บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 225 ความลึกลับของซูหงหลี่
ตอนที่ 225: ความลึกลับของซูหงหลี่
หลังจากร่างเพ่ยเหวินซานลับตาไปแล้ว
หนิงซือฮวาก็เอ่ยขึ้นมาทันที “ดูเหมือนตระกูลซูจะไม่รู้ว่าสหายเต๋าก่อเรื่องใดในงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิมสินะ”
เชินจิ่วซงนึกคิดครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยตอบ
“ยามนั้น เซี่ยงเทียนชิวและคนอื่น ๆ ตายหมด และคนขององค์ชายหก ย่อมไม่เอ่ยเรื่องการต่อสู้ออกไปแน่”
“ส่วนเหล่าทหารที่อยู่ใต้เชิงเขาประจิม ซึ่งห่างกันสามร้อยจั้ง ก็มิอาจเห็นการต่อสู้ได้ นอกจากว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญในวิถีต้นกำเนิด”
“พวกเขาอาจจะสงสัยว่าคุณชายซูทำเรื่องทั้งหมด แต่ก็อาจจะสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้คุณชายซูมิได้ทำ”
“ถึงอย่างไร การบำเพ็ญของคุณชายซูก็คือขอบเขตรวบรวมลมปราณ หากข้าไม่ได้เห็นเรื่องทั้งหมดกับตา เมื่อได้ยินเรื่องนี้ ก็ยากที่จะเชื่อว่า คุณชายซูอาศัยแค่การบำเพ็ญขอบเขตรวบรวมลมปราณ สังหารฉินฉางซานปรมาจารย์ขั้นห้าบนยอดเขาประจิม”
เชินจิ่วซงเอ่ยต่อ “ตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง จะต้องไม่สืบหาการต่อสู้นั้นแน่ ต่อให้สงสัยว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับคุณชายซู ก็ยากที่จะเชื่อว่าแค่กำลังของคุณชายซูผู้เดียว จะสามารถทำได้ถึงเพียงนี้”
ฉาจิ่นที่คิดแบบเดียวกันเอ่ยเสริม “ดังนั้น เมื่อครู่เพ่ยเหวินซานถึงได้คิดว่า ผู้คอยหนุนหลังคุณชายข้าคือองค์ชายหก ถึงได้เอ่ยเตือนเช่นนั้นออกมา นี่มัน… ช่างน่าขันนัก”
นางเม้มปากยิ้มออกมา
“สหายเต๋าจะแตกหักกับตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงจริง ๆ รึ?”
หนิงซือฮวามองไปทางซูอี้
ซูอี้เอ่ยทันที “ใจมีความอึดอัด หากไม่ตัดก็ไม่สุข”
“เท่าที่ข้ารู้ ในบรรดาผู้แข็งแกร่งแห่งต้าโจว แม้หงเซินชางราชครูแห่งอาณาจักรจะเป็นที่เคารพ ทว่าซูหงหลี่กลับเป็นคนที่ยากจะคาดเดามากที่สุด”
หนิงซือฮวาครุ่นคิดเล็กน้อย “ตอนที่คนผู้นี้ยังหนุ่มแน่น เคยไป ‘หุบเขามารตาข่ายเร้น’ หนึ่งในแปดหุบเขามารใหญ่ และบังเอิญได้รับโอกาสครั้งใหญ่ หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาก็พุ่งทะยานสูงขึ้น”
“ในตอนอายุสามสิบ ซูหงหลี่ก็ถีบตัวเองไปอยู่ในบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ เขาในตอนนั้นถูกขนานนามว่าเป็นบุคคลชั้นนำแห่งยุคด้วยกันกับหงเซินชาง ถูกเรียกว่าเป็น ‘คู่สมบรูณ์แบบแห่งต้าโจว”
“เพียงแต่ ตั้งแต่ช่วยเหลือจักรพรรดิโจวองค์ปัจจุบันนั่งบนบัลลังก์ มาจนถึงตอนนี้ก็ใกล้จะยี่สิบปีแล้ว ซูหงหลี่กลับสนใจเรื่องทางโลกน้อยลง”
“ว่ากันว่าเขาบำเพ็ญตนอยู่ในตระกูลมาตลอด และอุทิศตนให้กับวีถีการฝึกฝน เมื่อดูจากโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับมาในยามนั้น รวมถึงตัวตนที่เคยปรากฏออกมา หากเขาอยากก้าวเข้าไปสู่เส้นทางวิถีต้นกำเนิด ก็คงทำได้ง่ายดาย”
เมื่อฟังจบ พลันสีหน้าฉาจิ่นและเจิ้งเทียนเหอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของซูหงหลี่
“ความน่ากลัวของซูหงหลี่ไม่ใช่แค่นี้แน่”
เชินจิ่วซงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความรู้สึกปลง “ในระหว่างที่เขากักตัวหลายปี สามราชาต่างสกุลกับห้าจวิ้นอ๋องต่างสกุลก็ทยอยออกมาจากตระกูลซู!”
