บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 227 สั่งสอนให้เจ้ามีความเป็นคน
ตอนที่ 227: สั่งสอนให้เจ้ามีความเป็นคน
หม่าซานเหว่ยไม่รู้จักซูอี้กับหนิงซือฮวา ทว่าพอเห็นจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงเชินจิ่วซง ก็นึกออกในทันใดว่าคือใคร
เขารีบปล่อยมือขวาที่บีบคอหวงเฉียนจวินเสียแน่น จัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วจึงประสานมือคารวะพลางกล่าว
“หม่าซานเหว่ย รองผู้บัญชาการแห่งกองทัพเกราะเขียวคารวะจวิ้นอ๋องเชิน!”
เหล่าทหารกองทัพเกราะเขียวที่อยู่ในสถานการณ์ต่างก็สะดุ้งสุดตัว เมื่อทราบฐานะของเชินจิ่วซงแล้วต่างพากันแสดงความเคารพ
เชินจิ่วซงพยักหน้าเล็กน้อย จึงกล่าว “ไม่ต้องมากพิธี”
เวลานี้ จางอี้เหรินก้าวเดินขึ้นมาข้างหน้า ยิ้มพลางคารวะต่อเชินจิ่วซงก่อน
จากนั้นจึงกล่าวกับซูอี้เบา ๆ “คุณชายซู ไม่นึกเลยว่าท่านก็มาด้วย”
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจกับคำทักทายของเขา
นับตั้งแต่ที่มาถึงสนามประลอง สายตาของซูอี้ก็เพ่งมองไปที่หวงเฉียนจวินตลอดเวลา
เป็นธรรมดาที่ได้เห็นภาพ หม่าซานเหว่ยใช้มือขวาหิ้วคอหวงเฉียนจวินราวกับหิ้วลูกไก่น้อย
และยังเห็น หม่าซานเหว่ยง้างมือซ้ายขึ้นตบหน้าหวงเฉียนจวินด้วยความปรารถนาดีเช่นกัน
“นี่มันเรื่องอันใดกัน?”
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจสายตาคนอื่น เขาเบนสายตาจ้องไปที่หวงเฉียนจวิน เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ
เผชิญกับสายตาของซูอี้ หวงเฉียนจวินแสดงสีหน้าละอายแก่ใจออกมา พลางกล่าว
“พี่ซู ข้า… ทำให้ท่านต้องเสียหน้าอีกแล้ว…”
เขาอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียเหลือเกิน
ตอนลาจากกันครั้งอยู่เขตมหานครอวิ๋นเหอ เขาเคยแอบสาบานในใจว่าจะต้องสร้างชื่อเสียงในกองทัพเกราะเขียวให้ได้ เพื่อไม่ให้เสียแรงที่ซูอี้คอยดูแลและอบรมสั่งสอนตัวเอง
ใครเล่าจะนึกว่าจู่ ๆ ซูอี้ก็มาเห็นตอนที่ถูกรังแกเข้าจนได้!
ครั้งนี้ กระทั่งหนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงก็ยังรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล สายตาจับจ้องมองไปยังหวงเฉียนจวินราวกับกำลังใช้ความคิด
สายตาของหม่าซานเหว่ยหรี่ลงเล็กน้อย ยิ้มพลางประสานมือคารวะ “เรียนถามจวิ้นอ๋องเชิน คุณชายท่านนี้คือ?”
สีหน้าของเชินจิ่วซงเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันใด ตอบด้วยสีหน้าราบเรียบไร้ความรู้สึก “เจ้าอธิบายมาก่อนดีกว่าว่าเมื่อสักครู่นี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เห็นว่าท่าทีของเชินจิ่วซงเปลี่ยนไป หม่าซานเหว่ยใจเต้นขึ้นมา รู้สึกได้ตะหงิด ๆ ว่าสถานการณ์ไม่ดีนัก
จางอี้เหรินทนไม่ไหวกล่าวขึ้น “หม่าซานเหว่ย ดีที่สุดจงบอกไปตามความจริง มิเช่นนั้น หากทำให้คุณชายซูไม่พอใจ ต่อให้จวิ้นอ๋องกลับมาแล้วก็ไม่อาจคุ้มหัวเจ้าได้!”
