บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 228 ผู้แข่งขัน
ตอนที่ 228: ผู้แข่งขัน
สายตาของหนิงซือฮวาส่อประกายประหลาดขึ้นมาเช่นกัน
ปฏิกิริยาของหม่าซานเหว่ยทำให้นางรู้สึกได้เช่นกันว่าหากปล่อยให้คนประเภทนี้มีชีวิตรอด ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งในยามที่อ่อนแออย่างที่สุด เขาอาจจะพุ่งเข้ามาขย้ำกัดคอราวกับหมาบ้าตัวหนึ่งก็เป็นได้
ในบรรยากาศที่มีความกดดันอย่างที่สุด พลันซูอี้ก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“ในเมื่อข้าปรารถนาดีสั่งสอนให้เจ้ามีความเป็นคน เจ้าควรจะบอกข้าว่า ใครให้เจ้ารังแกหวงเฉียนจวินเช่นนี้?”
หม่าซานเหว่ยร้องตะโกนเสียงดัง “หากจะโทษก็ต้องโทษที่หม่าผู้นี้หลงใหลในมารยาหญิง รู้ว่าหนานอิ่งไม่ถูกกับหวงเฉียนจวิน จึงคิดจะช่วยหนานอิ่งสั่งสอน จนเป็นเหตุสร้างความผิดร้ายแรงขึ้น การปรากฏตัวของคุณชาย เท่ากับเป็นการให้โอกาสหม่าผู้นี้ได้กลับตัวกลับใจ หม่าผู้นี้รู้สึกละอายแก่ใจยิ่งนัก พร้อมยินดียอมรับผิด!”
ทุกคนล้วนตกอยู่ในอาการตะลึง สายตามองไปยังหนานอิ่งโดยพร้อมเพรียงกัน
ทว่าเวลานี้ ใบหน้างดงามของหนานอิ่งขาวซีดไม่น่าดูขึ้นมา
กระทั่งนางก็ยังคาดไม่ถึงว่ารองผู้บัญชาการแห่งกองทัพเกราะเขียวจะเปิดโปงตัวนางออกมาตรง ๆ โดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย!
เห็นว่าสายตาทุกคู่มองมา หนานอิ่งจึงอดกลั้นต่อไปไม่ไหว ร้องตะโกนเสียงดัง “ข้าเปล่า! เจ้ากล่าวหาคนอื่น! ข้าหนานอิ่งเป็นเพียงแค่นายทหารคนหนึ่งเท่านั้น จะสามารถออกคำสั่งให้รองผู้บัญชาการอย่างเจ้าทำงานแทนได้เช่นใด!”
พูดจบ นางก็ทรุดตัวคุกเข่าลงตรงนั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือขอร้อง “ศิษย์พี่ซู ข้ากล้าสาบานต่อฟ้า ข้าไม่เคยบอกให้หม่าซานเหว่ยทำเช่นนั้นเลย!”
หม่าซานเหว่ยร้องตะโกนเสียงดัง “หม่าผู้นี้ได้บอกไปแล้ว จะโทษก็ต้องโทษที่ตัวข้าเองหลงใหลมารยาหญิงจนหัวปักหัวปำ!”
ความหมายอีกอย่างของคำกล่าวนี้ก็คือหลงกลแผนหญิงงามของเจ้า
เห็นเช่นนี้ ซูอี้จึงมองดูหม่าซานเหว่ยอย่างละเอียดลึกซึ้ง พลางกล่าวคำออก
“คนเช่นเจ้า ในอดีตข้าเคยเห็นมามากแล้ว ที่โหดเหี้ยมกว่าเจ้า ที่หน้าด้านยิ่งกว่าเจ้าก็มีจำนวนไม่น้อย คงเป็นเพราะเคยผ่านการทรมานจนเกือบตายมาหลายครั้ง เข้าใจเป็นอย่างดีว่าความตายนั้นน่าหวาดกลัว ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดจึงยอมละทิ้งเกียรติและศักดิ์ศรีทั้งหมดได้โดยไม่เสียดาย”
ร่างของหม่าซานเหว่ยแข็งกระด้างขึ้นมาในทันใด สีหน้าเปลี่ยนไปมีแต่ความสับสน
ซูอี้กล่าวเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกคนอื่นมองเห็นความคิดตัวเองอย่างหมดเปลือก เขารู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาทั้งตัว
“เจ้าลองเดาดูสิว่าคนที่เหมือนกับเจ้าเหล่านั้นได้รับผลเช่นใด?”