“ว่ากันว่าในบรรดาราชาหรือจวิ๋นอ๋องเหล่านี้ บ้างก็ยอมศิโรราบต่อฝีมือและปณิธานของซูหงหลี่ บ้างก็เติบโตขึ้นมาจากการชี้แนะการฝึกฝนของซูหงหลี่”
“แต่ไม่ว่าอย่างไร บรรดายอดยุทธ์ในใต้หล้านี้ ตำแหน่งมั่นคงของซูหงหลี่นั้น ไม่อยู่ใต้อำนาจของหงเซินชางผู้เป็นราชครูแห่งอาณาจักร”
“ที่เพ่ยเหวินซานพูดก่อนหน้านี้นับว่าถูกต้อง หากทำให้ซูหงหลี่โมโหขึ้นมาจริง ๆ จักรพรรดิโจวองค์ปัจจุบันคงยอมทิ้งองค์ชายหก ทว่ามิอาจสูญเสียการสนับสนุนจากซูหงหลี่หนึ่งใน ‘คู่สมบูรณ์แบบแห่งต้าโจว’ แน่”
เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้ ทำให้ฉาจิ่นกับเชินจิ่วซงตกใจกลัวมาก
ทว่าซูอี้แค่ส่งเสียง ‘อ้อ’ ออกมา
ท่าทางดังกล่าว ในสายตาคนอื่น คงรู้สึกเหมือนถูกมองข้ามและทำแบบขอไปที
ในฐานะที่ซูอี้เป็นลูก กลับไม่สนใจเรื่องราวของซูหงหลี่บิดาตนที่เขย่าขวัญเหล่าผู้คนในใต้หล้าเลยสักนิด
แต่เมื่อนึกถึงผลการรบในงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิม ทุกคนก็ปล่อยวางทันที
ซูอี้ในยามนี้ เพิ่งจะอายุแค่สิบเจ็ดขวบปีเอง แต่สังหารตัวตนแข็งแกร่งอย่างปรมาจารย์ขั้นห้าด้วยวิถียุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณ ตัวตนที่น่าหวาดกลัวนี้ เรียกได้เลยว่าเป็นปีศาจ!
หากให้เวลาเขาในการเติบโต ไหนเลยจะรุ่งโรจน์สู้ซูหงหลี่มิได้กัน?
ส่วนเรื่องอื่น… คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลาที่อาจช้าหรือเร็ว!
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่า เขาเคยพบเรื่องแปลกใน ‘หุบเขามารตาข่ายเร้น’ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในเส้นทางการฝึกบำเพ็ญ?”
ซูอี้เอ่ยถาม
หนิงซือฮวาพยักหน้า “ถูกต้อง นี่คือเรื่องที่รู้กันทั่วใต้หล้า เพียงแต่ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดรู้ว่า ซูหงหลี่พบเรื่องแปลกใด”
ซูอี้ถามอีกครั้ง “หุบเขามารตาข่ายเร้นมีความพิเศษอย่างไร?”