สีหน้าของหม่าซานเหว่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฟังออกว่าจางอี้เหรินกำลังบอกเตือนตัวเองอยู่
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาเข้าใจได้ว่าคนหนุ่มชุดเข้มที่ถูกเรียกว่า ‘คุณชายซู’ นั้นมีฐานะที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
สูดหายใจลึก ๆ ไปครั้งหนึ่ง หม่าซานเหว่ยจึงกล่าวเสียงเคร่งขรึม “หวงเฉียนจวินคนนี้เป็นนายหมู่อยู่ในกองทัพเกราะเขียวของข้า ช่วงระยะนี้สร้างความดีความชอบมากมาย การแสดงออกโดดเด่นเกินใคร สามารถเรียกได้ว่าเป็นต้นกล้าที่ดีซึ่งหาได้ยาก”
พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป “แต่ตามที่ข้าสังเกต พบว่าช่วงระยะนี้สภาพจิตใจของหวงเฉียนจวินก็เกิดความเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน”
“ดังคำกล่าวที่ว่าหยกไม่เกลาไม่อาจเป็นหยกน้ำงาม ข้าเป็นห่วงว่าเขาจะฮึกเหิมลำพองตน ได้หน้าจนลืมตัว จึงอาศัยการประลองศึกษาร่วมกันครั้งนี้เตือนสติเขา ตั้งใจจะกำราบความหยิ่งยโสในตัวเขา เขาจะได้มองเห็นตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่นนี้จะเป็นผลดีต่อการเติบโตในวันข้างหน้าของเขาด้วย…”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้ หวงเฉียนจวินก็หัวเราะเสียงเย็นชาตัดบทขึ้นมา “รองผู้บัญชาการหม่า เจ้ากล้าพูดจากจิตใจดีงามของตนเองได้หรือไม่ว่าทุกถ้อยทุกคำที่กล่าวมานั้นล้วนเป็นความจริง เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริง?”
สีหน้าของหม่าซานเหว่ยเปลี่ยนไป น้ำเสียงเคร่งเครียด “ข้าเป็นรองผู้บัญชาการ มีเหตุผลอันใดต้องรังแกคนหนุ่มเช่นเจ้าด้วย?”
พูดจบ เขาก็กล่าวจริงจัง “ตอนที่จวิ้นอ๋องให้เจ้าเข้าสู่กองทัพเกราะเขียวก็เคยสั่งกำชับไว้เช่นกันว่าต้องเคร่งครัดต่อเจ้าอย่างที่สุด ถึงแม้เมื่อสักครู่ข้าจะลงมือรุนแรงไปสักหน่อย แต่ล้วนเป็นเพราะปรารถนาดีต่อเจ้า”
“แล้วเจ้าเล่า ไม่เพียงแต่ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณ ทั้งยังพูดจาให้ร้ายคนอื่น กล่าวหาว่าหนานอิ่งกับข้ามีสัมพันธ์ส่วนตัว เช่นนี้ใครกันจะไม่โกรธ?”
ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ หม่าซานเหว่ยยังคงแสดงตนเป็นผู้อาวุโสที่ยึดหลักคุณธรรม ซื่อตรงไม่คดงอ
เช่นนี้ทำให้หวงเฉียนจวินโมโหจนแทบจะหัวเราะออกมา เคยเห็นคนที่ไร้ยางอายมาแล้ว แต่ไม่เคยเห็นคนที่ไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้!
“หนานอิ่ง?”
ซูอี้ขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย กวาดตามองโดยรอบ ทันใดก็มองเห็นหนานอิ่งซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงคน
ชั่วขณะนี้ หนานอิ่งรู้สึกหนังหัวชาไปหมด แทบอยากจะร้องด่าหม่าซานเหว่ยออกมา อยู่ดี ๆ จะเอ่ยถึงชื่อของตนเองเพื่ออะไร?
ทว่าเผชิญกับสายตาของซูอี้แล้ว หนานอิ่งจึงจำเป็นต้องสงบสติอารมณ์เข้าไว้
นางฝืนฉีกยิ้มที่แข็งกระด้างออกมา แล้วกล่าวคำ “ศิษย์พี่ซู ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
ทุก ๆ คนพากันตะลึง หนุ่มน้อยชุดเข้มคนนี้คือศิษย์พี่ของหนานอิ่ง!?
กระทั่ง หม่าซานเหว่ยเองก็ยังรู้สึกงงงัน นี่มันเรื่องอันใดกัน?
ซูอี้ไม่ได้สนใจสายตาที่มีแต่ความพิศวงของผู้คนทั้งหลาย และไม่สนใจหนานอิ่งด้วยเช่นกัน ถามขึ้นมา “จวิ้นอ๋องอู่หลิงไม่อยู่หรือ?”