ซูอี้ยิ้มน้อย ๆ พลางถาม
เผชิญหน้ากับสายตาลุ่มลึกเย็นชาและรอยยิ้มอันไร้ซึ่งความรู้สึกของซูอี้แล้ว รูม่านตาของหม่าซานเหว่ยหดเล็กลงเท่ากับรูเข็มในทันใด ความหวาดกลัวที่ไม่อาจระงับได้ผุดขึ้นมาในใจลึก ๆ
นานมาก หม่าซานเหว่ยพยายามฝืนเก็บความรู้สึกกลัวภายในใจ กล่าวออกมาทีละคำช้า ๆ “หม่าผู้นี้ไม่กล้าคาดเดาไปเอง แต่หม่าผู้นี้กล้าสาบานว่า ชั่วชีวิตในชาตินี้จะรำลึกเพียงคุณงามความดีของคุณชาย ไม่มีทางจะคิดแก้แค้นเป็นเด็ดขาด!”
“ไม่ เจ้าสามารถเลือกที่จะแก้แค้นได้”
ซูอี้กล่าวเสียงราบเรียบ “อีกทั้ง ในอดีตข้าก็เคยกล่าวเช่นนี้ต่อคนที่เหมือนกับเจ้าเช่นกัน แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดี ส่วนพวกเขา…”
หม่าซานเหว่ยร้องตะโกนด้วยความหวาดกลัว “หม่าผู้นี้เข้าใจ! หม่าผู้นี้เข้าใจขอรับ!”
ซูอี้ส่ายหน้าสักครู่ จากนั้นจึงชักเท้าที่เหยียบอยู่บนหน้าของหม่าซานเหว่ยกลับ แล้วกล่าว “เจ้าไม่เข้าใจ ในสายตาของข้า เจ้าไม่มีแม้คุณสมบัติจะเป็นศัตรูของข้า”
พูดจบ คร้านที่จะมองหน้าหม่าซานเหว่ยอีก
เขาเดินตรงมาหาหวงเฉียนจวิน พลางกล่าว “ข้าทิ้งเขาให้เจ้าจัดการ ถือเสียว่าเป็นหินลับมีดก้อนหนึ่ง ภายในระยะเวลาสามเดือน สามารถทำได้หรือไม่?”
หวงเฉียนจวินเม้มริมฝีปากพยักหน้าหนัก ๆ “ได้ขอรับ!”
ทุกคนในสถานการณ์ล้วนได้ยินการสนทนานี้ ทหารกองทัพเกราะเขียวเหล่านั้นนอกจากจะตื่นตะลึงแล้ว ยังรู้สึกสงสัย
หวงเฉียนจวินเป็นแค่ตัวตนขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นหนึ่งเท่านั้น จะเป็นไปได้เช่นใดที่จะเอาชนะหม่าซานเหว่ยผู้เป็นปรมาจารย์ขั้นหนึ่งได้ภายในระยะเวลาสามเดือน?
หม่าซานเหว่ยได้ยินคำกล่าวนี้แล้วเช่นกัน เข่าอ่อนพับลงกับพื้นหอบหายใจอย่างแรงพลางร้องตะโกนเสียงดัง
“ถูกคุณชายมองว่าเป็นหินลับมีดของหวงเฉียนจวินได้ ถือเป็นเกียรติอย่างสูงของหม่าผู้นี้! ต้องขอบพระคุณคุณชายที่ไว้ชีวิต!”
ทุกคนล้วนหมดคำจะพูด
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจหม่าซานเหว่ย สายตาเพ่งเล็งไปยังจางอี้เหริน กล่าว “รองผู้บัญชาการจาง หาที่สะดวกสำหรับคุยกันหน่อยได้หรือไม่?”
