บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 230 ค่ายกลต้องห้ามและการยับยั้ง
ตอนที่ 230: ค่ายกลต้องห้ามและการยับยั้ง
ในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต บนยอดเขาเล็ก ๆ ที่รายล้อมไปด้วยหมอกโลหิต
“เกิดขึ้นอีกแล้ว…” มู่ซีถอนหายใจเบา
เสียงพึมพำเป็นระยะนี้แฝงไปด้วยพลังที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว มันเหมือนกับใบมีดที่มองไม่เห็นทิ่มแทงตรงไปถึงจิตวิญญาณของผู้ฟัง ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงราวกับถูกฉีกทึ้ง
มู่ซีที่เคยเผชิญความเจ็บปวดนี้มาแล้วรีบปิดกั้นการรับรู้ของเขาทันทีและปกป้องจิตวิญญาณของตัวเองด้วยทักษะลับ
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกอึดอัด
โดยไม่ลังเล เขาหยิบจี้หยกสีแดงเพลิงออกมาแล้วถือไว้ในฝ่ามือ
ทันใดนั้น ความร้อนอันอบอุ่นก็ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ขจัดความรู้สึกไม่สบายไปทั่วทั้งร่างกาย
“ถ้าไม่ใช่เพราะ ‘จี้หยกโลหิตลึกลับ’ มันคงยากที่ข้าจะต้านทานเสียงนี้”
มู่ซีบ่นอุบ
ขณะนี้เขาใส่ชุดเสื้อคลุมขาวประหนึ่งหิมะ ใบหน้าหล่อเหลาสมบูรณ์แบบสอดรับกับดวงตากลมโตซึ่งเปล่งประกาย และรูปร่างผอมสูงราวกับไผ่สน
“พวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่ซีหันศีรษะไปมองชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ
“ยังพอรับไหว”
ชายวัยกลางคนพูดอย่างลำบาก
ขากรรไกรของเขาสั่นเครือเหงื่อเม็ดโตปรากฏอยู่เต็มหน้าผาก ชายวัยกลางคนผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีดำและมีรูปร่างสูงมาก แต่ทว่าขณะนี้ใบหน้าอันหยาบกร้านของเขาเผยออกซึ่งความเจ็บปวดอันรุนแรง
“ฮ่า! หากบรรดาลูกศิษย์แห่งตำหนักซิงหยาได้มาเห็นท่านผูอี้ผู้เลิศล้ำแสดงอาการเจ็บปวดเหมือนท้องผูกในเวลานี้ ข้าเกรงว่าพวกเขาพวกเขาจะต้องเศร้าถึงขนาดเอาหัวโขกต่อกำแพงเป็นแน่แท้”
มู่ซีหัวเราะอย่างไร้หัวใจ…
ชายร่างสูงในชุดดำผู้นี้คือผูอี้ รองเจ้าตำหนักซิงหยา หนึ่งในสิบตำหนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อีกทั้งเขายังเป็นปรมาจารย์ขั้นสี่!
แม้จะถูกหยอกล้อเช่นนี้ผูอี้กลับหาได้ขุ่นเคืองไม่ เขาส่ายหัวและยิ้มอย่างขมขื่น
แม้มู่ซีผู้นี้จะมีอายุอยู่ในช่วงรุ่นยี่สิบ แต่ผูอี้ก็ไม่กล้าที่จะดูหมิ่นอีกฝ่าย
เพราะชายหนุ่มที่สวมชุดขาวราวหิมะผู้นี้คือ ‘ราชาสะกดขุนเขา’ หนึ่งในเก้าราชาต่างสกุลแห่งต้าโจว!
