บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 224 ผู้มาเยือนที่เกินความคาดหมาย
ตอนที่ 224: ผู้มาเยือนที่เกินความคาดหมาย
เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เช้าตรู่วันนี้
ซูอี้ทานข้าวไปด้วยพลางหาวไปด้วย
เมื่อฉาจิ่นที่อยู่ตรงข้ามมองเห็น ก็แอบยิ้มอย่างน่ามองและแสดงดวงตางามน่าชม พลันกลิ่นอายทั่วร่างก็เปล่งประกายสดใสออกมา
“คุณชาย นี่คือซุปโสมที่ข้าตุ๋นไว้เมื่อวาน ท่านดื่มมาก ๆ หน่อย จะได้เสริมร่างกายให้ดีขึ้น”
ฉาจิ่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตักซุปโสมเต็มถ้วยให้กับซูอี้
ซูอี้ยกขึ้นดื่มจนหมด
เมื่อกินจนอิ่มดื่มจนพอแล้ว ซูอี้ก็เลิกคิ้วขึ้น สายตามองไปทางฉาจิ่นและเอ่ยอย่างจริงจัง
“เมื่อคืนถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝึกฝนสองอย่างให้เจ้าโดยตรง จึงเสียเวลาและกำลังไปค่อนข้างมาก แม้ว่าสุดท้ายดูเหมือนว่าเจ้าจะได้เปรียบ นั่นก็เพื่อให้เจ้าได้เข้าใจส่วนลับของเคล็ดวิชาลึกลับนี้อย่างถึงที่สุด เจ้าอย่าได้คิดมากเกินไป”
ไม่รู้ว่าฉาจิ่นนึกถึงสิ่งใด พลันใบหน้าก็แดงขึ้นมา ก้มหน้าอย่างเขินอาย และตะโกนเสียงดังขึ้น
“คุณชาย ข้าไม่ได้คิดสิ่งใดมาก ข้าก็แค่ไม่นึกว่า การทำเรื่องน่าอายเช่นนี้ จะสามารถช่วยให้ฝึกฝนได้จริง ด้วยเหตุนี้ถึง… ไม่ได้นอนทั้งคืน…”
น้ำเสียงค่อย ๆ เบาลง เสียงเบาราวกับเสียงยุง ใบหน้าที่งดงามนั่นแดงราวกับแสงอาทิตย์กำลังตก ใบหูขาวแวววาวดุจหิมะก็เผยสีชมพูออกมา
ซูอี้หาวอีกครั้งหนึ่ง และไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
นานแล้วที่ไม่เคยฝึกทั้งสองอย่างพร้อมกัน ไม่คิดเลยว่า เกือบจะทนไม่ไหว
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้โมโหเล็กน้อย ว่ากันตามจริงแล้ว อย่างไรขอบเขตรวบรวมลมปราณก็เป็นขอบเขตแห่งสามัญ ไม่สามารถทนการต่อสู้และความทรมานในหนึ่งคืนได้
หากเปลี่ยนเป็นชาติภพก่อน…
ซูอี้แอบส่ายหน้าเบา ๆ และไม่คิดสิ่งใดมากอีก ชายชาตรีจะไม่เอ่ยถึงความกล้าในปีนั้น
ไม่นาน อินทรีเกล็ดเขียวที่บรรทุกหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงมาก็บินมาถึง
“สหายเต๋าเตรียมพร้อมได้ดี”
หนิงซือฮวาสวมชุดเครื่องแบบทหารที่สะดวกในการต่อสู้ แม้แต่ผมยาวสีดำนั้นก็ถักเปียยาวเป็นเส้นหนึ่ง ยิ่งขับให้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาวยิ่งงดงามมากขึ้น
“ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเตรียมพร้อม สามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”
ซูอี้เอ่ยตอบทันที
เขาเพิ่งค้นพบว่า ร่างของผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนเล็กน่ารัก ทว่ารูปร่างนั้นกลับดีมาก
ร่างบอบบางนั้นแนบไปกับเครื่องแบบทหาร ทำให้หน้าอกอวบอิ่มที่อยู่ด้านหน้ากับเอว สะโพกเผยส่วนเว้าโค้งที่น่าประทับใจออกมา
คล้ายกับรู้สึกได้ถึงสายตาของซูอี้ หนิงซือฮวาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางจะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก
หากเปลี่ยนเป็นชายอื่นกล้าสำรวจนางเช่นนี้ เกรงว่านางคงจะตบหน้าไปแล้ว
เพียงแต่ เมื่อถูกสำรวจโดยสายตาที่ตรงไปตรงมาและใจกว้างนั้นของซูอี้ นางกลับไม่สามารถโกรธได้
ในใจกลับรู้สึกว่าน่าสนใจ ชายหนุ่มที่ดูเหมือนกับเย่อหยิ่งไร้ความรู้สึก ดูเหมือนจะไม่เมินเฉยต่อความงาม
ที่ทำให้หนิงซือฮวานึกไม่ถึงก็คือ เวลานี้ ซูอี้เอ่ยชมนางต่อหน้าทุกคน
“เมื่อก่อนดูไม่ออก ว่าแท้จริงแล้วเจ้ามีรูปร่างงดงามกระตุกใจคนเป็นอย่างยิ่ง”
เชินจิ่วซงนิ่งไปครู่หนึ่ง สายตาแปลกใจ แอบชื่นชมอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ คุณชายซูผู้นี้ ใช้ได้จริง ๆ!