จางอี้เหรินสูดหายใจลึก ๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นยิ้มพลางกล่าว “เชิญคุณชายซู! จวิ้นอ๋องเคยกล่าวไว้แล้ว หากว่าคุณชายซูมา ให้ต้อนรับด้วย ‘สุราเพลิงเมฆา’ ซึ่งหมักจาก ‘โลหิตวิญญาณร้อยอสูร’ เป็นสุราหมักที่หาได้ยากในโลก”
“เจ้าก็มาด้วย”
ซูอี้มองไปที่หวงเฉียนจวิน
หวงเฉียนจวินรีบตอบรับ
ถัดมา จางอี้เหรินพาพวกของซูอี้เดินออกจากสนามประลองแห่งนี้
ส่งพวกของซูอี้ออกไปแล้ว สีหน้าของทหารกองทัพเกราะเขียวที่อยู่รอบ ๆ สนามประลองล้วนอยู่ในความสับสน
ความเก่งกาจของซูอี้สร้างความสั่นสะเทือนต่อจิตใจของพวกเขา และทำให้พวกเขารู้สึกเคารพหวาดเกรงขึ้นมาด้วยเช่นกัน
กฎระเบียบในกองทัพนั้นเรียบง่าย ยิ่งเก่งกาจก็ยิ่งได้รับความเคารพยกย่อง
ซูอี้ใช้การฝึกตนขอบเขตรวบรวมลมปราณเอาชนะหม่าซานเหว่ยได้อย่างง่ายดาย จึงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ให้เหล่าทหารในกองทัพเกราะเขียวยอมรับนับถือ
ส่วนหนานอิ่งที่คุกเข่าอยู่กลางสนามประลองถึงกับตาค้าง
เดิมทีนางรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง เข้าใจว่าซูอี้จะต้องโกรธเป็นไฟ และไม่แน่ว่าอาจจะฆ่าตัวเองตายก็เป็นได้
ทว่าใครเลยจะคาดคิด ตั้งแต่เริ่มต้นจบถึงตอนจบ ซูอี้กลับไม่มองดูนางแม้แต่น้อย
ความรู้สึกที่แย่ยิ่งกว่าความอับอาบก็คือความรู้สึกที่ถูกเพิกเฉยเช่นนี้!
“คน ๆ นี้… นับวันยิ่งน่ากลัวขึ้นทุกทีแล้ว…”
หลี่โม่อวิ๋นแอบถอนใจ ความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูกผุดขึ้นมาในใจ
แต่ก่อน เขานับได้ว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มของเหล่าคนหนุ่มรุ่นใหม่ในเมืองกว่างหลิง เป็นศิษย์ในสำนักดาบชิงเหอที่โดดเด่นเฉิดฉายที่สุด
แต่ก่อน เขาเคยดูแคลนซูอี้ เขยแต่งเข้าบ้านของตระกูลเหวินคนนี้ ยังถึงขั้นเคยคิดจะลอบกำจัดซูอี้เพราะต้องการจะเข้าหาเหวินหลิงเจา
ทว่าจนถึงบัดนี้…
หลี่โม่อวิ๋นจึงพบแล้วว่าตนเองเมื่อในอดีตนั้นช่างน่าขัน สติปัญญาตีบตื้นเสียเหลือเกิน
“ไม่อาจกล่าวถึงน้ำแข็งต่อแมลงในฤดูร้อน ในสายตาของซูอี้ตอนนี้ ข้าก็คงจะเป็นเพียงแค่แมลงน่าสงสารน่าเวทนาตัวหนึ่งเท่านั้นกระมัง…”
หลี่โม่อวิ๋นเพิ่งคิดได้ถึงตรงนี้ ฉับพลันเสียงของหม่าซานเหว่ยก็ดังขึ้นกลางสนามฝึกซ้อม
“ใครก็ได้ จับตัวหนานอิ่งไปคุมขัง รอให้จวิ้นอ๋องกลับมาดุด่าด้วยตนเอง!”
หลี่โม่อวิ๋นเงยหน้าขึ้นในฉับพลัน ทหารกองทัพเกราะเขียวกรูเข้าไปตะครุบหนานอิ่งที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น
ไม่ว่านางจะกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวเช่นใดก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายยังคงถูกลากตัวออกไปอยู่ดี
ความรู้สึกประหลาดผุดขึ้นในหัวใจของหลี่โม่อวิ๋น
ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงท้ายสุด ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจหนานอิ่งแม้แต่น้อย
ที่น่าขันก็คือ หม่าซานเหว่ยที่ก่อนหน้านี้ถูกซูอี้สั่งสอนอย่างแรงก็ยังลงมือจัดการกับหนานอิ่ง…
หม่าซานเหว่ยทำเช่นนี้เพราะรู้สึกเจ็บใจที่ตัวเองหลงกลแผนหญิงงามของหนานอิ่ง หรือว่าใช้วิธีนี้เพื่อเอาใจซูอี้กันแน่?
