บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 226 เหยียบย่ำเจ้าเพราะหวังดีต่อเจ้า
ตอนที่ 226: เหยียบย่ำเจ้าเพราะหวังดีต่อเจ้า
อาทิตย์ยามเย็นประดุจดังสีของโลหิต
บนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ หุบเขามารบุปผาโลหิตที่ห่างไกลออกไปนับพันลี้ดุจดังงูหลามขนาดมหึมานอนขดคดเคี้ยว
ท้องฟ้าอึมครึมมืดครึ้ม ห่างจากแถบตะวันตกเฉียงใต้ของหุบเขามารบุปผาโลหิตไม่ไกลนักมีการก่อสร้างค่ายทหารขึ้น
โจมทหารเรียงรายเนืองแน่น ธงชัยสูงตระหง่านโบกสะบัด
‘กองทัพเกราะเขียว’ ซึ่งเป็นกองทัพแข็งแกร่งภายใต้การบัญชาของจวิ้นอ๋องอู่หลิงแห่งต้าโจวเป็นกองทัพที่อยู่ประจำการ ณ ตรงนี้มาเป็นเวลานาน
ในช่วงระยะเวลาหลายปีมานี้ จวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งได้นำพากองทัพเกราะเขียวปราบสัตว์อสูรและปีศาจ ณ ที่ตรงนี้จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน สะสมผลงานความชอบมากมาย ทำให้กิตติศัพท์ของกองทัพเกราะเขียวกระฉ่อนไปทั้งใต้หล้า
“จวิ้นอ๋องยังไม่กลับมารึ?”
ภายในตำหนักที่สร้างด้วยก้อนหินเนื้อหยาบขนาดใหญ่ จางอี้เหรินมือไพล่หลังเดินกลับไปกลับมา ความกังวลกลัดกลุ้มผุดขึ้นบนใบหน้า
“ยังขอรับ”
ผู้ชายร่างสูงใหญ่สวมชุดเกราะส่ายหน้า
เมื่อห้าวันก่อน ได้เกิดความเคลื่อนไหวอันผิดปกติขึ้นภายในหุบเขามารบุปผาโลหิต เสียงสายฟ้าฟาดดังกึกก้องนานเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยาม สัตว์อสูรในหุบเขาพากันหวีดร้องคลุ้มคลั่ง
จวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงเดินทางขึ้นไปตรวจสอบสภาพของหุบเขามารบุปผาโลหิตแต่เพียงลำพัง
ใครกันจะคาดคิดว่าเขาออกไปในครั้งนี้ ถึงบัดนี้แล้วก็ยังไม่กลับมา
“หวังว่าจวิ้นอ๋องจะปลอดภัย…”
จางอี้เหรินสูดหายใจลึก ๆ
ผ่านไปอีกสี่วันก็จะเกิดปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลั่งซึ่งสิบปีจึงจะเกิดหนึ่งครั้ง
ถึงเวลานั้น กองทัพเกราะเขียวทั้งกองทัพต้องเฝ้ารักษาการณ์อย่างแข็งขัน เพื่อป้องกันภัยจากฝูงอสูรคลั่งที่วิ่งออกมาจากหุบเขามารบุปผาโลหิตราวกับกระแสน้ำเชี่ยว
หากว่าไม่มีจวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งอยู่บัญชาการ กำลังใจของเหล่าทหารจักต้องถดถอยเป็นแน่
ทันใดนั้นเอง มีเสียงสับสนอลหม่านดังมาแต่ไกล
“เกิดเหตุอันใดขึ้นบนสนามฝึกซ้อม?”
หัวคิ้วของจางอี้เหรินขมวดแน่น
สีหน้าของผู้ชายร่างสูงใหญ่เปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวขึ้นมาเบา ๆ “รองผู้บัญชาการ หม่าซานเหว่ยกับนายหมู่หวงเฉียนจวินคงกำลังประลองกำลังร่วมกันอยู่ขอรับ”
จางอี้เหรินขมวดหัวคิ้วแน่น หัวเราะเสียงเย็นชากล่าว “ หม่าซานเหว่ยเป็นถึงปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง กลับรังแกคนหนุ่มช่วงขอบเขตลมปราณขั้นหนึ่งงั้นหรือ? ช่างไม่รู้จักละอายแก่ใจบ้างเลย!”