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นล่ะก็ ใครจะกล้าลวนลามบุคคลลึกลับน่าหวาดกลัวอย่างเจ้าตำหนักเทียนหยวน หนิงซือฮวากัน?
ฉาจิ่นก็แอบประณามออกมา เหตุใดคุณชายถึงตรงไปตรงมาเช่นนี้ และเอ่ยคำพูดที่ไร้ยางอายนี้ได้อย่างไร?
หนิงซือฮวาเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายกับว่ากำลังพยายามจัดการความขายหน้าและความอึดอัดภายในใจอยู่
จากนั้น นางก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบา “สหายเต๋า ล้อเล่นส่วนล้อเล่น แต่อย่าเล่นกับไฟ”
ซูอี้เอ่ยด้วยท่าทางเหมือนคิดสิ่งใดอยู่ “กังวลว่าข้าจะหาเรื่องรึ?”
เส้นสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากหนิงซือฮวา นางกัดฟันและเอ่ยแก้ขึ้นมา “เล่นกับไฟ จะถูกไฟลวกเอา!”
เมื่อมองเชินจิ่วซงกับฉาจิ่นอีกครั้ง พวกเขาหันหน้ากลับ ไม่กล้ามองหนิงซือฮวา กังวลว่านางจะอับอายจนโมโห ทำให้พวกเขาต้องเจอกับหายนะ…
หนิงซือฮวาก็รู้สึกว่าตัวเองลืมตัวเล็กน้อย จึงค่อย ๆ สงบจิตใจ และถึงได้เอ่ยขึ้น
“ในเมื่อเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นตอนนี้พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ ตามระยะทางที่ชิงเอ๋อร์บอกไว้ วันนี้ในตอนพลบค่ำพวกเราคงถึงหุบเขามารบุปผาโลหิต”
ซูอี้กับเชินจิ่วซงพยักหน้า
จู่ ๆ เหมือนหนิงซือฮวานึกอะไรขึ้นมาได้ “แม่นางฉาจิ่น ยามนี้ภายในมหานครกุ่นโจวเกิดความวุ่นวายยุ่งเหยิง ในตอนที่พวกเราไม่อยู่ เจ้าสามารถไปหลบที่ตำหนักเทียนหยวนได้ ข้าได้ถ่ายทอดให้กับซ่างเจินผู้อาวุโสใหญ่แล้ว”
ฉาจิ่นรู้สึกแปลกใจ นางไม่นึกเลยว่า เจ้าตำหนักเทียนหยวนจะยังตรึกตรองเรื่องของนางด้วย
นางอดไม่ได้ที่จะมองไปทางซูอี้
“ไปเถิด”
ซูอี้พยักหน้า
หลังจากงานเลี้ยงน้ำชาที่เขาประจิมทิศจบลงจนถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลาสามวันแล้ว
จากการตายของเจ้าแคว้นกุ่นเซี่ยงเทียนชิว รวมถึงการล่มสลายของมหาอำนาจของตระกูลเก่าแก่ทั้งสี่คนอย่าง อวี๋ไป๋ถิง เสวียหนิงเยวี่ยน จ้าวฉิง ไป๋ฮั่นไห่ ทั้งมหานครกุ่นโจวก็เหมือนกับมังกรที่ไม่มีหัว กองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ใช้โอกาสนี้ในปลุกปั่นสร้างปัญหา ขัดแข้งขัดขากันเอง ทำให้สถานการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสภาวะที่วุ่นวายและยุ่งเหยิง
ความวุ่นวายถูกกำหนดมาซึ่งการเข่นฆ่านองเลือด ซึ่งหมายความว่ากองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ในมหานครกุ่นโจวจะเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงใหม่
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับซูอี้ ทว่าถึงอย่างไรเขาก็ถือว่าเป็นผู้ริเริ่มทำเรื่องนี้
เมื่อศัตรูฝ่ายตรงข้ามคว้าโอกาสเหล่านี้ไว้ ย่อมหลีกเลี่ยงเรื่องบ้าคลั่งเหล่านี้ไม่ได้
ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ฉาจิ่นไปหลบอยู่ตำหนักเทียนหยวนเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ ก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ฉาจิ่นก็ตอบตกลง
และในตอนที่ซูอี้กับพวกเขากำลังเตรียมออกเดินทาง จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกลานบ้าน
“คุณชายซู จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซานมาเยี่ยมเยือน”
นี่คือเสียงของเจิ้งเทียนเหอ ที่มีกลิ่นอายความเคร่งขรึมและเสียงต่ำ
จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน?