เชินจิ่วซงเอ่ยต่อ “ข้าเคยไปสถานที่แห่งนั้น ตั้งอยู่ภายในอาณาเขตแคว้นชางทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือแห่งอาณาจักรต้าโจว หุบเขานี้ครอบคลุมพื้นที่พันลี้ ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งสีดำตลอดปี สายลมเหน็บหนาวดั่งคมมีด สัตว์ปีศาจโหดร้าย สภาพแวดล้อมเลวร้ายอันตรายมาก”
“บางครั้งก็มีแสงเทพสีดำแปลกประหลาดพุ่งจากส่วนลึกของหุบเขาขึ้นไปบนฟ้า กลายเป็นปรากฏการณ์ที่น่าหวาดกลัวราวกับตาข่ายอึมครึมมืดมิด ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่า ‘แสงแห่งตาข่ายเร้น’ ตั้งแต่นั้นมา”
“ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีปรมาจารย์การบำเพ็ญขั้นไหน เข้าไปในนั้นได้”
“และถึงแม้จะเป็นปรมาจารย์ที่โดดเด่น ก็ไม่กล้าบุกเข้าไปในใจกลางที่กำเนิด ‘แสงแห่งตาข่ายเร้น’ นั่น”
“ที่แห่งนั้นจึงกลายเป็นสถานที่ต้องห้าม ว่ากันว่าเคยมีเทพเซียนเดินดินเข้าไป ทว่าสุดท้ายก็หายไปอย่างแปลกประหลาด และไม่ได้กลับออกมาจนถึงตอนนี้”
เชินจิ่วซงพักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “เพียงแต่ข้ารวมถึงหลาย ๆ คนก็คาดเดาว่า ซูหงหลี่ที่ออกเดินทางไปหุบเขามารตาข่ายเร้นในตอนนั้น อาจได้รับของดีบางอย่างในใจกลางจุดกำเนิด ‘แสงแห่งตาข่ายเร้น’ นั่น แต่มันก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น”
ซูอี้พยักหน้า
จากความเห็นเขา ในยุคสมัยที่พลังวิญญาณเหือดแห้ง ยอดฝีมือแต่ละคนล้วนจำต้องถูกกำหนดให้เจอ ‘เรื่องแปลก’ ไม่มากก็น้อย เหมือนกับซูหงหลี่ผู้นี้
ไม่เช่นนั้น แม้พวกเขาจะมีพรสวรรค์ที่น่าตกใจเพียงใด มีพรสวรรค์ที่แพรวพราวเพียงใด หรืออาศัยการฝึกฝนที่ยากลำบาก ก็มิอาจประสบความสำเร็จมาจนถึงตอนนี้
เหมือนกับตัวเขา ที่มีประสบการณ์มาจากหนึ่งแสนแปดพันปีก่อน มีดาบเก้าคุมขัง ทว่าตอนฝึกฝน ก็หลีกเลี่ยงเผชิญกับปัญหา ‘พลังวิญญาณเหือดแห้ง’ นี้ไม่ได้เช่นกัน
หากตอนนี้ สามารถแสวงหา ‘เรื่องแปลก’ ได้ ก็จะสามารถเพิ่มการฝึกบำเพ็ญไปอีกก้าวหนึ่ง
ทำให้คนคนหนึ่งได้เกิดใหม่ และเปลี่ยนวิถีชีวิตไป!
ไม่นาน เจิ้งเทียนเหอก็ลากลับ ส่วนซูอี้และคนอื่น ๆ ขี่อินทรีเกล็ดเขียวทะยานขึ้นบนฟ้าพาฉาจิ่นกับซื่อหนีไปตำหนักเทียนหยวนก่อน
จากนั้นก็เปลี่ยนเส้นทาง ไปทางหุบเขามารบุปผาโลหิต
ระหว่างทาง ซูอี้หันไปมองตำหนักเทียนหยวนที่ลับตาอย่างรวดเร็ว จู่ ๆ ก็เอ่ยถาม “ตอนนี้หลิงเสวี่ยเป็นอย่างไรบ้าง?”
หนิงซือฮวาฉีกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่รู้ว่าเจ้าจะต้องถามเช่นนี้ออกมา “ไม่เจอนางมาสิบกว่าวัน ก็คิดถึงนางแล้วหรือ?”
