บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 229 โหยหวนและกระซิบ
ตอนที่ 229: โหยหวนและกระซิบ
ร่างกายของจางอี้เหรินสั่นสะท้าน เขาประสานมือ โค้งกายด้วยความกังวลก่อนจะกล่าวว่า “จางผู้นี้ขอบคุณคุณชายซูจากก้นบึ้งของหัวใจที่เมตตาคิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือจวิ้นอ๋อง!”
หลายวันที่ผ่านมา ไม่มีวันใดที่จางอี้เหรินไม่กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเฉินเจิ้งจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง
การได้ซูอี้เข้าไปช่วยเจ้านายของเขา ซึ่งน่าจะเผชิญกับเรื่องลำบากในหุบเขามารบุปผาโลหิต มันย่อมเป็นเรื่องดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ถัดจากนั้นจางอี้เหรินได้บอกรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทางของเฉินเจิ้งเมื่อห้าวันก่อนที่เข้าไปยังหุบเขามารบุปผาโลหิต ซึ่งในรายละเอียดที่เขาบอกเล่ามีทั้งเวลา สถานที่ เส้นทาง และอื่น ๆ
“สหายเต๋า เราควรออกเดินทางเมื่อใด?”
หนิงซือฮวาดูแผนที่หนังสัตว์และถามอย่างนุ่มนวล
“ขณะนี้ยังไม่สายเกินไป เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า” ซูอี้ตัดสินใจ
หากคำนวณตามวันเวลา พวกเขาก็ยังเหลือเวลาอีกสี่วันก่อนที่ปรากฏการณ์ฝูงสัตว์คลุ้มคลั่งจะบังเกิด
มันย่อมดีกว่าถ้าพวกเขาสามารถไปถึงส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตก่อนที่ปรากฏการณ์ฝูงสัตว์คลุ้มคลั่งจะปะทุ
ทั้งหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงต่างก็เห็นด้วย
หลังจากที่ทั้งสองได้รู้ว่ากองกำลังระดับสูงของต้าโจวเช่นตำหนักหลูหยาง ตำหนักคงต้ง และตำหนักซิงหยา มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย พวกเขาก็ตระหนักว่ายิ่งพวกเขาเข้าไปที่หุบเขามารบุปผาโลหิตเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี
คืนนี้จางอี้เหรินจึงจัดที่พักให้ซูอี้และคนอื่น ๆ
ห้องของซูอี้
“หากมีความสงสัยใดเกี่ยวกับการฝึกฝน เจ้าสามารถถามข้าได้ตอนนี้”
ซูอี้นั่งอยู่ที่นั่นอย่างสบาย ๆ มองไปที่หวงเฉียนจวินที่ยืนอยู่ตรงหน้า
เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกผิดเล็กน้อยในใจ ดูเหมือนว่า… เขาบกพร่องในเรื่องการช่วยหวงเฉียนจวินให้ฝึกฝนได้อย่างเหมาะสมจริง ๆ
ไม่เช่นนั้นแล้วหวงเฉียนจวินจะถูกรังแกโดยปรมาจารย์ระดับต่ำเช่นนั้นได้อย่างไร?
ดังนั้นเมื่อค่ำคืนนี้พอจะมีเวลาว่าง ซูอี้จึงตั้งใจที่จะชี้แนะหวงเฉียนจวินให้เหมาะสม
หวงเฉียนจวินหายใจเข้าลึก ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนจะเริ่มขอคำชี้แนะอย่างตั้งใจ
ย้อนกลับไปที่มหานครอวิ๋นเหอ ซูอี้เคยให้เคล็ดการบ่มเพาะชื่อ ‘เคล็ดวิชามหาดาราลึกล้ำ’ ซึ่งด้วยเคล็ดวิชานี้ ทำให้การบ่มเพาะของหวงเฉียนจวินพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและได้ประโยชน์มากมาย
แต่ด้วยความเข้าใจที่ตื้นเขิน หวงเฉียนจวินจึงไม่สามารถเข้าใจความลึกลับทั้งหมดของเคล็ดวิชามหาดาราลึกล้ำได้จริง ๆ
เมื่อมีโอกาสเช่นนี้แล้ว หวงเฉียนจวินจะพลาดได้อย่างไร
“พี่ซู ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ คืออะไร?”