“ตามที่ใต้เท้าหม่ากล่าว หวงเฉียนจวินเพิ่งเข้าสู่กองทัพเกราะเขียวของพวกเราได้ไม่ถึงเดือน จากทหารชั้นล่างสุดก็ได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นนายหมู่ที่อายุน้อยที่สุดในกองทัพเกราะเขียวของพวกเราเสียด้วย ฮึกเหิมกำแหงเช่นนี้จะต้องดับให้ลดความลำพองลงบ้าง”
ผู้ชายร่างสูงใหญ่กล่าวเสียงเคร่งขรึม
“ลดความลำพอง?”
จางอี้เหรินกล่าวไม่พอใจ “ตามที่ข้ารู้มา หวงเฉียนจวินอาศัยความสามารถแท้จริงสร้างผลงานความชอบ รับตำแหน่งเช่นนั้นก็สมควรเป็นอย่างยิ่ง หม่าซานเหว่ยมีคุณสมบัติอันใดไปลดความลำพองของคนหนุ่มเช่นนี้?”
ผู้ชายร่างสูงใหญ่นิ่งเงียบไปในทันใด
หวงเฉียนจวินเข้าสู่กองทัพเกราะเขียวได้ไม่นานก็จริง ทว่าสามารถเข้าร่วมการประหัตประหารที่คุกรุ่นไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งใหญ่และเล็กถึงหลายสิบครั้ง ฆ่าสัตว์อสูรมาแล้วเกือบสามร้อยตน!
การเลื่อนตำแหน่งในกองทัพเกราะเขียวกำหนดด้วยจำนวนความชอบที่สร้าง
ยิ่งมีความดีความชอบมาก การเลื่อนตำแหน่งก็ยิ่งเร็ว
หวงเฉียนจวินอาศัยความดีความชอบที่สั่งสมจากการฆ่าสัตว์อสูร ดังนั้นในช่วงระยะเวลาไม่ถึงเดือนจึงได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนายหมู่อายุน้อยที่สุดในกองทัพเกราะเขียว
ณ จุดนี้ เป็นที่ทราบกันดีไม่มีสิ่งใดต้องสงสัย
“ไป ไปดูกัน”
จางอี้เหรินลุกขึ้น เดินออกจากตำหนักใหญ่ มุ่งหน้าไปยังสนามประลองที่อยู่ไกลออกไป
ผู้ชายร่างสูงใหญ่รีบตามไป
แสงตะวันยามเย็นประดุจสีเลือด
ลมหมุนละอองฝุ่นบนสนามประลอง โอบล้อมทหารกองทัพเกราะเขียวจำนวนมากไว้
กลางสนามประลอง
หวงเฉียนจวินถูกกดแนบติดพื้น สองแขนถูกมือใหญ่จับบิดติดหลัง ฝ่าเท้าขนาดใหญ่เหยียบหน้าของเขากดติดกับพื้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นละออง ไม่ว่าจะดิ้นรนเช่นใดก็ไม่สามารถหลุดการจับกุมพ้น
เจ้าของฝ่าเท้าขนาดใหญ่คือผู้ชายร่างผอมสวมเครื่องแต่งกายของนายทหาร ผิวของเขาแดงคล้ำเป็นเงามันสว่าง ในดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต
เวลานี้ ผู้ชายร่างผอมบางแผดเสียงตะคอก “ยอมหรือไม่?”
ขณะที่พูด
ปลายเท้าของเขากดขยี้จนหน้าของหวงเฉียนจวินบิดงอฉีกทึ้ง กระดูกกรามร้าวจนยุบ
รอบด้านสนามประลอง ทหารจำนวนมากมายร้องตะโกนด้วยความเจ็บใจ
“รองผู้บัญชาการหม่าแสดงฝีมือ!”
มีคนร้องให้กำลังใจผู้ชายร่างผอม
“หวงเฉียนจวิน รีบยอมแพ้โดยเร็ว พ่ายแพ้ให้แก่รองผู้บัญชาการหม่าไม่ขายหน้า”
มีคนมองดูหวงเฉียนจวินที่แนบติดพื้นด้วยความเป็นห่วง รู้สึกหวาดเสียวแทน
“ดูสิ นี่ก็คือผลที่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อรองผู้บัญชาการหม่า เป็นเพียงแค่คนเพิ่งมาใหม่เท่านั้น ถึงแม้จะสร้างผลงานความชอบมากมาย ทว่าฮึกเหิมลำพองตัวเกินไป ไม่รู้จักอ่อนน้อมเสียบ้าง ไม่มีทางได้ดีอย่างแน่นอน”
บางคนสมน้ำหน้า
หวงเฉียนจวินหน้าบวมจมูกช้ำ ในสายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ร้องด่าเสียงแหบแห้ง “อยากจะให้ข้าก้มหัวให้ เง็กเซียนฮ่องเต้มาก็ไม่มีทาง!”