จางอี้เหรินรีบตอบ “จวิ้นอ๋องเดินทางขึ้นไปยังหุบเขามารบุปผาโลหิตตั้งแต่เมื่อห้าวันก่อนแล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาขอรับ”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นวันนี้ข้าต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเองเสียแล้ว”
พูดจบ เขาเบนสายตามองไปที่หม่าซานเหว่ย จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา “มา เจ้ากับข้ามาประลองกันสักตั้ง วันนี้ข้าก็จะแหกกฎสักครั้ง จะสั่งสอนให้เจ้ารู้จักมีความเป็นคนด้วยตนเอง”
คำพูดบางเบาประโยคเดียวทำให้บรรยากาศในสนามเงียบสงบในทันใด
จางอี้เหรินตื่นตระหนกในใจ รีบกล่าว “คุณชายซู เรื่องในวันนี้ ข้าเชื่อว่าเมื่อจวิ้นอ๋องกลับมาแล้วจะต้องมีคำตอบอันน่าพึงพอใจให้แก่หวงเฉียนจวินอย่างแน่นอน ท่านเป็นแขกมาจากแดนไกล สู้…”
“รองผู้บัญชาการจาง ข้าทำไปเพราะปรารถนาดีต่อเขา”
ซูอี้ชายตามองไปยังจางอี้เหริน “เจ้าขัดขวางข้าเช่นนี้ เพราะไม่อยากให้ข้าปรารถนาดีต่อเขาหรือ?”
จางอี้เหรินหัวเราะฝืด ได้แต่ถอนใจไม่พูดความอีก
“คุณชายท่านนี้ เรื่องของหวงเฉียนจวิน อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องของกองทัพเกราะเขียวของพวกเรา เจ้าสอดมือเข้ามายุ่งด้วยเช่นนี้ คงไม่เหมาะสมกระมัง?”
หม่าซานเหว่ยขมวดคิ้วขึ้น เอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
เพียงแค่ชั่วแวบเขาก็มองออกว่าซูอี้ยังไม่ได้ย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ กลิ่นอายรอบตัวแฝงไว้ซึ่งพลังสะท้านฟ้าสยบดินเพียงบางเบาเท่านั้น นี่คือลักษณะเริ่มต้นของขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสาม!
บางทีซูอี้อาจจะมีฐานะที่ไม่ธรรมดา ทว่าหากต้องประมือกันขึ้นมาจริง ๆ เขาก็ไม่กลัว
เชินจิ่วซงกล่าวเสียงเย็นชา “เพียงแค่ประลองเพื่อศึกษาร่วมกันเท่านั้น จะเรียกว่าก้าวก่ายเรื่องของกองทัพเกราะเขียวได้เช่นใด หม่าซานเหว่ย ดีที่สุดอย่าได้ตั้งแง่ให้คนอื่น”
หม่าซานเหว่ยถูกตำหนิจนไฟโกรธสุมในหัวใจ เขาสูดหายใจลึก ๆ จากนั้นกล่าวเสียงเครียด
“ในเมื่อคุณชายท่านนี้ต้องการจะประลอง หม่าซานเหว่ยน้อมประลองด้วย! แต่ดาบกระบี่ไร้ตา หากทำร้ายโดนคุณชายท่านนี้ ทุกท่านอย่าได้ว่ากล่าว!”
ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นชา
ในฐานะที่เป็นรองผู้บัญชาการแห่งกองทัพเกราะเขียว ทั้งยังรบราฆ่าฟันกับสัตว์อสูรในหุบเขามารบุปผาโลหิตมาเป็นเวลานาน นิสัยของหม่าซานเหว่ยจึงดุดันและอำมหิตมากเช่นกัน
เห็นว่าซูอี้ไม่รู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควรแล้ว เขาก็คร้านจะเกรงใจด้วย
ทว่าเมื่อได้ยินคำกล่าวของหม่าซานเหว่ย หนิงซือฮวาถึงกับฉีกหัวเราะ เชินจิ่งซงก็ส่ายหน้าเช่นกัน
มุมปากของจางอี้เหรินกระตุก ไม่กล่าวความอันใด
หวงเฉียนจวินนอกจากจะรู้สึกซาบซึ้ง ยิ่งรู้สึกละอายใจมากขึ้นด้วย
หันกลับไปมองดูเหล่าทหารกองทัพเกราะเขียวที่อยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น แต่ละคนกลับแสดงสีหน้าตื่นเต้นเร้าใจราวกับมองเห็นว่าละครสนุกกำลังจะเริ่มเปิดฉากขึ้นแล้ว
ทุกคนต่างถอยไปไกลเพื่อเว้นพื้นที่ว่างให้กับซูอี้และหม่าซานเหว่ย
“คุณชายท่านนี้ เชิญ!”