ไม่มีใครคาดเดาได้ถูก
ทว่าหลี่โม่อวิ๋นถ่องแท้ในเรื่อง ๆ หนึ่งขึ้นมา
เมื่อมีความสามารถเก่งกาจที่ยิ่งใหญ่มากพอ คนที่ตัวเองไม่สนใจจะจัดการก็จะมีคนรับอาสาช่วยจัดการแทน!
เหมือนดังเวลานี้
ซูอี้ไม่ได้พูดสักคำว่าจะจัดการหนานอิ่งเช่นใด ทว่ามีใครบ้างที่มองไม่ออก ต่อให้หม่าซานเหว่ยไม่ออกคำสั่งนี้ เมื่อจวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งกลับมาก็ไม่มีทางละเว้นหนานอิ่งอยู่ดี?
——
แสงอาทิตย์ยามอัสดงมืดมัวลง ราตรีมาถึง
ภายในตำหนักโอ่อ่าที่สร้างขึ้นจากก้อนหินขนาดยักษ์ แสงไฟขนาดเท่าแขนเด็กแผดเผาโชติช่วง ส่องสว่างทั่วตำหนักใหญ่
อาหารเลิศรสจานร้อนถูกยกออกมาจานแล้วจานเล่า ล้วนทำมาจากเนื้อของสัตว์อสูรนานาชนิด กลิ่นหอมอบอวลจนชวนให้น้ำลายไหล
บนโต๊ะอาหารตรงหน้าพวกเขาแต่ละคนล้วนตั้งวางไห ‘สุราเพลิงเมฆา’ เนื้อสุราเป็นสีแดงใส
ราวกับเมฆาที่ถูกแสงตะวันแผดเผาจนเป็นสีแดง
สุราชนิดนี้หมักจากโลหิตของสัตว์อสูรนับร้อยชนิดกับโอสถทิพย์มากมายหลายขนาน เป็นสุราฤทธิ์แรง เข้าปากรู้สึกราวถูกแผดเผา สามารถกระตุ้นเลือดลมภายในตัวได้
ซูอี้ชิมดู พบว่ารสชาติโดดเด่นไม่เหมือนสุราอื่น หลังจากที่สุราเร่าร้อนแสบกระสันเข้าสู่ร่างแล้วให้ความรู้สึกประดุจคมมีดบาดคอ ถาโถมเข้าสู่กล้ามเนื้อกระดูกเอ็นทั่วแขนขาราวกับภูเขาไฟระเบิด แผดเผาจนเลือดลมทั่วร่างเดือดพล่าน
ลิ้มรสดู ทั่วช่องปากอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมหวานนุ่มละมุนของสุรา
เกรงว่าผู้ฝึกฝนบำเพ็ญทั่วไปคงไม่อาจทนฤทธิ์สุราที่รุนแรงเช่นนี้ได้ จอกเดียวก็เมาแล้ว
ในงานเลี้ยงรับรอง พวกของซูอี้ดื่มกันไปพูดคุยกันไป ไม่นานนักก็รู้เรื่องสำคัญบางอย่างจากปากของจางอี้เหริน
ปรากฏการณ์สัตว์อสูรคลั่งที่ใกล้จะปะทุขึ้นบนหุบเขามารบุปผาโลหิตครั้งนี้ได้รับความสนใจจากบุคคลระดับสูงจำนวนไม่น้อยในต้าโจว
กองกำลังใหญ่บางกลุ่มเริ่มปฏิบัติการโดยเข้าสู่หุบเขามารบุปผาโลหิตจากเขตอื่น ๆ ก่อนล่วงหน้าแล้ว
ดังเช่นตำหนักหลูหยาง ตำหนักคงต้ง ตำหนักซิงหยา ซึ่งเป็นตำหนักสิบอันดับต้น ๆ ของต้าโจว ล้วนมีบุคคลระดับสุดยอดนำพากลุ่มคณะขึ้นสู่หุบเขามารบุปผาโลหิตเมื่อช่วงก่อนหน้าแล้วทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ยังมีบุคคลหัวรุนแรงของกองกำลังอื่นอีกด้วย
เรื่องนี้ทำให้พวกของซูอี้ตระหนักว่า หากครั้งนี้มีโอกาสเยี่ยมยอดอันใดเกิดขึ้นบนหุบเขามารบุปผาโลหิตจริง ย่อมต้องดึงดูดผู้คนให้มาทำการแย่งชิงอย่างแน่นอน
“เช่นนี้ค่อนข้างยุ่งยากเสียแล้ว”
ทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้แล้ว เชินจิ่วซงขมวดหัวคิ้วเล็กน้อย ยิ่งมีผู้แข่งขันมาก ก็หมายความว่าจะต้องเกิดการปะทะกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“กังวลในเรื่องเหล่านี้เพื่อประโยชน์อันใด ถึงบัดนี้ ยังไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าความพิสดารในหุบเขามารบุปผาโลหิต ที่แท้จะเป็นโอกาสหรือจะเป็นภัยพิบัติ”
หนิงซือฮวาส่ายหน้าไม่สู้เห็นด้วย “ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพลังของพวกเรา เพียงพอจะรับมืออันตรายที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้”
พูดจบ นางเบนสายตาไปยังซูอี้ ยิ้มหวานพลางกล่าว “สหายเต๋าคิดว่าอย่างไร?”
