้นดีมาก และถูกเรียกว่าคู่สามีภรรยาเหนียวแน่น…”
“ท่านผู้นำตระกูลก็มิเอ่ยสิ่งใด ว่าจู่ ๆ เหตุใดถึงได้ปลดฐานะและตำแหน่งมารดาเจ้า ทั้งยังคุมขังนางประหนึ่งนักโทษ”
“ทว่าในตระกูลกลับมีข่าวลือมาตลอด ว่ากันว่า บิดาเจ้าพบว่ามารดาเจ้าเยี่ยอวี่เฟยคือหมากตัวหนึ่งที่อิทธิพลลึกลับใช้มาสอดแทรกอยู่ข้างกายเขา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บิดาเจ้าโมโหและปลดนางลง”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ แม่เฒ่าเหวินก็เงยหน้ามองซูอี้ที่อยู่ตรงข้าม ทว่าอีกฝ่ายกลับมีสีหน้าที่สงบนิ่ง และไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย
ประหนึ่งไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้!
แม่เฒ่าเหวินควบคุมจิตใจให้มั่น และกล่าวต่อ “สำหรับตระกูลเก่าแก่ชั้นนำอย่างตระกูลซู ท่านผู้นำออกคำสั่งปลดภรรยาตัวเอง เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมาก หลังจากที่มารดาเจ้าถูกคุมขังในวันที่ห้าต้นเดือนห้านั้น ร่างกายก็เจ็บป่วยหนัก และในปีถัดมานางก็สิ้นใจในวันที่สองต้นเดือนสอง เรื่องนี้ คุณชายสามก็คงจะมีความทรงจำอยู่บ้าง”
ซูอี้พยักหน้า
ปีนั้นเขามีอายุแค่สี่ขวบ สามารถจำเรื่องราวหลาย ๆ อย่างได้
และหนึ่งในนั้นก็มีความทรงจำที่มารดาเยี่ยอวี่เฟยตายในวันนั้น
อีกทั้งยังเป็นความทรงจำที่ฝังลึกในหัวใจอย่างมาก
เพราะวันนั้นคือวันเกิดอายุครบสี่ขวบของเขาพอดี!
วันนั้นเยี่ยอวี่เฟยหอบร่างที่ป่วยหนัก ทำบะหมี่หนึ่งถ้วยให้เขาที่อายุครบสี่ขวบ
ด้านนอกหน้าต่างบรรยากาศช่างเลวร้าย ในห้องมีดวงไฟราวกับเม็ดถั่ว แสงไฟมืดสลัว สองแม่ลูกนั่งอยู่ตรงข้ามกัน
ในตอนที่เขามีความสุขในการกินบะหมี่ ท่านแม่เยี่ยอวี่เฟยเฝ้ามองเขาด้วยรอยยิ้มตลอด และจากไปตลอดกาลอย่างเงียบ ๆ ทันที
ภาพเหตุการณ์นั้น ราวกับตราประทับที่มีมีดสลักไว้ ทุกรายละเอียดประทับอยู่ในใจซูอี้อย่างชัดเจน และเป็นความคิดฝังลึกที่สุดภายในใจเขา
แม้ว่าความทรงจำในกาลก่อนจะตื่นขึ้นมาแล้ว ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ในใจซูอี้ยังคงโมโหและเคียดแค้นอย่างควบคุมไม่ได้
นี่คือความแค้นที่มีต่อซูหงหลี่บิดาเขา
และคือความแค้นต่อตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง
และมันได้กลายเป็นความคิดที่ฝังรากลึกมานานแล้ว
“หากความแค้นในครั้งนี้ไม่ได้เอาคืน ปีศาจร้ายที่อยู่ในใจคงยากที่จะกำจัดทิ้ง…”
ซูอี้แอบเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
“คุณชายสาม สิ่งที่ข้ารู้ ได้บอกให้กับท่านไปหมดแล้ว จะเป็นเรื่องจริงหรือปลอม ข้าก็มิอาจแน่ใจได้ สรุปแล้ว ท่านผู้นำไม่น่าจะปลดฐานะมารดาท่านโดยไร้เหตุไร้ผล ความจริงที่อยู่ในนั้น บางทีอาจมีเพียงแค่ท่านที่สืบหาเองได้”
น้ำเสียงแม่เฒ่าเหวินช้าลง และแฝงไว้ด้วยการเยาะเย้ยตัวเอง “ว่ากันตามจริงแล้ว ปีนั้นข้าเป็นเพียงคนใช้คนหนึ่งในตระกูลซู เรื่องที่ใหญ่เช่นนี้ ข้าเข้าไปยุ่งด้วยไม่ได้”
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “เรื่องนี้ ข้าจะไปหาซูหงหลี่ด้วยตัวเองและชำระความแค้นไปทีละเรื่อง แต่ก่อนหน้านี้ ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจมาโดยตลอด เหตุใดโหยวชิงจือผู้หญิงคนนี้ถึงมองข้าเป็นศัตรูเช่นนี้?”
