บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 231 ล้มล้างความเข้าใจ
ตอนที่ 231: ล้มล้างความเข้าใจ
ซูอี้ยิ้มและกล่าวคำออก “ข้าไม่ใช่มหาเทพผู้สร้าง ข้าจะรู้ได้อย่างไร?”
หลังจากหยุดชั่วคราว เขาก็พูดต่อ “แต่กระนั้น เมื่อสังเกตจากปรากฏการณ์เมื่อครู่นี้ สิ่งที่ถูกผนึกไว้ไม่ว่ามันจะเป็นสมบัติหรือสิ่งมีชีวิต มันย่อมไม่ใช่สิ่งธรรมดาอย่างแน่แท้”
ดวงตาของหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงเปล่งประกาย
หากเป็นสมบัติล้ำค่า มันย่อมเลิศล้ำจนไม่อาจคาดเดาได้
แต่ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิต มันคงเป็นหายนะที่คาดเดาไม่ได้เช่นเดียวกัน!
ครืน!
ท้องฟ้าสั่นสะเทือน เกิดเสียงฟ้าคำรณดังก้องต่อเนื่องเป็นเวลานาน
แต่ทันใดนั้นมีเสียงหวีดหวิวแหลมคมดังรุนแรงมาจากในระยะไกล และกลุ่มเมฆสีแดงที่ปกคลุมท้องฟ้ากลับม้วนตัวอย่างน่าแปลกประหลาดราวกับถูกบางสิ่งพาดผ่านอย่างรวดเร็ว…
สิ่งนั้นกำลังก็พุ่งมาทางกลุ่มของซูอี้อย่างรวดเร็ว!
ยามเมื่อแลมองอย่างถี่ถ้วน ทั้งกลุ่มซูอี้ต่างเห็นว่าสิ่งที่กำลังใกล้เข้ามาคือฝูงนกดุร้ายสีเลือดหลายร้อยตัว พวกมันแต่ละตัวมีปีกที่ยาวเกือบสิบฉื่อ ดวงตาเรืองแสงราวกับคบเพลิง และกรงเล็บของพวกมันแวววับเป็นสีทองดูสะดุดตายิ่ง
หัวของมันน่าเกลียดเหมือนผีที่ชั่วช้า ส่วนใบหน้าและจะงอยปากเป็นสีฟ้าตัดกับสีแดงบนร่างอย่างพิสดาร อีกทั้งเสียงกรีดร้องของพวกมันนั้นรุนแรงและไม่เสนาะหูราวกับพิณที่สายหย่อน
เหยี่ยวโลหิต!
รูม่านตาของหนิงซือฮวาหรี่ลง
พวกมันคือนกที่ดุร้ายเป็นสัตว์อสูรระดับเจ็ด พวกมันสามารถปล่อยเปลวเพลิงได้อย่างอิสระ และบินไปในอากาศได้อย่างรวดเร็ว ความแข็งแกร่งของพวกมันแต่ละตัวพอจะคุกคามปรมาจารย์ขั้นหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้คือพวกมันไม่ได้มาเพียงหนึ่งแต่มานับร้อย ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้มันแทบไม่ต่างกับการที่พวกเขากำลังถูกโจมตีโดยกองทัพอันมีแต่เหล่าปรมาจารย์วิถียุทธ์ที่บินได้อย่างอิสระบนท้องฟ้า!
“หนี!”
หนังศีรษะของเชินจิ่วซงชา ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
การถูกรุมโดยเหยี่ยวโลหิตนับร้อยเช่นนี้แม้เขาจะเป็นปรมาจารย์วิถียุทธ์ขั้นห้า หากเขาไม่ตายก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส!
แต่ทว่าในเวลานี้ซูอี้กลับหัวเราะ เพราะในที่สุดเขาก็ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่คู่ควร เรื่องเช่นนี้จะทำให้เขาไม่มีความสุขได้อย่างไร?
ซูอี้ยืดเส้นยืดสายไปมาก่อนจะกล่าวออกอย่างเบิกบาน “ข้าจัดการเดรัจฉานเหล่านี้เอง หลังจากนี้พวกท่านแค่ช่วยข้าเก็บจะงอยปากอันแหลมคมของพวกมันยามจบศึกก็พอ”
หลังจากสิ้นประโยคพูด ร่างของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที
ชิ้ง!
ซูอี้กระโดดขึ้นไปบนยอดเขาที่สูงที่สุดในสายตา และด้วยเสียงกังวานกึกก้อง ดาบบงการฟ้าดินพลันอยู่ในมือขวาของเขาแล้ว ทั้งร่างยืนตระหง่านไม่หวั่นไหวราวกับเทพเซียน คนและดาบเป็นหนึ่งเดียว อหังการและหยิ่งทะนง โลกหล้านี้มีผู้ใดกล้าต่อกร?