ยามเมื่ออายุได้ยี่สิบปี ก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์วิถียุทธ์ และเมื่ออายุยี่สิบสามปี เขาได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้แพร่งพรายหรือก็คือบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ด้วยความสำเร็จอันล้นเหลือนี้จึงทำให้องค์จักรพรรดิโจวองค์ปัจจุบันประทานยศให้แก่ตัวเขา
เมื่อในอดีต ในบรรดาราชาต่างสกุลทั้งหมด ราชาขนนก เยว่ซือฉานคือราชาที่อายุน้อยที่สุด
เมื่อครั้งได้อายุสิบห้าปี เยว่ซือฉานในขอบเขตปรมาจารย์วิถียุทธ์ ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตไร้แพร่งพรายอายุเข้าสิบเจ็ดปี และสวมมงกุฎเป็นราชาเมื่ออายุได้สิบเก้าปี
แต่ตอนนี้ ในบรรดาราชาทั้งเก้าต่างสกุลแห่งต้าโจว ผู้ที่อายุน้อยที่สุดกลับกลายเป็นมู่ซี ซึ่งอายุน้อยกว่าราชาขนนกถึงห้าปี
แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกันในเรื่องพรสวรรค์ และการฝึกฝน เห็นได้ชัดว่าราชาขนนกยังคงเลิศล้ำที่สุดหาผู้ใดเทียบเคียงได้ยากยิ่ง
แต่กระนั้นก็ไม่มีใครกล้าดูถูกมู่ซีผู้นี้
ท้ายที่สุด เขาสามารถเป็นราชาต่างสกุลได้ตั้งแต่อายุยี่สิบสามปี ด้วยความสำเร็จเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนรุ่นหลังส่วนใหญ่ในโลกนี้ต้องอับอาย!
“ท่านมู่ ถึงเวลาที่ท่านต้องบอกข้าแล้ว เรามาที่นี่วันนี้เพื่ออะไรกัน?”
ผูอี้ทนความเจ็บปวดและเอ่ยถาม
มู่ซีคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ตามข่าวที่ข้าได้รับมา มีวัตถุโบราณลึกลับฝังอยู่ในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต และจากสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่ขณะนี้มันยิ่งมีความเป็นไปได้สูงว่ามันน่าจะมีสมบัติถูกผนึกอยู่ในนั้น”
“วัตถุโบราณ?” ผูอี้ตกตะลึง
“มิน่าเล่า ผู้คนของตำหนักคงต้งและตำหนักหลูหยางต่างก็มาที่นี่ด้วย ปรากฏว่าพวกเขาทั้งหมดมาเพื่อตามล่าหาสมบัติตามข่าวลือ!”
ผูอี้เอ่ยขึ้น “เช่นนี้แล้วข้ามีลางสังหรณ์ว่าคราวนี้ในหุบเขามารบุปผาโลหิตย่อมมีชีวิตชีวามากกว่าทุกปีเป็นแน่แท้”
มีความคาดหวังเล็กน้อยในน้ำเสียงของเขา
…
ไม่นานเสียงพึมพำก็หายไป
ทั้งหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่เมื่อพวกเขาเห็นซูอี้ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นราวกับไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ เลย ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ ชายผู้นี้ไม่ได้รับผลกระทบได้อย่างไร?
“เป็นไปได้หรือไม่ที่สหายเต๋าล่วงรู้ว่ามันคือสิ่งใดแล้ว?” หนิงซือฮวาเอ่ยถาม
ซูอี้ตอบอย่างใจเย็น “หากการเดาของข้าถูกต้อง เสียงพึมพำแปลก ๆ เมื่อครู่นี้น่าจะมาจากความผันผวนของพลังแห่งค่ายกลต้องห้าม”
“ความผันผวนของพลังแห่งค่ายกลต้องห้าม?”
หนิงซือฮวาหรี่ตา “หากเป็นตามที่สหายเต๋ากล่าว เช่นนั้นแล้วค่ายกลต้องห้ามนี้ควรอยู่ในระดับใด และมันถูกวางอยู่ที่ใดกัน?”
ซูอี้ส่ายหัวและกล่าวว่า “มันยากที่จะพูด แต่ที่แน่ชัดคือค่ายกลต้องห้ามนี้มีแนวโน้มว่าน่าจะตั้งอยู่ในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต ส่วนระดับการบ่มเพาะของผู้ที่จัดวางค่ายกลนี้ไม่น่าจะอ่อนแอกว่าวิถีวิญญาณ”
วิถีวิญญาณ!?