แม่เฒ่าเหวินตกใจไปชั่วครู่หนึ่ง สายตามีความยุ่งยากเกิดขึ้น “สาเหตุที่แท้จริงนั้น ข้าก็ไม่เข้าใจนัก ทว่าเท่าที่ข้ารู้ เมื่อก่อนในตอนที่ความสัมพันธ์ของพ่อแม่เจ้ายังดีอยู่ โหยวชิงจือถูกหมางเมินเย็นชามาโดยตลอด ไม่ว่าฐานะ ตำแหน่งรวมถึงของกำนัลที่ได้รับต่าง ๆ ยังเทียบไม่ได้กับมารดาเจ้า”
“จนกระทั่งมารดาเจ้าถูกปลดจากตำแหน่ง โหยวชิงจือก็กลายเป็นภรรยาที่โปรดปรานที่สุด ลองคิดดูแล้ว… สาเหตุที่นางเกลียดเจ้า ก็อาจเป็นเพราะนางอิจฉามารดาท่านมาตั้งแต่แรก?”
ซูอี้ส่งเสียงอ๋อออกมา อย่างไม่จริงจังนัก
แค่ผู้หญิงที่ขี้อิจฉาคนหนึ่ง ถึงกลับทำเรื่องโหดเหี้ยมคาดไม่ถึงเหล่านี้
ทว่าเรื่องนี้ ซูอี้กลับไม่คิดว่า โหยวชิงจือมีเจตนาร้ายต่อเขาเพราะความอิจฉา
ในเรื่องนี้จะต้องมีความจริงบางอย่างที่ปกปิดไว้อยู่แน่
เพียงแต่ ซูอี้คร้านที่จะคิดมากแล้ว รอไปที่มหานครหลวงอวี้จิงเมื่อไหร่ ก็ชำระความแค้นกับพวกเขาไปทีละอย่างก็พอแล้ว
เรื่องที่ตัดมันด้วยดาบเล่มเดียวได้ ก็ไม่ต้องไปคิดสิ่งใดให้มันยุ่งยาก
“พอแล้ว เจ้าพาเหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ กลับไปได้แล้ว”
ซูอี้เอ่ยพร้อมกับลุกขึ้น
แม่เฒ่าเหวินลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยเตือนขึ้นมา “คุณชายสาม หากท่านเป็นศัตรูกับตระกูลซู ก็อาจจะเป็นศัตรูทั้งอาณาจักรต้าโจว เพราะจักรพรรดิองค์ปัจจุบันจะไม่ยอมให้ตระกูลซูต้องล่มสลาย!”
“เป็นศัตรูทั้งอาณาจักรต้าโจว?”
ซูอี้ยิ้มเยาะ คร้านที่จะอธิบายสิ่งใดอีก
ไม่นาน ซูอี้กับแม่เฒ่าเหวินก็กลับไปลานบ้านด้านหน้าทะเลสาบ
ฉาจิ่นที่กำลังพูดคุยกับเหวินฉางจิ้ง เหวินฉางไท่และฉินชิ่งอยู่ตรงนั้นก็ลุกขึ้นมาในทันที เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ ก็มีท่าทางที่ทั้งระมัดระวังทั้งหวาดกลัวและแฝงไว้ด้วยความเคารพยำเกรง
ซูอี้เหลือบมองเหวินฉางไท่และฉินชิ่ง ในใจนั้นมีความรู้สึกดีเล็กน้อย และเอ่ยขึ้น “เมื่อก่อน พวกท่านคือพ่อตาแม่ยายในนามของข้า ทว่าข้าไม่เคยยอมรับเลย”
“มันคือเรื่องปรกติ เจ้ากับหลิงเจาก็เหมือนกัน และพวกข้ารู้ว่าพวกเจ้าขัดแย้งต่อการแต่งงานนี้”
เหวินฉางไท่เอ่ยด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว
ซูอี้ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ในตระกูลเหวิน บอกว่าท่านซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ เป็นคนธรรมดาไร้ความสามารถ ทว่าในสายตาข้า ท่านกลับเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเคารพผู้หนึ่ง”
ในระหว่างที่อยู่ตระกูลเหวินมาหนึ่งปี เหวินฉางไท่เป็นผู้ชายที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งที่ไร้ประโยชน์เล็กน้อย ไม่เคยพูดให้ร้ายเขาในฐานะลูกเขยเลย
เมื่ออาศัยจากสิ่งนี้ ก็คุ้มค่าที่จะใช้คำว่า ‘น่าเคารพนับถือ’
ในความคิดของซูอี้ ความเมตตาที่มีอยู่ในตัวเหวินหลิงเสวี่ย ก็คงจะสืบทอดมาจากเหวินฉางไท่บิดาของนาง
เหวินฉางไท่รีบโบกมืออย่างลุกลี้ลุกลน “ข้า… ข้าไม่มีสิ่งใดให้น่าเคารพหรอก เจ้าอย่าได้เอ่ยเช่นนี้เลย เรื่องเมื่อก่อน… เรื่องเมื่อก่อนตระกูลเหวินของพวกข้าต้องขอโทษเจ้า”
ซูอี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ไม่ต้องคุยกันเรื่องนี้หรอก”
“ได้ ไม่ต้องคุยเรื่องนี้กัน”
เหวินฉางไท่พยักหน้า
“ซู… ซูอี้ เรื่องระหว่างเจ้ากับหลิงเจาไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้รึ?”
ยามนี้ ฉินชิ่งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา
ภาพการโจมตีนั้นเมื่อครู่ ทำให้ความคิดนางเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
สำหรับนางแล้ว ด้วยฐานะและตำแหน่งของซูอี้ในตอนนี้ เหมาะสมกับเหวินหลิงเจาลูกสาวนางมาก
อีกทั้ง ตระกูลพวกเขายังถือว่าสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง…
ซูอี้ยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด ฉินชิ่งก็เอ่ยต่อ “เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะค่อย ๆ โน้มน้าวหลิงเจาเอง นางได้เป็นศิษย์สายในแห่งตำหนักเทียนหยวนแล้ว ดังนั้นงานแต่งงานนี้สำหรับนางแล้ว มีประโยชน์และไม่มีอันตรายใด และยัง…”
ยิ่งพูดนางก็ยิ่งมีความสุข และเริ่มจินตนาการเรื่องต่อจากนี้ภายในหัว
อย่างเช่นเมื่อมีลูกเขยอย่างซูอี้อยู่ ต่อจากนี้ใครจะกล้าดูหมิ่นนางที่อยู่ในมหานครกุ่นโจวนี้ได้?
และจะมีไอ้พวกที่ไม่มีตาคนไหนริอาจยั่วยุนางได้?
ทว่าแม่เฒ่าเหวินก็พ่นลมหายใจออกมา เอ่ยขัดจังหวะการจินตนาการของฉินชิ่ง “พอได้แล้ว ยังขายหน้าไม่พออีกหรือไง?”
เหวินฉางจิ้งที่มองเหตุการณ์อยู่ข้าง ๆ มาโดยตลอดอยากจะเอ่ยออกมามาก สิ่งนี้เรียกว่าขายหน้าได้อย่างไร ที่ฉินชิ่งทำเช่นนี้ ก็เพราะหวังดีต่อตระกูลเหวินของพวกเรานะ!