ประกายเย็นยะเยือกปรากฏบนแววตาของหม่าซานเหว่ย ปลายเท้าบดขยี้อย่างแรง ศีรษะของหวงเฉียนจวินจึงถูกบีบอัดจนบิดเบี้ยว
“รองผู้บัญชาการหม่า เพียงแค่ฝึกประลองร่วมกันเท่านั้น อย่าได้โกรธเกรี้ยว”
เวลานี้เอง หญิงสาวท่าทางสวยแชล่มในเครื่องแต่งกายทหารวิ่งออกมา ดึงดูดสายตาจำนวนนับหลายคู่บนสนามประลอง
หนานอิ่ง!
กองทัพเกราะเขียวมีทหารถึงสามหมื่นคน ทว่ามีผู้หญิงเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
หนานอิ่งคือหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนนั้น อีกทั้งยังเป็นหญิงงามสวยเด่นมากเสียด้วย
ครั้งนั้นที่นางกับศิษย์สำนักดาบชิงเหอคนอื่น ๆ เข้าร่วมกองทัพเกราะเขียว ได้สร้างความแตกตื่นฮือฮาทั่วทั้งกองทัพเกราะเขียว พวกผู้ชายหยาบกร้านไม่รู้จำนวนเท่าใดถึงกับน้ำลายไหล
เห็นหนานอิ่งแล้ว สายตาของหม่าซานเหว่ยอ่อนละมุนขึ้นมาไม่น้อย พลางกล่าวคำออก
“ข้าทำไปเพราะหวังดีต่อเขา ใช้วิธีประลองกำลังร่วมกันดับความฮึกเหิมลำพองตนของเขาลงบ้าง เขาจะได้ไม่โอหังจนมองไม่เห็นใครในสายตา วันข้างหน้าจะได้ไม่ตายโดยไม่รู้ตัวว่าตายเช่นใด”
หนานอิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานชื่น “รองผู้บัญชาการหม่าปรารถนาดีถึงเพียงนี้ คิดว่าวันข้างหน้าเมื่อหวงเฉียนจวินเข้าใจขึ้นมาได้จะต้องซาบซึ้งในน้ำใจของท่านไม่มีวันลืม”
พูดจบนางเบนสายตามองไปที่หวงเฉียนจวิน จากนั้นกล่าวเกลี้ยกล่อม “พี่หวง ฟังคำข้าสักหน่อยเถอะ ยอมก้มหัวให้รองผู้บัญชาการหม่าโดยเร็วและรีบขอโทษเสีย เชื่อว่าด้วยจิตใจที่กว้างขวางของรองผู้บัญชาการหม่า จะต้องให้อภัยเจ้าอย่างแน่นอน”
“ถุย!”
หวงเฉียนจวินตะโกนด่าด้วยสายตาดุดัน “ผู้หญิงสารเลวอย่างเจ้าก็ไม่ใช่คนดิบดีอะไรนัก นับตั้งแต่เข้ามาในกองทัพเกราะเขียวก็ใช้ความสวยให้ท่าหม่าซานเหว่ย เวลานี้ยังจะแสร้งทำเป็นคนดีอีก? คลื่นไส้! รีบไสหัวไปให้พ้น ๆ!”
“เจ้า…”
ถูกด่าประณามเช่นนี้ หนานอิ่งโกรธจนหน้าดำหน้าแดง
สีหน้าของหม่าซานเหว่ยเคร่งขรึมลง ความเย็นยะเยือกผุดขึ้นในสายตา งัดปลายเท้าขึ้นอย่างแรง
ปัง!
ตัวของหวงเฉียนจวินถูกงัดกระเด็น กระแทกกับพื้นที่อยู่ไกลนับสิบกว่าจั้งอย่างแรง กระดูกในตัวส่งเสียงกระทบกระทั่งอย่างแรง แสดงสีหน้าเจ็บปวดออกมา
ไม่รอให้เขาลุกขึ้นยืน หม่าซานเหว่ยพุ่งเข้ามาบีบคอแล้วยกค้างกลางอากาศ แล้วกล่าวคำออก
“หนานอิงช่วยขอร้องแทนเจ้า แต่เจ้ากลับพูดจาใส่ร้ายนาง ยังถือโอกาสทำลายชื่อเสียงของข้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าพูดเพียงประโยคเดียวก็สามารถถอนตำแหน่งบนตัวของเจ้าได้ และลงโทษตามกฎของทหาร?”