ซูอี้เอ่ยอย่างสบาย “นี่เป็นเรื่องปกติ หากถามว่าบนโลกนี้ใครที่ทำให้ข้าซูผู้นี้คิดถึงได้ หลิงเสวี่ยต้องอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน”
คำพูดที่เป็นธรรมชาตินั้น ทำให้หนิงซือฮวาตกใจ ขณะเดียวกันในใจก็รู้สึกดีใจเล็กน้อย ชายหนุ่มนี่… ที่แท้ก็ไม่ใช่คนใจแข็งเหมือนหินสินะ…
ในตอนนั้นเอง นางก็นำนกกระดาษที่ทำจากกระดาษจดหมายสีฟ้าอ่อนออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้กับซูอี้ “อ่ะ หลิงเสวี่ยแม่สาวน้อยนั้นทำให้เจ้า”
ซูอี้ขมวดคิ้ว สายตามองไปทางหนิงซือฮวา “ก่อนหน้านี้เหตุใดถึงไม่นำออกมาให้ข้า?”
หนิงซือฮวาสบสายตาซูอี้ พลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ข้าแค่อยากจะเห็น เจ้าไปหุบเขามารบุปผาโลหิตในครั้งนี้ จะนึกถึงนางหรือไม่ ทว่าไม่นึกเลยว่า เพียงแค่ผ่านตำหนักเทียนหยวนมาเมื่อครู่ เจ้าก็ทนไม่ไหวแล้ว”
น้ำเสียงแฝงไปด้วยความหยอกล้อเล็กน้อย
ซูอี้เอ่ยด้วยอารมณ์ “ผู้หญิงนี่เป็นผู้หญิงจริง ๆ เป็นห่วงความรู้สึกของผู้อื่นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าทำเช่นนี้จะทำให้ผู้อื่นเบื่อหรือไม่”
หนิงซือฮวา “…”
ซูอี้หยิบนกกระดาษมาจากมือนาง จากนั้นก็ค่อย ๆ แกะออก รับชมบนกระดาษจดหมายนั่นไม่มีข้อความใด ๆ ทว่าวาดคนตัวเล็กคนหนึ่งไว้
คนตัวเล็กนั้นนั่งอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้น แขนเล็กทั้งสองไขว้กันอยู่ด้านหน้า และมีท่าทางที่น่าสงสารมาก
แม้จะวาดอย่างลวก ๆ ทว่าท่าทางที่น่าสงสารนั้นกลับเหมือนจริงมาก
ซูอี้ตกใจไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะเงียบ
นี่คือนิสัยของหลิงเหวินเสวี่ย ในตอนที่นางมิอาจแสดงความรู้สึกออกมาได้ นางมักจะแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจนให้เห็นแทนเสมอ
เหมือนกับวันนั้นที่นางต้องไปจากเรือนพำนักหินศิลา นางเสียใจจนขอบตาแดงก่ำ น้ำตาสีใสไหลลงมา…
และตอนนี้ เมื่อเห็นคนตัวเล็กเช่นนี้ ซูอี้ก็มั่นใจสภาพจิตใจในยามนี้ของเหวินหลิงเสวี่ยได้
ไม่ว่าจะเป็นเด็กสาว หรือผู้หญิงที่โตแล้ว ความรู้สึกก็เป็นสิ่งที่เข้าใจยากมากที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้สึกของสาวน้อยมักคล้ายกับบทกลอน เป็นคำกลอนที่ละเอียดอ่อน ยากจะตีความ และง่ายแก่การเข้าใจผิด
แต่ซูอี้แน่ใจว่า หลิงเหวินเสวี่ยในยามนี้ไม่ได้โกรธเขาแน่นอน
แค่นี้ก็พอแล้ว
เขาพับนกกระดาษและเก็บไว้อย่างดี จากนั้นซูอี้ก็มองทะเลเมฆที่ไกลสุดลูกหูลูกตา สายลมหนาวราวกับคมมีดพัดมา ทันใดนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจ
“จดหมายนั้นเขียนว่าอะไรรึ?”
หนิงซือฮวาเอ่ยถามอยากรู้อยากเห็น นางสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของซูอี้ดีขึ้นมาก
“ความลับ”
ซูอี้ตอบกลับแบบผ่าน ๆ
หนิงซือฮวายิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่อยากคุยเรื่องเหวินหลิงเสวี่ยกับนาง จึงไม่เซ้าซี้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
…..