ทว่าเขาไม่กล้าแข็งข้อกับแม่เฒ่า และไม่กล้าเอ่ยออกมาในยามนี้
เรื่องบางเรื่อง ฉินชิ่งสามารถทำได้ เขาที่เป็นถึงผู้นำตระกูลทำเรื่องเช่นนี้ อาจจะถูกมองว่าไม่สำคัญ และอาจจะไปยั่วยุและทำให้ซูอี้รู้สึกไม่พอใจได้
หากซูอี้เอาผิดเรื่องเมื่อก่อนที่ถูกตระกูลเหวินเหยียดหยามอีก เช่นนั้นคงจะแย่เป็นอย่างมาก
ไม่นาน แม่เฒ่าก็พาเหวินฉางจิ้งและคนอื่น ๆ กลับไป
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้จึงสั่งให้ฉาจิ่นส่งพวกเขาเดินทางไปตำหนักเทียนหยวน
ชั่วพริบตาหนึ่งฉาจิ่นก็รู้สึกได้ว่า ที่ซูอี้ทำเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะนึกถึงหน้าของเหวินหลิงเสวี่ย ถึงได้ให้นางไปส่งคนในตระกูลเหวิน
“แม่นางหลิงเสวี่ยกลับออกไปจนมาถึงตอนนี้ น่าจะสิบวันแล้ว? แม้คุณชายจะไม่เอ่ยสิ่งใด เกรงว่าในใจคงยังคิดถึงนางอยู่”
ฉาจิ่นแอบซุบซิบกับตัวเอง
ซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเกียจคร้าน ในใจครุ่นคิดถึงเรื่องออกเดินทางไปหุบเขามารบุปผาโลหิตอย่างเงียบ ๆ
วันนี้หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงมาเยี่ยมเยือนเขาด้วยกัน และเอ่ยเรื่องผิดปกติขึ้นมา
ปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งที่จะเกิดขึ้นในหุบเขามารบุปผาโลหิตในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นขอบเขต หรือระดับอันตราย ก็อาจจะไม่เหมือนก่อนหน้านี้ทั้งหมด
เชินจิ่วซงได้รับข่าวคราว แม้จะบอกว่าปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งจะเกิดขึ้นในอีกเจ็ดวัน แต่ยามนี้ในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตได้ปรากฏเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดมากมาย
มีหมอกสีเลือดปกคลุมไปทั่วหล้า และไม่สลายเป็นเวลานาน
มีเสียงร้องของนกนางแอ่นที่เลือนราง บางครั้งก็ดังออกมาจากส่วนลึกของหุบเขามารสีเลือด อย่างไม่ต่อเนื่องกันและเลื่อนลอย
ไม่ว่าจะเป็นคนหรือว่าสัตว์ร้าย หากได้ยินสิ่งนี้ จิตวิญญาณก็จะเจ็บปวดอย่างรุนแรงราวกับถูกฉีกขาด โดยเฉพาะสัตว์ร้าย จะตกอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งและไร้จิตสำนึกโดยตรง
ที่น่าสนใจก็คือ ในปีก่อนที่ผ่านมา หุบเขามารบุปผาโลหิตจะเกิดปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งหนึ่งครั้งทุกสิบปี และก่อนหน้านี้ ไม่เคยเกิดเรื่องผิดปกติและแปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน
เป็นเพราะเหตุนี้เอง ถึงทำให้หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงคาดการณ์ว่า ปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งที่เกิดขึ้นในหุบเขามารบุปผาโลหิตครั้งนี้ ล้วนแตกต่างจากเมื่อก่อนทั้งหมด
“หมอกสีเลือดปกคลุมไปทั่ว… เสียงนกนางแอ่นที่คลุมเครือ… นี่เป็นลางของปีศาจมารร้ายมาเยือนโลก หรือเป็นลางว่ามีของล้ำค่าถือกำเนิดขึ้น?”
ซูอี้ทำท่าทางเหมือนคิดอะไรอยู่
เดิมทีเขาที่วางแผนออกเดินทางไปหุบเขามารบุปผาโลหิตสักรอบหนึ่ง
เป็นเพราะอย่างแรกเขาเคยรับปากเฉินเจิ้ง จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงไว้
อย่างที่สองคือหาเบาะแสเจอแล้ว ด้วยหยกวิญญาณลึกลับที่ใช้เก็บชิงหว่าน อาจจะมาจากหุบเขามารบุปผาโลหิต
กล่าวอีกอย่างคือ อยากจะสืบหาเรื่องราวในชีวิตของชิงหว่านอีกขั้นหนึ่ง จึงจำเป็นต้องเดินทางไปหุบเขามารบุปผาโลหิต
เหตุผลสุดท้ายก็คือ อาศัยการที่เขาฝึกฝนทั้งกลางวันกลางคืน ในการนำธาตุแท้ทั้งร่างหลอมเป็น ‘พลังเต๋ากัง’ และใช้เวลาอย่างน้อยที่สุดสองเดือน
ทว่าหากสามารถทำการขัดเกลาในระหว่างการต่อสู้ที่รุนแรงได้ ก็ย่อมมีเพียงพอที่จะหลอม ‘พลังเต๋ากัง’ ในเวลาอันสั้นได้
ไม่แปลกใจที่หุบเขามารบุปผาโลหิตในตอนนี้ จะเหมาะสมกับการต่อสู้มาก
“อึ่ม ไม่รู้ว่ายามนี้เจ้าเด็กหวงเฉียนจวินที่อยู่กองทัพเกราะเขียวจะเป็นอย่างไรบ้าง…”
“อีกสามวัน ค่อยเดินทางไปดูสักรอบหนึ่ง”
ซูอี้แอบเอ่ยในใจ