ดวงตาเย็นยะเยือกของหม่าซานเหว่ยประดุจคมมีด พลังในตัวพุ่งทะลุสูงในทันใด กลิ่นอายแห่งความหฤโหดแผ่ขยายประดุจคลื่นน้ำสูงถาโถม
“ในเมื่อเป็นการสั่งสอนให้เจ้ารู้จักความเป็นคน ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้แสดงฝีมือสักครั้ง”
ซูอี้เอ่ยพูดน้ำเสียงราบเรียบ
ประกายเย็นเฉียบผุดขึ้นในแววตาของหม่าซานเหว่ย พลางกล่าว “ถ้าเช่นนั้นหม่าผู้นี้ไม่เกรงใจแล้ว”
ทันใดเขาก้าวเดินมาหาพลันสะบัดหัวไหล่ปล่อยหมัดออกไป รุนแรงประดุจค้อนระเบิด
ครืน!
แรงหมัดปล่อยแสงระยิบระยับบาดตา นำพาพลังสะท้านฟ้าสยบดินรวมตัวเป็นหนึ่งแหวกทะลุอากาศออกไป
อากาศแตกกระจายในฉับพลัน เกิดเป็นเสียงระเบิดดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าผ่า
แรงหมัดนั้นแข็งกร้าวไม่มีสิ่งใดเทียบ รุนแรงยิ่งนัก!
เชินจิ่วซงก็ยังตกใจเช่นกัน ทหารคนเก่งภายใต้ความควบคุมของจวิ้นอ๋องอู่หลิงมีฝีมือไม่เลวเลย
เขามองออก ถึงแม้หม่าซานเหว่ยจะมีการฝึกตนระดับปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง ทว่าต้องสู้รบอยู่ในหุบเขามารบุปผาโลหิตที่มีอันตรายน่ากลัวเช่นนี้อยู่ตลอด ความสามารถที่มีจึงก้าวหน้าไปไกลมาก
บุคคลในขอบเขตเดียวกันไม่อาจเทียบเคียงได้
ดังเช่นหมัด ๆ นี้ เห็นได้ชัดว่าถึงขั้นระดับสุดยอดแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงสามารถมองออกได้เช่นกันว่า หม่าซานเหว่ยฉลาดมาก ไม่ได้แสดงความดูแคลนอันใดต่อการฝึกตนที่ซูอี้แสดงออกมาแม้แต่น้อย พอประมือด้วยก็แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมาแล้ว
ทว่าน่าเสียดาย หม่าซานเหว่ยไม่ได้รู้เลยสักนิดว่าบุคคลที่เขาเผชิญหน้าด้วยในเวลานี้เป็นตัวตนที่มีความน่ากลัวเพียงใด…
เชินจิ่วซงเพิ่งคิดได้ถึงตรงนี้
ปัง!
ก็เห็นซูอี้ยกมือขึ้น แรงหมัดเจิดจ้าที่แหวกอากาศมานั้นถูกปลายนิ้วของซูอี้ดีดแตก สลายไปราวกับฟองสบู่
อย่างง่ายดาย!
ทหารกองทัพเกราะเขียวในบริเวณนั้นต่างก็ตื่นตระหนก แทบจะเข้าใจไปว่าตัวเองตาฝาด
หวงเฉียนจวิน หนานอิ่ง หลี่โม่อวิ๋นก็ตื่นตระหนกใจเช่นเดียวกัน ร้ายกาจมาก!!
ไม่รอให้ทุกคนตั้งสติได้ ก็เห็นร่างของซูอี้หายวับไปจากตำแหน่งเดิม
ชั่วครู่ถัดมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหม่าซานเหว่ย ฝ่ามือกดลงเบา ๆ
หม่าซานเหว่ยรู้สึกได้ก่อนหน้าแล้วถึงความไม่ชอบมาพากล เห็นภาพเช่นนี้แล้วจิตใจสั่นสะท้านขึ้นมา ขับเคลื่อนพลังทั้งหมดอย่างไม่ลังเล ยกสองแขนขึ้นบังร่าง
กรึบ!
เสียงกระดูกแตกร้าวดังขึ้น
ภายใต้สายตาเกินความคาดเดาของผู้คนทั้งหลายที่จับจ้องดู สองแขนของหม่าซานเหว่ยที่ยกขึ้นบังร่างถูกฝ่ามือของซูอี้ซัดจนแตกละเอียด สองแขนอ่อนปวกเปียกประดุจงูที่ตายแล้วร่วงลง
ทว่านิ้วมือของซูอี้กลับฉวยช่องว่างขณะที่ดีด กำลังไม่ถอยถด กดหัวไหล่ของหม่าซานเหว่ย
ปัง!