นี่เป็นคำถามแรกของหวงเฉียนจวิน
ซูอี้ไม่แปลกใจเลย ขณะนี้หวงเฉียนจวินอยู่ในช่วงเริ่มต้นของ ขอบเขตรวบรวมลมปราณ และเขาก็กำลังฝึกฝนเคล็ดวิชามหาดาราลึกล้ำ มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่อีกฝ่ายจะแตกต่างจากผู้บ่มเพาะทั่วไปในโลกปุถุชนแห่งนี้
อย่างน้อยที่สุด ผู้บ่มเพาะทั่วไปคนอื่น ๆ ต่างไม่รู้จักคำว่า ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’
ซูอี้อธิบายทันที ซึ่งเนื้อหาที่เขาอธิบายนั้นกระชับและตรงประเด็น เข้าใจง่าย
เมื่อหวงเฉียนจวินได้ทราบถึงความหมายเบื้องหลังของคำว่า ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ เขามีความรู้สึกเสมือนฟ้าเปิดอาทิตย์ส่อง
เขาระงับความสุขในใจและถามคำถามอีกครั้ง
ถัดจากนั้นหนึ่งคนถามคำถามและอีกหนึ่งตอบคำตอบวนเวียนไปเรื่อยราวกับทั้งคู่เป็นอาจารย์และศิษย์
จนกระทั่งครึ่งชั่วยามต่อมา
ซูอี้กล่าวว่า “ข้าได้ชี้แนะเคล็ดลับในการฝึกฝนทั้งหมดในขอบเขตรวบรวมลมปราณให้เจ้าแล้ว หากเจ้ายังไม่สามารถเอาชนะหม่าซานเหว่ยภายในสามเดือนได้ก็อย่าได้พูดกับใครว่าเจ้ารู้จักข้าในอนาคต”
หวงเฉียนจวินเกาหัวของเขาอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นเขาประสานมือคารวะและกล่าวว่า “พี่ซูท่านวางใจได้!”
แต่แล้วในขณะนั้นจู่ ๆ มีเสียงครางแปลก ๆ ดังแว่วมาจากระยะไกลผ่านความมืดมิดในยามราตรี
ซูอี้ขมวดคิ้วพลางลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง เขามองทอดออกไปในทิศทางของต้นเสียงซึ่งรับชมเห็นว่ามีเหล่าทหารกำลังยืนต่อแถวยาวหน้ากระโจมใหญ่หลังหนึ่ง
และเสียงคร่ำครวญแปลก ๆ นั้นก็ดังมาจากภายในกระโจม
“นั่นคือ?”
ซูอี้พอจะคาดเดาได้บ้างว่าเกิดสิ่งใดขึ้นในกระโจมหลังนั้น แต่ความสงสัยบางอย่างทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
ใบหน้าของหวงเฉียนจวินเปลี่ยนเป็นยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะอธิบายว่า “พี่ซูอี้ท่านจำหลิวเซี่ยงหลาน ‘ฮูหยินศพ’ ของพรรคมารหยินได้หรือไม่?”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นและเข้าใจในทันที “นั่นคือนาง?”
เขาจะจำไม่ได้ได้อย่างไร ครั้งนั้นเรือนเงียบสุขสงบในมหานครอวิ๋นเหอ จวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งจับหลิวเซี่ยงหลาน พานางกลับมาที่ค่ายกองทัพเกราะเขียว โดยเอ่ยว่าเหล่าทหารกองทัพเกราะเขียวทุกคนล้วนเต็มไปด้วยพละกำลัง แต่กลับไม่มีที่ใดให้ระบายส่วนเกินออก…
“ไม่ผิดแล้ว นั่นคือนาง”
หวงเฉียนจวินถอนหายใจ “พี่ซูคงไม่รู้ว่าผู้หญิงในกองทัพนี้หายากแค่ไหน ดังนั้นตั้งแต่หลิวเซี่ยงหลานถูกพามาที่นี่ เหล่าทหารทั้งหมื่นนายต่างล้วนตื่นเต้นและทุกคืนจะมีคนมากมายรอต่อแถวเพื่อ…”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง หมื่นต่อหนึ่ง? ต้องแข็งแกร่งเพียงใดกันจึงจะทานทนได้?