ในวันที่ซูอี้ออกเดินทางไปหุบเขามารบุปผาโลหิต
ตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง
ซูหงหลี่นั่งตกปลาอยู่ริมทะเลสาบ ได้รับจดหมายมาจากเพ่ยเหวินซาน จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน
บนจดหมายนั่นบรรยายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนที่เจอกับซูอี้
แต่เมื่ออ่านถึงเรื่องที่ซูอี้บอกว่าจะมาเอาเครื่องเซ่นไหว้ในตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงก่อนวันที่ห้าเดือนห้า ซูหงหลี่พลันหรี่ตาอยู่ครู่หนึ่ง
ไม่นาน ซูหงหลี่ก็เก็บจดหมายไว้ เอ่ยกับชายชราสวมชุดเต๋าที่อยู่ข้าง ๆ “สหายเต๋า หากข้าสังหารญาติเพื่อความยุติธรรม ฆ่าลูกชายอกตัญญูนั้นเสีย เจ้าจะคิดกับข้าอย่างไร?”
ชายชราสวมชุดเต๋าเงียบไป
เป็นเวลานาน เขาถึงถอนหายใจยาวออกมา “ดูเหมือนจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซานออกโรงในครั้งนี้ ก็มิอาจทำให้ซูอี้เจ้าเด็กคนนี้ก้มหัวได้”
“มีจิตใจที่เข้มแข็งเป็นเรื่องที่ดี ทว่าหากยังโง่งมคิดเป็นศัตรูกับข้าผู้เป็นบิดา นั่นเป็นความผิดอย่างมหันต์ และกฎแห่งสวรรค์ก็มิอาจยอมรับได้!”
ซูหงหลี่เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เหตุผลที่ข้าไว้ชีวิตเขาในตอนนั้น เพราะเห็นว่ามีสายเลือดข้าซูหงหลี่ไหลเวียนอยู่ภายในร่าง ข้าจึงมิอาจทำพฤติกรรมอย่างเสือร้ายกินลูกตัวเองได้ เพื่อที่จะไม่ผู้อื่นด่าลับหลัง และแบกรับความอัปยศในการฆ่าทายาท”
“แต่ไม่นึกเลยว่า แม้ผ่านไปหลายปีแล้ว เขาก็ยังคงโกรธแค้นอยู่ในใจ คิดที่จะชำระความแค้นเพื่อมารดาเขา นี่มันช่างน่าขันเสียจริง!”
เมื่อกล่าวจบ ใบหน้าเขาก็แผ่ไอสังหารที่เย็นชาออกมา
ชายชราสวมชุดเต๋าถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ในความคิดข้า มิสู้ใช้ความสามารถสั่งสอนซูอี้เพียงเล็กน้อย ปีนี้เขาก็มีอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ข้าเชื่อว่าหลังจากที่เขาได้รับการสั่งสอน เขาน่าจะเข้าใจว่าหากทำเช่นนี้ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะหนักหนาสาหัสเพียงใด”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “การสังหารทายาทเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกเกินไป และอาจไม่เอื้อผลต่อชื่อเสียงและความนิยมของสหายเต๋า อาจถูกบีบจนไม่มีทางเลือกได้”
ซูหงหลี่เงียบไปนานมาก สุดท้ายเขาก็พยักหน้าขึ้นมา
“ช่างเถอะ ข้าจะทำให้เจ้าลูกอกตัญญูได้เห็น เพียงแค่ตระกูลซูใช้พลังเพียงส่วนเดียว ก็สามารถทำให้เขาสูญเสียทุกสิ่งที่เขามีในตอนนี้ได้!”
“หากในตอนนั้น เขายังไม่ก้มหน้ารับผิดและแก้ไข เช่นนั้น…”
เขายังเอ่ยไม่ทันจบ จู่ ๆ คันเบ็ดที่อยู่ในทะเลสาบก็กระตุกขึ้นมา
ซูหงหลี่สะบัดมือ ปลาใหญ่สีทองอวบอ้วนหนึ่งตัวโผล่มาเหนือน้ำ
ชายชราสวมชุดเต๋ายิ้มพลางปรบมือไปด้วย “ปลาหลีฮื้อสีทองติดเบ็ด เป็นสัญญาณที่ดี!”