คำพูดรุนแรง บีบคั้นกดดัน
ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงบ
ใครบ้างที่มองไม่ออกว่ารองผู้บัญชาการหม่าซานเหว่ยโกรธเกรี้ยวมากแล้ว
“รองผู้บัญชาการหม่า ข้าอยากจะถามสักประโยคหนึ่ง การประลองกันในวันนี้ เจ้าเป็นคนเริ่มขึ้นก่อน เดิมทีเป็นเพียงแค่การประลองเพื่อศึกษาร่วมกันเท่านั้น ท่านกลับถือโอกาสสบประมาทหวงเฉียนจวินโดยการเหยียบย่ำให้อยู่ใต้ฝ่าเท้า นี่เป็นสิ่งที่รองผู้บัญชาการควรจะกระทำเช่นนั้นหรือ?”
ทันใดนั้นเอง หนุ่มน้อยคนหนึ่งวิ่งออกมาถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ทุกคนหันมอง นึกออกในทันใดว่าหนุ่มน้อยคนนี้คือหลี่โม่อวิ๋น เขาก็เหมือนกับหวงเฉียนจวินเข้ามาร่วมกองทัพเกราะเขียวในวันเดียวกัน
“ไอ้คนบัดซบ ไม่เห็นหรือว่าข้าอุตส่าห์ออกตัวว่าประลองกำลังเพื่อช่วยแก้ไขนิสัยเสียบนตัวของหวงเฉียนจวิน? ความปรารถนาดีของข้ากลับถูกเจ้ามองว่าเป็นการใช้กำลังรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า พูดทำลายปณิธานของข้า เหลวไหลสิ้นดี!”
สายตาอันเย็นยะเยือกน่ากลัวประดุจคมมีดดาบของหม่าซานเหว่ยมองไปยังหลี่โม่อวิ๋น “ไอ้เด็กน้อย เจ้าเพิ่งจะเข้ามาอยู่ในกองทัพเกราะเขียวได้ไม่นาน ข้าไม่ถือสาเอาความเจ้า หากว่ายังพูดพล่ามเหลวไหลอีก อย่าได้โทษข้าที่ลงโทษเจ้า!”
น้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความข่มขู่
ทว่าหวงเฉียนจวินกลับหัวเราะด้วยความบันดาลโทสะ “ปรารถนาดีต่อข้าอะไรกัน ถุย! ข้าต้องการความปรารถนาดีจากเจ้าด้วยหรือ? เห็นว่าจวิ้นอ๋องไม่อยู่จึงคิดจะฉวยโอกาสนี้จัดการกับข้า ไม่ใช่หรอกหรือ? ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ วันนี้เจ้าฆ่าข้าไม่ได้ รับรองได้ว่าวันข้างหน้าข้าจะเอาคืนสิบเท่าร้อยเท่า!”
“เจ้าอยากตายเช่นนั้นรึ!”
หม่าซานเหว่ยยกมือซ้ายขึ้นจะตบหน้าหวงเฉียนจวินด้วยความโมโห
ขณะนี้เอง จางอี้เหรินก็มาถึงร้องตะคอกเสียงดัง “ช้าก่อน!”
หม่าซานเหว่ยขมวดหัวคิ้ว กล่าว “จางอี้เหริน เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังสั่งสอนหวงเฉียนจวินให้รู้ว่าเป็นทหารกองทัพเกราะเขียวที่ถูกต้องควรทำตัวเช่นใด?”
จางอี้เหรินกล่าวเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นถึงรองผู้บัญชาการแต่กลับใช้อำนาจรังแกผู้น้อย ทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า ไม่รู้สึกละอายบ้างเลยหรือ? ยังมีหน้ามาพูดอีกว่าทำไปเพราะปรารถนาดีต่อหวงเฉียนจวิน เหตุใดข้าจึงไม่เคยรู้มาก่อนว่า ‘นักฆ่าหน้าเย็น’ อย่างเจ้ายังมีจิตใจดีงามถึงเพียงนี้?”
บรรยากาศโดยรอบกดดันขึ้นมา
เหล่าทหารที่อยู่ใกล้ ๆ ต่างก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
ในกองทัพเกราะเขียว จวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งคือผู้มีอำนาจสูงสุด มีรองผู้บัญชาการห้านายอยู่ใต้บังคับบัญชา ซึ่งแต่ละคนรับผิดชอบทหารจำนวนประมาณหกพันนาย
ตำแหน่งรองจากรองผู้บัญชาการก็คือนายกอง นายหมู่ และนายสิบ
พูดถึงตำแหน่งแล้ว จางอี้เหรินอยู่ระดับเดียวกับหม่าซานเหว่ย ล้วนเป็นรองผู้บัญชาการ
ตอนนี้ เป็นเพราะหวงเฉียนจวินเพียงคนเดียว กลับทำให้รองผู้บัญชาการทั้งสองถึงกับต้องทะเลาะเบาะแว้งอย่างดุเดือด!