นี่มันผิดวิสัยเกินไป!
ซูอี้ถอนสายตา ปิดหน้าต่างและถามทันทีว่า “แล้วเจ้าไม่ร่วมวงเหมือนพวกเขาด้วยหรือ…”
หวงเฉียนจวินรีบปฏิเสธ “โธ่พี่ซู แม้ข้าจะเสเพลอยู่บ้างแต่ข้าก็เลือกกินแต่สิ่งที่เหมาะสม!”
ซูอี้พ่นลมหายใจอย่างขบขัน
หวงเฉียนจวินอยู่ต่ออีกสักพักเพื่อพูดคุยกับซูอี้ แต่เมื่อเห็นว่าซูอี้เริ่มจะพูดน้อยตอบน้อย เขาก็กล่าวคำอำลาและจากไป
ซูอี้ไม่เสียเวลาอีกต่อไป นั่งขัดสมาธิบนเตียงที่ปูด้วยหนังสัตว์พลางครุ่นคิดขณะฝึก “ขณะนี้ขัดเกลาเต๋ากังได้หนึ่งในสิบส่วนแล้ว พรุ่งนี้เมื่อเข้าไปในหุบเขามารบุปผาโลหิต ข้ามั่นใจว่าจะไม่ขาดโอกาสในการต่อสู้และขัดเกลาเพื่อพัฒนามันอย่างแน่นอน และเมื่อไรที่ขัดเกลามันจนสมบูรณ์ การทะลวงผ่านไปยังขอบเขตปรมาจารย์ย่อมง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ!”
…
วันรุ่งขึ้น
ท้องฟ้ามืดครึ้มและหม่นหมอง
ภายใต้การน้อมส่งของจางอี้เหริน ซูอี้ หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซง ออกจากค่ายและเดินมุ่งหน้าเข้าไปยังหุบเขามารบุปผาโลหิต
หุบเขามารบุปผาโลหิตมีภูมิประเทศเป็นหุบเขาทอดยาวไปหลายพันลี้ ภูเขารอบด้านทั้งคดเคี้ยวและอันตราย ตั้งแต่โบราณ สถานที่แห่งนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นสถานที่อันตรายที่ติดสิบอับดับแรกแห่งต้าโจว
มีสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนตั้งรกรากอยู่ในหุบเขาตลอดทั้งปี และมีวิญญาณชั่วร้ายกับหมอกพิษอีกมากมาย ไม่ต้องพูดถึงคนทั่วไป แม้แต่ผู้บ่มเพาะก็ยังไม่กล้าย่างกรายเข้ามาหากไม่จำเป็น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่ใกล้จะเกิดปรากฏการณ์ฝูงสัตว์อสูรคลุ้มคลั่ง ยิ่งไม่มีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามาหากไม่คิดรนหาที่ตายอย่างแท้จริง
จนถึงตอนนี้ ท้องฟ้าเหนือหุบเขามารบุปผาโลหิตถูกบดบังด้วยหมอกสีเลือดหนาทึบ ซึ่งคงอยู่มานานจนไม่มีผู้ใดทราบว่ามันเคยหายไปหรือไม่
แลมองแล้วมันดูเหมือนทั้งโลกถูกย้อมด้วยโลหิต
ทันทีที่เข้ามาในพื้นที่หุบเขามารบุปผาโลหิต ซูอี้สัมผัสได้ว่าอากาศโดยรอบมีปราณวิญญาณชั่วร้ายสถิตอยู่หนาแน่นซึ่งหากเป็นผู้คนทั่วไปจะรู้สึกไม่สบายตัวอย่างยิ่งยวด
อย่างไรก็ตาม สำหรับซูอี้และกลุ่มคนเขานั้นแข็งแกร่งจนไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
“ท่านจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงเฉินเจิ้งควรจะเข้าไปในหุบเขาจากเส้นทางนี้”
เชินจิ่วซงชี้ไปในระยะไกล ที่ตรงนั้นเป็นหุบเขาที่มีหน้าผาสูงชันทั้งสองด้าน และไม่มีหญ้าใดเติบโตอยู่เลย