หนิงซือฮวาตกตะลึงกับท่าทีอันกร้าวแกร่งของซูอี้
“นี่…”
หัวใจของเชินจิ่วซงบีบรัด ซูอี้ต้องการสังหารเหยี่ยวโลหิตนับร้อยด้วยตนเอง!
ไม่เพียงแต่ซูอี้จะไม่เกรงกลัว แต่ยังดูมีความสุขล้นอีกต่างหาก!
“สหายเต๋าซูหาใช่คนธรรมดาไม่ ดังนั้นแล้วการกระทำของเขาย่อมไม่ธรรมดา พวกเราควรรอดูกันต่อไป” หนิงซือฮวากระซิบ
ตูม ตูม ตูม!
ฝูงเหยี่ยวโลหิตหน้าผีที่ปกคลุมท้องฟ้าคำรามลั่น ปีกของพวกมันลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงราวกับว่ากำลังมอดไหม้ พวกมันปล่อยคลื่นไฟแผดเผาออกจากจะงอยปาก
ไม่ว่าพวกมันบินพาดผ่านไปที่ใด หินและต้นไม้ต่างมอดไหม้หลอมเหลวกลายเป็นเถ้าถ่าน ภาพเช่นนี้ทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องหวาดกลัว
ชิ้ง!
ในขณะเดียวกัน เสียงดาบใสดังก้องดังไปทั่วฟ้าดิน
ซูอี้ซึ่งยืนอยู่บนยอดเขา แขนเสื้อของเขาโบกสะบัดตามท่าร่าง ดาบบงการฟ้าดินฟาดฟันขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับท้าทายสวรรค์
ทันใดนั้น พลังดาบสีน้ำเงินอันเสมือนดาบยาวสิบจั้งกวาดออกไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ฉัวะ ฉัวะ ฉัวะ!
ในทันที ฝูงเหยี่ยวโลหิตถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ ทุกตัวซึ่งถูกพลังดาบพาดผ่านถูกฉีกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยราวกับเศษกระดาษ
เลือดและเศษเนื้อหล่นลงปกคลุมพื้นดินย้อมโลกหล้าจนกลายเป็นสีแดง
ด้วยการฟาดฟันดาบเพียงครั้งเดียว ซูอี้สะบั้นชีวิตเหยี่ยวโลหิตไปมากกว่ายี่สิบตัว ซึ่งแต่ละตัวเทียบได้กับปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง!
แต่ด้วยดาบนี้ กองทัพของเหยี่ยวโลหิตหน้าผีจึงเดือดดาลเต็มที นกที่ดุร้ายเหล่านี้ไม่กลัวความตาย พวกมันส่งเสียงกรีดร้องเสียดแทงแก้วหูและตีปีกอย่างบ้าคลั่ง
ตูม!
เมื่อมองจากระยะไกล ฝูงเหยี่ยวโลหิตหลายร้อยตัวกรูกันเข้าหาซูอี้บนยอดเขาราวกับพายุเพลิงที่ปกคลุมท้องฟ้า
ฉากนี้ทำให้เชินจิ่วซงเหงื่อตกและหัวใจของเขาแทบกระดอนออกจากอก
หนิงซือฮวาขมวดคิ้ว กำง้าวจันทร์แรมเพลิงครามในมือของนางแน่นโดยตั้งใจจะช่วยซูอี้เมื่อจำเป็น
แต่ในเวลานี้ ซูอี้ซึ่งยืนอยู่บนยอดเขายังคงสีหน้าอันเย่อหยิ่งและไร้แยแส
ทันใดนั้น ดาบบงการฟ้าดินฟาดฟันต่อเนื่องออกอีกหลายครั้ง ปราณวิญญาณในร่างกายของซูอี้โคจรไปยังดาบ และจากดาบธรรมดาพลันควบแน่นเป็นดาบยาวหลายสิบจั้งก่อนจะฟาดฟันออกไปอย่างน่าตื่นตะลึง
บางดาบราวกับคลื่นสมุทรถาโถมประหนึ่งกลืนกินโลก
บางดาบราวกับสะบั้นภูผาแยกปฐพีออกเป็นสอง
บางดาบพร่างพราวราวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์
บางดาบราวกับห่าฝน ปกคลุมไปทั่วทั้งสิบทิศไร้เทียมทานไม่อาจหลุดรอด
พลังของแต่ละดาบแฝงด้วยเอกลักษณ์อันเลิศล้ำซึ่งเพียงพอที่จะเขย่าโลกหล้า พลังของดาบนั้นลึกล้ำและอัศจรรย์จนไม่อาจอธิบาย
นี่คือความลึกลับของเพลงดาบสุดปรีดี!