ซูอี้โพล่งออกมา “ถึงเวลานั้นค่อยดูสถานการณ์แล้วว่ากันอีกทีก็แล้วกัน”
เมื่อชาติที่แล้ว ดินแดนอันตรายที่เคยบุก ซากของดินแดนเร้นลับที่เคยเสาะหา เขาเคยไปมามากจนนับไม่ถ้วนแล้ว เคยได้รับทั้งโอกาส และเคยพบกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ด้วยเช่นกัน
กระทั่งตกอยู่ในสภาวะอับจนเกือบไม่รอดอยู่หลายครั้ง
หากพูดถึงประสบการณ์ มีมากมายเป็นธรรมดา
ทว่าซูอี้เข้าใจดีว่า เมื่อต้องรับมือกับสถานที่อันตรายไม่ทราบประเภท จะคาดเดาผลโดยไร้หลักฐานไม่ได้ และจะประมาทไม่ได้เช่นกัน
หนิงซือฮวาพยักหน้า พลางกล่าว “ถ้าเช่นนั้นสหายเต๋าคิดว่า พวกเราออกเดินทางเมื่อไรจึงจะดี?”
ซูอี้มองไปที่จางอี้เหริน แล้วกล่าวคำ “ตอนนั้นจวิ้นอ๋องอู่หลิงออกเดินทางจากจุดไหน มีเส้นทางแน่ชัดหรือไม่?”
จางอี้เหรินรีบตอบ “มีขอรับ”
พูดพลาง เขาหยิบแผนที่หนังสัตว์ผืนหนึ่งออกมา ลุกขึ้นมอบให้ซูอี้ “นี่คือแผนที่หุบเขามารบุปผาโลหิตที่จวิ้นอ๋องวาดขึ้นด้วยตนเอง คุณชายได้โปรดตรวจดู”
ซูอี้เปิดออกดู เห็นว่าถึงแม้แผนที่ ๆ วาดนั้นจะเรียบง่ายไปบ้าง ทว่าแสดงเค้าโครงคร่าว ๆ ของหุบเขามารบุปผาโลหิตออกมาให้เห็น
สถานที่ส่วนใหญ่ในแผนที่ยังใช้หมึกสีแดงเขียนกำกับไว้ เช่น ‘อันตราย’ ‘อันตรายมาก’ ‘ควรเดินอ้อม’ ‘ทางขาด’ เป็นต้น
ทว่าในเขตพื้นที่ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตกลับว่างเปล่า เขียนกำกับไว้เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
‘จุดนี้คือสถานที่อันตรายที่สุด อาจมีกลไกซับซ้อนซุกซ่อน!’
มองดูสักครู่ ซูอี้ยื่นแผนที่หนังสัตว์ให้กับหนิงซือฮวาที่อยู่ข้าง ๆ
สายตาของเขากลับมองไปที่จางอี้เหริน แล้วกล่าว “จวิ้นอ๋องของพวกเจ้าเดินทางไปห้าวันแล้วยังไม่กลับมา เป็นไปได้มาว่าอาจจะเจอปัญหาหนัก หรืออาจจะตกอยู่ในอันตราย”
“ประเดี๋ยวเจ้าบอกเวลา สถานที่ เส้นทาง และจุดมุ่งหมายที่จวิ้นอ๋องเดินทางขึ้นสู่หุบเขามารบุปผาโลหิตครั้งนี้ให้ข้าอย่างละเอียด เวลาที่พวกเราขึ้นหุบเขามารบุปผาโลหิตอาจจะสามารถช่วยเขาได้”