“ข้าไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด แต่จู่ ๆ ข้าก็มีลางสังหรณ์ว่าคราวนี้เราน่าจะได้เจอกับเรื่องใหญ่”
หนิงซือฮวาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
นางแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบที่ทะมัดทะแมง ผมยาวของนางถูกถักเปีย และในมือยังถือง้าวคู่ใจเตรียมพร้อมเอาไว้เรียบร้อย
“ไปกันเถอะ”
ซูอี้เดินตรงไปข้างหน้าเป็นผู้นำ
เขายังคงสวมเสื้อคลุมสีเขียวและผมยาวของเขาถูกมัดเป็นมวย
หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงเดินติดตาม
เส้นทางที่พวกเขาเดินผ่านล้วนมีแต่หินขรุขระและบางครั้งก็เป็นเชิงผาที่สูงชัน ท้องฟ้าเป็นสีแดงประหนึ่งโลหิต อากาศเต็มไปด้วยปราณวิญญาณชั่วร้ายซึ่งหม่นหมองและน่าหดหู่
ผ่านไปไม่นานนักกลุ่มของพวกเขาก็ถูกโจมตีโดยกลุ่มของสัตว์อสูร
พวกมันล้วนเป็นสัตว์อสูรธรรมดาระดับหนึ่งหรือสอง แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือดวงตาของพวกมันแต่ละตัวล้วนแดงก่ำราวกับเป็นบ้า และการกระทำของพวกมันไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง หากเป็นสัตว์อสูรปกติตามธรรมชาติพวกมันย่อมหวาดกลัวตัวตนที่แข็งแกร่งกว่า แต่กระนั้นพวกมันเหล่านี้กลับพุ่งเข้าใส่กลุ่มของซูอี้อย่างไม่กลัวตาย
สัตว์อสูรระดับต่ำเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือซูอี้หรือหนิงซือฮวาแค่เพียงเชินจิ่วซงเพียงคนเดียวก็สามารถจัดการกับสัตว์อสูรกลุ่มนี้ได้อย่างง่ายดาย
ทว่าสิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือ เมื่อเดินไปอีกพักหนึ่ง สัตว์อสูรกลุ่มใหม่ก็ออกมาโจมตีพวกเขาอย่างไร้สติเช่นเดิม พวกมันทั้งหมดเหมือนเป็นบ้าคล้ายกับไม่รู้ว่าความกลัวหรือความตายคือสิ่งใด
แม้ว่าซูอี้และคนอื่น ๆ จะสามารถสังหารสัตว์อสูรระดับต่ำเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย แต่พวกเขาก็มีปัญหากับการถูกสกัดกั้นครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้
“สัตว์อสูรเหล่านี้ติดเชื้อจากปราณวิญญาณชั่วร้าย กลายสภาพเป็นเดรัจฉานกระหายเลือด บ้าคลั่งและไร้สติอย่างสิ้นเชิง พวกมันไม่รู้แล้วว่าความกลัวคือสิ่งใด หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเราคงไม่อาจเดินไปถึงส่วนลึกได้ภายในหนึ่งวัน”
หนิงซือฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อย
เป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้วที่พวกเขาเข้าสู่หุบเขามารบุปผาโลหิตซึ่งขณะนี้ระยะทางที่พวกเขาเดินยังไม่ถึงร้อยลี้เสียด้วยซ้ำ