หนิงซือฮวาตกตะลึงจนแทบสำลัก
เส้นทางแห่งการบ่มเพาะแบ่งออกเป็นสี่ลำดับขั้น หนึ่งวิถียุทธ์ สองวิถีต้นกำเนิด สามวิถีวิญญาณ และสี่วิถีลึกล้ำ
สี่ขอบเขตแรกแห่งวิถียุทธ์ถูกเรียกว่าขอบเขตแห่งปุถุชน
มีเพียงผู้ที่ก้าวล้ำเกินวิถีต้นกำเนิดเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกตนเองได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะอย่างแท้จริง เป็นผู้ที่เพียงแค่ดื่มกินน้ำค้างก็สามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องกินอาหารเฉกเช่นคนธรรมดา
โดยวิถีต้นกำเนิดแบ่งออกเป็นสามขอบเขต ‘ไร้เบญจธัญ’ ‘เปิดทวาร’ และ ‘รวบรวมดารา’
ในทวีปคังชิง ผู้ที่สามารถก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิดได้ชื่อว่าเป็นเทพเซียนเดินดิน ซึ่งพวกเขาเป็นประหนึ่งเหมือนเทพเจ้าในสายตาของปุถุชนทั่วไป
ในดินแดนต้าโจวทั้งหมด ตัวตนเช่นเทพเซียนเดินดินนับได้ว่าหาดูยากยิ่งนัก ตลอดชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่อาจจะไม่เคยพานพบเลยสักครา
พวกเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่พำนักอยู่ในสิบตำหนักยุทธ์ วังหลวง สำนักดาบมังกรเร้น และนครหลวงอวี้จิงก็เท่านั้น
แต่วิถีวิญญาณนั้นอยู่เหนือวิถีต้นกำเนิด!
บรรดาผู้ที่ก้าวเข้าสู่ขั้นวิถีวิญญาณถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘มหาปราชญ์สวรรค์’ ซึ่งในขั้นวิถีวิญญาณถูกแบ่งออกเป็นสามขอบเขต ‘ขอบเขตแปรเปลี่ยนวิญญาณ’ ‘ขอบเขตสยายวิญญาณ’ และ ‘ขอบเขตวงล้อวิญญาณ’
ไม่ต้องพูดถึงต้าโจวซึ่งแห้งแล้ง ในทวีปคังชิงอันกว้างใหญ่ยังเป็นเรื่องยากที่คนผู้หนึ่งจะก้าวเข้าสู่วิถีวิญญาณได้
เท่าที่หนิงซือฮวารู้ เฉพาะในอาณาจักรแห่งการบ่มเพาะอันแท้จริงเช่น ‘ต้าเซี่ย’ ในทวีปคังชิงเท่านั้นที่มีข่าวลือเกี่ยวกับการปรากฏตัวของ ‘มหาปราชญ์สวรรค์’
แต่ขณะนี้ ซูอี้กลับเอ่ยว่าในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตดูคล้ายว่าจะมีค่ายกลต้องห้ามลึกลับที่ถูกจัดวางโดยมหาปราชญ์สวรรค์ ได้ยินเช่นนี้แล้วหนิงซือฮวาจะไม่แปลกใจได้อย่างไร?
เชินจิ่วซงทั้งตกตะลึงและงุนงง ก่อนจะเอ่ยถามออกอย่างสับสน “บังอาจถามคุณชายซูแล้ว วิถีวิญญาณมันคือสิ่งใดงั้นหรือ?”
ซูอี้เอ่ยตอบอย่างไร้อารมณ์ “มันคือขั้นการบ่มเพาะซึ่งอยู่เหนือวิถีต้นกำเนิด”
สำหรับผู้บ่มเพาะธรรมดาเช่นเชินจิ่วซง ในความรู้ของเขา เขารู้จักแต่เพียงเหล่าเทพเซียนเดินดินหรือก็คือเหล่าผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิด ซึ่งนั่นคือตัวตนที่เลิศล้ำที่สุดและสูงส่งที่สุดสำหรับเขาแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีสิ่งที่อยู่เหนือว่าวิถีต้นกำเนิด!!