ซูอี้ขมวดคิ้ว
เชินจิ่วซงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยเสียงเบา “ผู้นี้มีนามว่าเพ่ยเหวินซาน ปรมาจารย์ขั้นสี่ เมื่อสิบห้าปีก่อนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน อยู่ภายในอาณาเขตแคว้นหลิน และเขาเองก็เป็นจวิ๋นอ๋องต่างสกุลคนที่ห้าที่มาจากตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ซูอี้เข้าใจในทันที ว่ากองกำลังของตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงมาถึงหน้าประตูแล้ว
“ฉาจิ่น เจ้าไปต้อนรับแขก”
ซูอี้เอ่ยสั่ง
ไม่นาน ภายใต้ฉาจิ่นที่ทำตามคำสั่ง เจิ้งเทียนเหอกับชายที่มีท่าทางเหมือนปัญญาชนวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา
ชายที่เหมือนปัญญาชนวัยกลางคนผู้นี้สวมชุดหยกที่เหมาะกับร่างพอดี จอนผมถูกหวีอย่างเป็นระเบียบ ใบหน้าหล่อเหลา ผิวขาวหมดจด ดูสุภาพเรียบร้อยและมีมารยาท
รูปร่างเขาดูเหมือนอายุราว ๆ สามสิบกว่าปี
คนผู้นี้ก็คือจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน เพ่ยเหวินซาน
เมื่อเห็นซูอี้ เจิ้งเทียนเหอกำลังจะเปิดปากอธิบาย ก็ถูกซูอี้ส่ายหน้าหยุดไว้
เขาจะมองไม่ออกได้อย่างไร เจิ้งเทียนเหอถูกบังคับให้พาเพ่ยเหวินซานมา?
“พี่เชิน?”
เมื่อมองเห็นเชินจิ่วซง เพ่ยเหวินซานก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
เชินจิ่วซงเอ่ยอย่างเฉยเมย “ข้ากำลังจะถามพอดี เจ้าจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซานที่อยู่ภายในอาณาเขตแคว้นหลินมาตลอด เหตุใดยามนี้กลับมาปรากฏตัวอยู่ที่แห่งนี้?”
เพ่ยเหวินซานยิ้มออกมาครู่หนึ่ง และเอ่ยขึ้น “เพ่ยผู้นี้ได้รับคำสั่งให้มาที่นี่”
ขณะที่กล่าวอยู่ สายตาเขาก็กวาดมองครู่หนึ่ง และมองไปทางซูอี้ ประสานมือคารวะเล็กน้อย “คุณชายสาม ท่านผู้นำตระกูลฝากฝังเพ่ยผู้นี้ให้มาบอกกับท่าน”
ท่านผู้นำตระกูล!
หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงก็รู้ได้ทันทีว่า เพ่ยเหวินซานทำตามคำสั่งซูหงหลี่ผู้นำตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงและมาที่นี่
ซูอี้เอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “พูดมา”
เพ่ยเหวินซานเอ่ย “ท่านผู้นำตระกูลบอกว่า เพียงแค่คุณชายสามก้มหน้ายอมรับผิด ก็จะให้โอกาสคุณชายสามได้กลับตัวกลับใจอีกครั้ง”
ซูอี้ตกใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ซูหงหลี่เอ่ยเช่นนี้จริงรึ?”