แววตาของหม่าซานเหว่ยส่อประกาย แล้วกล่าวคำออก “จางอี้เหริน เจ้าอย่าลืม วันแรกที่หวงเฉียนจวินคนนี้เข้าสู่กองทัพเกราะเขียว จวิ้นอ๋องเคยได้สั่งกำชับเอาไว้ ให้ปฏิบัติต่อหวงเฉียนจวินด้วยความเคร่งครัดอย่างที่สุด เพื่อให้เขาสามารถกลายเป็นเสาหลักของกองทัพเกราะเขียวของพวกเราได้อย่างแท้จริง”
คำกล่าวของเขาสัตย์ซื่อ สีหน้าเกรงขาม “ข้าทำไปทั้งหมดนี้ล้วนทำเพื่อส่วนรวม เพื่อขัดเกลาและแก้ไขความฮึกเหิมลำพองในตัวของเขา!”
จางอี้เหรินกล่าวสีหน้าเครียด “อย่างเจ้าเช่นนี้เรียกว่าทำเพื่อส่วนรวม? หากว่าจวิ้นอ๋องอยู่ เจ้ากล้ากล่าวเช่นนี้อีกครั้งหรือไม่?”
หม่าซานเหว่ยหัวเราะเสียงเย็นชาพลางกล่าว “เหตุใดข้าจะไม่กล้า? หากว่าจวิ้นอ๋องทราบว่าข้าทำไปเพราะปรารถนาดีต่อหวงเฉียนจวิน ไม่มีทางว่ากล่าวสิ่งใดอย่างแน่นอน!”
จางอี้เหรินอดกลั้นต่อไปไม่ไหวเดือดดาลขึ้นมา ขณะที่กำลังจะเอ่ยกล่าวความ
หวงเฉียนจวินกล่าวเสียงเย็นยะเยือก “ใต้เท้าจาง ท่านไม่ต้องเสียเวลาพูดพล่ามกับคน ๆ นี้หรอก วันข้างหน้าข้าก็จะใช้เหตุผลกวนฝ่าเท้าเช่นนี้ตอบสนองต่อรองผู้บัญชาการหม่าให้สาสมเช่นกัน!”
“ดูสิ นี่เป็นคำที่นายหมู่สามารถกล่าวต่อรองผู้บัญชาการเช่นนั้นหรือ? ในสายตามองไม่เห็นหัวผู้ใหญ่แม้แต่น้อย!”
ประกายเย็นเฉียบผุดขึ้นในแววตาของหม่าซานเหว่ย “ขืนไม่กำราบความฮึกเหิมลำพองตนของไอ้คนนี้อีก วันข้างหน้าจะต้องกลายเป็นหายนะของกองทัพเกราะเขียวของพวกเราอย่างแน่นอน!”
พูดจบ เขาง้างมือขึ้นจะตบหวงเฉียนจวิน
ในเวลานี้เอง เสียงดังกังวานก็ดังก้องเต็มท้องฟ้า
ถัดจากนั้น ท่ามกลางสายตาอันตื่นตระหนกของคนทั้งหลาย อินทรีเกล็ดเขียวงามสง่าตัวหนึ่งปรากฏตัวราวกับสายฟ้าแลบ ร่อนลงกลางสนามประลองแห่งนี้
บนหลังของอินทรีเกราะเขียว ซูอี้ หนิงซือฮวา เชินจิ่วซงทยอยเดินลงมา
ชั่วครู่เดียว สายตาของคนทั้งหลายล้วนรวมอยู่บนจุดเดียวกัน
“ซูอี้!”
มองเห็นซูอี้แล้ว สีหน้าของหนานอิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลังจากถอยออกไปเงียบ ๆ นางก็แทรกตัวท่ามกลางทหารที่มุงดูราวกับกลัวว่าซูอี้จะมองเห็น
หลี่โม่อวิ๋นนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ในใจเกิดความสับสน
หวงเฉียนจวินก็ตะลึงเช่นกัน แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง พี่ซูมาได้อย่างไร?
จางอี้เหรินใจเต้นรัว แอบร้องในใจว่าแย่แล้ว
ซูอี้มาเห็นหวงเฉียนจวินถูกรองผู้บัญชาการแห่งกองทัพเกราะเขียวรังแกเช่นนี้ ในใจของคนหนุ่มผู้เก่งกาจราวกับเซียนตกสวรรค์คนนี้จะคิดเช่นใด?