เขามองไปที่หนิงซือฮวาโดยไม่รู้ตัว แต่เห็นการแสดงออกของอีกฝ่ายกลับไม่ได้โง่งมมากเท่าตัวเขา ซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายรู้ความลับนี้อยู่นานแล้ว
ชั่วขณะหนึ่ง ขนทั้งร่างของเขาลุกชูชันอย่างไม่อาจควบคุมเนื่องจากเขาได้ตระหนักว่า ไม่ว่าจะเป็นหนิงซือฮวาที่อยู่ข้าง ๆ หรือคุณชายซูอายุสิบเจ็ดปี คนทั้งสองนี้รู้ความลับมากมายที่เขาไม่อาจเข้าใจ!
“ไปกันเถิด”
ซูอี้ไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไปและเดินหน้าต่อ
ทั้งกลุ่มออกเดินทางต่อในทันที
ระหว่างทางพวกเขายังคงพบกับฝูงสัตว์อสูรเป็นระยะ ๆ แม้ว่าการฆ่าจะลำบากขึ้นเล็กน้อย แต่พวกมันก็ไม่อาจคุกคามพวกเขาได้
นอกจากนี้ ด้วยแผนที่ซึ่งถูกวาดขึ้นโดยจวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้ง ที่พวกเขาได้รับมาจากจางอี้เหริน มันทำให้พวกเขาหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหมอกพิษได้ตลอดทาง
จนกระทั่งเกือบสองชั่วยามต่อมา
เชินจิ่วซงแสดงอาการอ่อนล้าเนื่องจากที่ผ่านมาเขาใช้พละกำลังเป็นอย่างมากกับการจัดการฝูงสัตว์อสูรที่ประดังประเดเข้ามาแต่ผู้เดียว
ระหว่างทาง เขาเกือบจะเป็นคนเดียวที่สังหารเหล่าสัตว์อสูร หนิงซือฮวาช่วยเขาเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ส่วนซูอี้เอามือไพล่หลังโดยตลอดและไม่เคยสังหารสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียว
ไม่ใช่ไม่เต็มใจจะช่วยเหลือ แต่เพราะภัยคุกคามอ่อนแอจนเกียจคร้าน
ดังนั้นแล้วเขาจึงคิดเก็บกำลังเอาไว้รอให้สัตว์อสูรที่อยู่เหนือระดับแปดปรากฏขึ้นแทน
แต่จนถึงขณะนี้ อย่าว่าแต่ได้พบเจอสัตว์อสูรระดับแปด เพียงแค่สัตว์อสูรระดับเจ็ดยังโผล่มาให้เห็นไม่ถึงยี่สิบซะด้วยซ้ำ
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้พูดไม่ออกเล็กน้อย
“หยุดพักสักหน่อย ถัดจากนี้ข้าจะเป็นผู้สังหารเหล่าสัตว์อสูรให้เอง” หนิงซือฮวาพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน
เชินจิ่วซงรู้สึกโล่งใจและไม่ปฏิเสธ เขาหยิบขวดยาเม็ดออกมาและเริ่มกลืนพวกมันเพื่อเต็มเต็มพลังที่เสียไปในทันที
ซูอี้ยืนอยู่บนก้อนหิน มองไปรอบ ๆ
ขณะนี้เขาเห็นว่าท้องฟ้ายังคงถูกปกคลุมไปด้วยหมอกโลหิตสีแดงฉาน ทำให้โลกมืดมนและหม่นหมอง
“น่าเสียดาย เหล่าสมุนไพรวิญญาณทั้งหมดที่เห็นระหว่างทางปนเปื้อนไปด้วยหมอกโลหิตอันชั่วร้ายจนไม่สามารถเก็บเกี่ยวและนำไปใช้ได้…”
ซูอี้รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ไม่เพียงแต่สมุนไพรวิญญาณเท่านั้น แต่ร่างกายของสัตว์อสูรที่พบระหว่างทางก็ถูกปนเปื้อนไปด้วยหมอกโลหิตซึ่งฝังลึกลงไปทั้งร่างของพวกมันจนอวัยวะหรือกระดูกหรือหนังของพวกมันเป็นพิษและกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้หยิบเก้าอี้หวายออกจากจี้หยก ก่อนจะนอนลงอย่างเกียจคร้าน หลับตาและพักผ่อน