เพ่ยเหวินซานขมวดคิ้ว เอ่ยเตือนสติ “คุณชายสาม มีฐานะเป็นลูก ทว่าเรียกแค่ชื่อบิดาโดยตรง เป็นการไม่ให้เกียรติอย่างมาก”
ซูอี้เอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ทำไม เจ้ากำลังสั่งสอนข้าอยู่รึ?”
เพ่ยเหวินซานใช้สายตาสำรวจซูอี้อยู่ครู่หนึ่ง พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มทันที
“ข้าได้ยินมาว่าในงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิมทิศเมื่อหลายวันก่อน คุณชายสามแสดงพลังมหาศาล และสังหารคนไปไม่น้อย ในใจนั้นตกตะลึงอย่างมาก และไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม ทว่าเมื่อเห็นยามนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงการฝึกฝนของคุณชายสาม แค่อาศัยบุคลิกกับความกล้าหาญ ก็มิอาจเปรียบเทียบได้”
เมื่อเอ่ยมาถึงตอนสุดท้าย น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความรู้สึกปลงเล็กน้อย
เขาคือจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซานในต้าโจว ชื่อเสียงขจรไปทั่วหล้า เมื่อรวมเข้ากับตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงหนุนหลังอีก อำนาจและอิทธิพลเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่มาก
เหมือนกับท่านผู้นำตระกูลอย่างเจิ้งเทียนเหอเมื่อเห็นเขา ก็ต้องสุภาพไปสามส่วน
ทว่าเมื่อเดินเข้าไปในเรือนพำนักหินศิลา และเห็นใบหน้าเริ่มแรกของซูอี้ จนถึงตอนนี้ เขากลับไม่รู้สึกถึงแม้แต่ความหวาดหลัวและความเคารพยำเกรงจากอีกฝ่ายเลย
สิ่งนี้ทำให้เพ่ยเหวินซานอดแปลกใจไม่ได้
ในความทรงจำของเขา ซูอี้คือลูกเมียน้อยที่ถูกทิ้งมาตั้งแต่เยาว์วัย ใช้การไม่ได้ ทั้งยังสถานะต่ำต้อย กระทั่งว่าต่ำต้อยเสียยิ่งกว่าหญิงรับใช้ และเด็กรับใช้ด้วยซ้ำไป
แต่ซูอี้ที่เขาเห็นในยามนี้กลับเปลี่ยนไปไม่เหมือนในความทรงจำของเขาเลย
หลังจากเงียบไปเล็กน้อย เพ่ยเหวินซานก็เอ่ยขึ้น “คุณชายสาม ท่านผู้นำตระกูลบอกว่า จะให้เวลาท่านพิจารณาช่วงหนึ่ง จำกัดเวลาในวันที่ห้าต้นเดือนห้า”
วันที่ห้าต้นเดือนห้า!
ซูอี้หรี่ตาลงเล็กน้อย เวลานั้น เยี่ยอวี่เฟยมารดาเขาก็ถูกซูหงหลี่ปลดฐานะในวันที่ห้าต้นเดือนห้านี้ และเจ็บป่วยจนเสียชีวิต
ไม่แปลกใจเลยความหมายแฝงของซูหงหลี่ก็คือ หากตัวเองไม่ก้มหน้ายอมรับผิด ก็จะปลดฐานะเขาเหมือนกับที่ปลดเยี่ยอวี่เฟยมารดาเขาในเวลานั้น!
หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงพวกเขาก็ฟังความหมายแฝงออก จึงอดไม่ได้ที่จะใช้สายตามองไปทางซูอี้
รับชมเห็นซูอี้มีสายตาที่ไม่แยแส และน้ำเสียงไม่มีความสั่นคลอนเลยแม้แต่น้อย
“ให้เวลาข้าพิจารณาเดือนกว่ารึ? เช่นนั้นก็ดี เจ้ากลับไปบอกซูหงหลี่ วันที่ห้าต้นเดือนห้า ข้าจะไปปัดกวาดหลุมศพท่านแม่ข้า เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะไปเอาของเซ่นไหว้ในตระกูลซูล่วงหน้า เพื่อปลอบโยนวิญญาณเยี่ยอวี่เฟยมารดาข้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์”
พลันบรรยากาศเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดกดดันทันที
นัยน์ตาหนิงซือฮวาเผยความประหลาดใจ
เชินจิ่วซงแอบสูดอากาศเย็นเข้าไป
ฉาจิ่นเบิกตากว้าง
เจิ้งเทียนเหอมือไม้สั่นไปครู่หนึ่ง
พวกเขาจะฟังไม่ออกได้อย่างไร ในคำพูดซูอี้ที่ดูเหมือนไม่มีสิ่งใดนั้น จริง ๆ แล้วมีไอสังหารที่ไม่มีที่สิ้นสุดแฝงไว้อยู่?
เป้าหมายคือการฆ่าทั้งตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับเยี่ยอวี่เฟยมารดาเขา พูดไม่ได้ว่าคนส่วนหนึ่งจะถูกฆ่าเป็นเครื่องเซ่นไหว้!
เพ่ยเหวินซานมีสีหน้าลังเล เขาก็ไม่นึกว่า การตอบกลับของซูอี้จะแข็งกร้าวเช่นนี้!
“คุณชายสาม ท่านมิอาจใช้อารมณ์ได้ หากเกิดการทะเลาะกันขึ้นระหว่างพวกเจ้าพ่อลูก เช่นนั้นคงจะจัดการปัญหาไม่ได้ง่าย ๆ แล้ว”
เมื่อสูดหายใจเข้าลึกแล้ว เพ่ยเหวินซานก็จ้องเขม็งไปที่ซูอี้ “ข้าบอกกับท่านได้ว่า หากท่านผู้นำตระกูลโมโหขึ้นมา ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันคงไม่ลังเลที่จะปลดองค์ชายหกที่ถูกมองว่าเจ้าเป็นคนที่คอยสนับสนุนองค์ชาย ถึงตอนนั้น อาศัยเพียงแค่เจ้าผู้เดียว จะเอาสิ่งใดมาสู้กับตระกูลซูทั้งหมด”
สายตาเขาย้ายไปมองเชินจิ่วซง “พี่เชินน่าจะเข้าใจ ว่าคำพูดข้านี้ไม่ได้เป็นการข่มขู่หรือเอ่ยเกินจริง ใช่หรือไม่?”
เชินจิ่วซงเอ่ยด้วยสายตาที่แปลกประหลาดใจ “คำพูดนี้ก็ไม่ผิดอะไร เพียงแต่ ในความคิดข้า ตอนนี้น้องเพ่ยเป็นเพียงแค่คนที่มาส่งสาร ก็ส่งสารอย่างเงียบ ๆ พอ หากเอ่ยในสิ่งที่ไม่สมควรเอ่ย เช่นนั้นก็ไม่ดีแล้ว”
ในใจเขาอยากจะหัวเราะออกมา เพ่ยเหวินซานคิดว่าซูอี้จะอาศัยองค์ชายหกมาต่อสู้กับตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง ช่างเพ้อฝันเสียจริง!
เพ่ยเหวินซานตกใจครู่หนึ่ง สัมผัสได้ว่าท่าทางของเชินจิ่วซงแปลก ๆ เขาจึงหันไปมองซูอี้อีกครั้ง “คุณชายสามคิดเห็นอย่างไร?”
“ข้าจะบอกเจ้าไว้ ลำพังตัวข้าคนเดียวก็ทำลายตระกูลซูให้สิ้นซากได้แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะพูดให้มากความไปเพื่ออะไร?”
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่แยแส “จวิ๋นอ๋องเชินพูดถูก เจ้าเป็นเพียงบุคคลที่มาส่งสาร ข้าก็คร้านที่จะเอาความกับเจ้า นำคำพูดของข้าตั้งแต่ต้นไม่ขาดไปสักตัวหนึ่งกลับไปบอกซูหงหลี่ก็พอ”
“กลับดี ๆ ล่ะ ข้าไม่ไปส่ง”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็โบกมือ
ประหนึ่งไล่ยุง
สีหน้าเพ่ยเหวินซานเปลี่ยนไปหลายครั้ง สุดท้ายเขาก็สูดหายใจเข้าลึก ข่มอารมณ์ความโมโหที่อยู่ในใจเอาไว้ ไม่เอ่ยออกมาสักคำ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อและเดินจากไป