สองเขาของหม่าซานเหว่ยกระแทกกับพื้นเพราะโดนฝ่ามือกดติดอยู่กับพื้นตรงนั้น ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปจนทั่ว
หน้าของเขาแดงก่ำขึ้น ตื่นตระหนกหวาดกลัว
ทั่วทั้งสนามเงียบกริบไร้เสียง
นอกเสียจากหนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงที่สีหน้ายังคงราบเรียบ คนอื่น ๆ ล้วนตาถลนเพราะตื่นตะลึงกับความรวดเร็วดุดันการทำลายล้างสูงเช่นนี้
อัศจรรย์เกินไปแล้ว!
ตั้งแต่หม่าซานเหว่ยปล่อยหมัดจนกระทั่งโดนกดตัว ใช้เวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น!
“ฝ่ามือนี้เป็นเช่นใด?” ซูอี้ถาม
สีหน้าของหม่าซานเหว่ยสับสนไม่นิ่ง เงียบไปนานจึงกัดฟันตอบ “ก่อนหน้านี้เป็นเพราะหม่าซานเหว่ยมองผิดไป ฝ่ามือนี้ซัดจนข้ายอมรับทั้งกายและใจ!”
ปัง!
ซูอี้ถีบออกไป ร่างของหม่าซานเหว่ยกระเด็น เลือดทะลักออกจากปากและจมูก พยายามกระเสือกกระสนจะลุกขึ้น ทว่าเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
ทุกคนต่างตื่นตกใจกับภาพทารุณโหดร้ายนี้จนถึงกับสูดปาก
ซูอี้ถามอีก “แรงถีบนี้เล่า?”
หม่าซานเหว่ยหอบหายใจรัวแรง น้ำเสียงแหบแห้ง “แรงถีบนี้ของคุณชายทำให้หม่าผู้นี้รู้สึกได้ถึงความต่ำต้อยของตนเอง ไม่กล้าเอาแต่ใจเหมือนดังแต่ก่อนอีก นับแต่นี้เป็นต้นไป จะจดจำคำสั่งสอนในวันนี้ของคุณชายจนขึ้นใจ แก้ไขตัวเองไม่ทำผิดอีก!”
ซูอี้เดินไปข้างหน้า เหยียบหน้าของหม่าซานเหว่ย จากนั้นก้มมองดู กล่าว “ข้าปรารถนาดีต่อเจ้าเช่นนี้ เจ้าจะรับน้ำใจหรือไม่?”
หน้าของหม่าซานเหว่ยถูกเหยียบจนบุ๋มบิดเบี้ยว ปากแนบติดกับพื้น เขาหอบหายใจอย่างแรง ตอบเสียงดังฟังชัด
“นี่เป็นพระคุณอันล้นพ้น สำหรับหม่าผู้นี้แล้ว ไม่ด้อยไปกว่าบุญคุณที่ช่วยชีวิต หม่าผู้นี้น้อมรับน้ำใจจากใจจริง ทั้งยังจะจดจำความดีของคุณชายตลอดจนชั่วชีวิต!”
ทุกคนต่างก็ตะลึง
ประการที่หนึ่ง ตกใจในวิธีการโหดเหี้ยมรวดเร็วและรุนแรงของซูอี้
ประการที่สอง ตื่นตะลึงในท่าทีของหม่าซานเหว่ย ราวกับถูกสั่งสอนจนยอมสยบอย่างราบคาบ คำตอบที่ตอบออกมาแต่ละครั้งผิดไปจากหม่าซานเหว่ยที่พวกเขาเคยรู้จัก!
อย่างไรเสียก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุใดรองผู้บัญชาการผู้ได้รับสมญานามว่า ‘นักฆ่าหน้าเย็น’ ของกองทัพเกราะเขียวคนนี้จึงยอมสยบได้จนถึงขั้นนั้น?
คล้ายกับนักโทษผู้สำนึกผิดถึงความชั่วอันร้ายแรงของตนเอง
มีแต่เพียงสายตาของเชินจิ่วซงเท่านั้นที่หรี่เล็กลง หม่าซานเหว่ยคนนี้เป็นบุคคลเหี้ยมโหดที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์
และก็เป็นคนเสียสติที่ไม่สนใจหน้าตาและเกียรติยศ
ขอเพียงมีชีวิตรอด เขาสามารถทำได้ทุกสิ่ง
คนประเภทนี้อันตรายยิ่งนัก!