เมื่อเห็นฉากนี้ หนิงซือฮวาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ชายผู้นี้น่าสนใจนัก แม้ในยามอยู่ในสภาพแวดล้อมที่หม่นหมองเช่นนี้ เขายังนอนบนเก้าอี้หวายได้…
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ครึ่งชั่วยามต่อมา พละกำลังของเชินจิ่วซงฟื้นคืนจนเต็มเปี่ยมและทั้งกลุ่มเตรียมจะออกเดินทางอีกครั้ง
แต่ทันใดนั้น เสียงคำรามดังก้องกังวานผ่านทั้งชั้นฟ้าและผืนดิน
ในขณะนี้ ทั้งหุบเขามารบุปผาโลหิตคล้ายกับสั่นสะท้าน ภูเขาและแม่น้ำแกว่งไกว หินและพืชสั่นไหวอย่างแปลกพิสดาร
หลังจากนั้นที่ตามมาในทันทีคือเสียงคำรามของความบ้าคลั่งและกระสับกระส่ายของเหล่าสัตว์อสูร เผยให้เห็นถึงความตื่นตระหนกและบ้าคลั่ง
ซูอี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายทันที กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก่อนจะกล่าวว่า
“แรงสั่นสะเทือนนี้ดูเหมือนจะมาจากส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อห้าวันก่อน จวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งทราบถึงความเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกันแล้วจึงตัดสินใจเข้ามาตรวจสอบในหุบเขามารบุปผาโลหิตเพียงลำพัง?”
หนิงซือฮวาพยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นไปได้มาก”
“หุบเขามารบุปผาโลหิตนี้น่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว เป็นไปได้ว่าข้างใต้หุบเขานี้น่าจะมีบางอย่างที่น่ากลัวอย่างยิ่งถูกผนึกไว้ และเสียงพึมพำแปลก ๆ ที่เราได้ยินมาก่อนหน้านี้ควรจะมาจากค่ายกลต้องห้ามที่ยับยั้งมัน”
ดวงตาของซูอี้ครุ่นคิด “กล่าวอีกนัยหนึ่งคือความผิดปกติล่าสุดในหุบเขามารบุปผาโลหิตน่าจะเป็นเพราะบางสิ่งที่ถูกปิดผนึกลึกลงไปใต้ดินเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและพยายามหลบหนีจากการยับยั้งของพลังแห่งค่ายกลต้องห้ามนั่น!”
หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงรู้สึกสั่นไหว พวกเขาไม่คิดเลยว่าซูอี้จะมีความเข้าใจที่เฉียบแหลมเช่นนี้
จากเสียงพึมพำแปลก ๆ ในตอนแรก ซูอี้คาดเดาได้ว่ามาจากความผันผวนของพลังแห่งค่ายกลต้องห้ามนั่น แต่ตอนนี้จากเสียงคำรามอันน่าสยดสยอง ซูอี้ยังอนุมานได้อีกว่ามีพลังอันน่าสะพรึงกลัวถูกผนึกไว้ใต้หุบเขามารบุปผาโลหิต ยิ่งกว่านั้น ยังอนุมานได้อีกว่าค่ายกลต้องห้ามนั้นกำลังยับยั้งพลังอันน่าสะพรึงกลัวนั่น!
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงไม่อาจคาดเดาหาสาเหตุได้เลย ดังนั้นแล้วพวกเขาสองคนจะไม่แปลกใจได้อย่างไร?
ทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโชคดีที่คราวนี้พวกเขาร่วมเดินทางมากับซูอี้! ไม่เช่นนั้นแล้วพวกเขาคงจะเดินเข้าหาหายนะโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
“สหายเต๋ารู้หรือไม่ว่าค่ายกลต้องห้ามนี้กำลังปิดผนึกสิ่งใดอยู่?” หนิงซือฮวาอดไม่ได้ที่จะถาม