เหตุผลที่ล่าช้าก็เพราะมีสัตว์อสูรโจมตีพวกเขาอยู่เรื่อย ๆ และถี่กระชั้น ซึ่งเส้นทางที่พวกเขาต้องใช้เดินนั้นไม่ได้กว้างขวางนัก พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงการโจมตีเหล่านี้ได้เลย พวกเขาทำได้เพียงต้องฆ่าฟันเพื่อฝ่าไปเท่านั้น
“ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว สัตว์อสูรที่เราพบระหว่างทางนั้นถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งระดับความแข็งแกร่งของพวกมันก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน ยังไม่ทันถึงร้อยลี้เราก็ได้พบสัตว์อสูรระดับห้าแล้ว สิ่งนี้นับได้ว่าเป็นสัญญาณที่ดีนัก”
ซูอี้พูดขึ้นด้วยสีหน้าคาดหวัง “ข้าหวังว่าหลังจากนี้จะมีสัตว์อสูรที่ทรงพลังกว่าปรากฏมาให้เห็น หรือจะให้ดีที่สุดก็ขอเป็นสัตว์อสูรระดับแปดหรือไม่ก็เก้าไปซะเลยข้าจะยินดีมาก”
หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงมองหน้ากันอย่างโง่งม ซูอี้อยู่ในอารมณ์แบบใดกันถึงเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา?
เชินจิ่วซงยิ้มและถามว่า “คุณชายซู ท่านกำลังมองหาสัตว์อสูรเพื่อขัดเกลาตนเองใช่หรือไม่”
ซูอี้พยักหน้าและกล่าวว่า “มีเพียงการต่อสู้เท่านั้นจึงจะสามารถขัดเกลาให้ผู้บ่มเพาะกล้าแกร่งขึ้นได้อย่างแท้จริง หากสถานที่แห่งนี้ไม่อันตรายพอ ข้าจะเสียเวลามาเพื่ออะไรกัน?”
เชินจิ่วซงถอนหายใจอย่างละอาย
เขาและหนิงซือฮวามาที่นี่เพราะต้องการแสวงหาโชค
เพียงเรื่องนี้อย่างเดียวก็ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนเลยว่าจิตใจของซูอี้และพวกเขาแตกต่างกันอย่างไร…
ริมฝีปากของหนิงซือฮวายกขึ้นเล็กน้อย นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เมื่อได้ยินท่านพูดเช่นนี้ ข้าล่ะอดไม่ได้ที่จะสงสารอสูรระดับสูงเหล่านั้นที่อาจจะต้องมาพบกับท่านหลังจากนี้”
ทันใดนั้น ทุกคนต่างได้ยินเสียงพึมพำเบา ๆ คล้ายกับเสียงผีกระซิบ
เสียงของมันนั้นทั้งฟังดูโหยหวนราวกับดังมาจากส่วนลึกของยมโลกก็ไม่ปาน
รอยยิ้มของหนิงซือฮวาแข็งค้าง ริมฝีปากของนางส่งเสียงครวญคราง คิ้วของนางขมวดเผยให้เห็นถึงความรู้สึกเจ็บปวดปรากฏขึ้น
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เชินจิ่วซงรู้สึกได้เพียงเสียงหึ่งในหัวของเขา ราวกับว่าถูกทิ่มแทงด้วยปลายมีดตรงจิตวิญญาณโดยตรง ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าที่แน่วแน่ของเขากระตุกและบิดเบี้ยว
แต่หากมองไปที่ซูอี้อีกครั้ง ร่างของเขาสั่นไหวเพียงเล็กน้อยอยู่ชั่วพริบตาเท่านั้น ก่อนจะกลับสู่สภาพเดิม ทว่าดวงตาที่ไม่แยแสและลึกล้ำของเขากลับแปรเปลี่ยนไป
เมื่อครู่นี้น่าจะเป็น… ความผันผวนของพลังที่กำลังพยายามกักขังบางสิ่งอยู่…