ฝูงเหยี่ยวโลหิตหน้าผีถูกบั่นหัว ปีก ขา หางขณะโบยบิน พวกมันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนไร้สิ้นสุด
โลหิตไหลนอง
เมื่อเห็นฉากนี้เชินจิ่วซงตื่นตระหนกและตัวสั่น
ที่งานเลี้ยงน้ำชา ซูอี้ได้แสดงความแข็งแกร่งเป็นที่ประจักษ์แล้วกับการสังหารฉินฉางซานผู้ซึ่งเป็นปรมาจารย์ขั้นห้า
แต่ในเวลานี้ ซูอี้แตกต่างไปจากตอนนั้นอย่างสิ้นเชิง
เขาเป็นเหมือนเซียนอมตะผู้ไร้เทียมทานและโหดเหี้ยม สีหน้าเรียบเฉยไม่ไหวติงราวกับเหยียดหยามต่อทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า
“นี่…”
เชินจิ่วซงอ้าปากค้าง นี่คือพลังที่แท้จริงของซูอี้งั้นหรือ?
หนิงซือฮวาก็ตกตะลึงเช่นกัน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นกระบวนท่าอันละลานตาของซูอี้
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
บนยอดเขาซูอี้ใช้พลังทั้งหมดและเคล็ดวิชาดาบจนถึงขีดสุด
แค่ครู่เดียวเท่านั้น
ฝูงเหยี่ยวโลหิตหลายร้อยซึ่งราวกับพายุเพลิงในตอนแรกขณะนี้ถูกบดขยี้จนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยดาบอันไร้เทียมทาน
ศพของพวกมันร่วงหล่นลงพื้นดินดังสนั่นหวั่นไหวไม่ขาดสายกองท่วมสูงประหนึ่งเนินเขาลูกย่อม ๆ โลหิตและเศษเนื้อปนรวมกันจนคล้ายทะเลสาปโลหิต
ในท้ายที่สุด เหลือเพียงเหยี่ยวโลหิตอีกเพียงหลายสิบตัวที่โชคดี พวกมันหนีด้วยความตื่นตระหนก กรีดร้องโหยหวนและหวาดกลัว
สิ่งนี้ทำให้ทั้งหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซง ตกตะลึงจนตาโปน ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาเหล่าสัตว์อสูรนั้นคลั่งจนไร้สติไม่กลัวตายหรอกหรือ แล้วเหตุใดคราวนี้พวกมันถึงถอยกลับอย่างหวาดกลัว?
บนยอดเขาซูอี้ตะลึงครู่หนึ่ง ความตั้งใจอันร้อนแรงในดวงตาของเขาค่อย ๆ จางลงทีละน้อย ฟื้นคืนความชัดเจน และพลังที่ควบคุมไม่ได้ในร่างกายของเขาก็ค่อย ๆ สงบลง ก่อนจะหายไป หลงเหลือไว้แต่ความผิดหวังอยู่ในใจเพราะผลลัพธ์ยังไม่น่าพึงพอใจ
สัตว์อสูรพวกนี้… ยังคงอ่อนแอไป…
ฟู่…
ซูอี้หายใจออกยาวก่อนจะเหลือบมองไปที่ซากศพเหยี่ยวโลหิตที่กองอยู่บริเวณใกล้เคียงจากนั้นโดยไร้ซึ่งความลังเล เขาเริ่มนั่งสมาธิ …
แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะกินเวลาเพียงชั่วครู่ แต่มันกลับกินปราณในร่างของเขาไปมากยิ่ง
หนิงซือฮวาเพ่งมองไปที่ซูอี้ซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิและพูดกับเชินจิ่วซงที่อยู่ข้าง ๆ นางว่า “พวกเราช่วยกันไปเก็บจะงอยปากของเหล่าเหยี่ยวโลหิตกันก่อนก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้เชินจิ่วซงจึงฟื้นคืนสติเหมือนตื่นจากความฝัน รีบเร่งติดตามหนิงซือฮวาไปอย่างรวดเร็ว
แต่กระนั้นในใจยังไม่อาจสงบลง
ฝูงเหยี่ยวโลหิตจำนวนหลายร้อยพ่ายแพ้ต่อซูอี้เพียงผู้เดียว สิ่งนี้ล้มล้างความรู้ความเข้าใจของเขาโดยสิ้นเชิง
ท้ายที่สุด ใครจะคิดว่าชายหนุ่มในขอบเขตรวบรวมลมปราณจะสามารถใช้ดาบได้อย่างน่าสะพรึงกลัวและไม่น่าเชื่อเช่นนี้?
“เจ้าตำหนักหนิง ข้ารู้สึกว่าคุณชายน่าจะเป็นเทพเซียนอมตะผู้ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ เขาไม่เหมือนคนของโลกเราเลยแม้แต่น้อย”
ขณะที่รวบรวมจะงอยปากอันแหลมคมของเหยี่ยวโลหิต เชินจิ่วซงก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยเสียงต่ำ
หนิงซือฮวาตะลึงครู่หนึ่ง ดวงตาของนางสั่นไหวก่อนจะเอ่ยถามกลับ “ท่านคิดว่ามีเทพเซียนอมตะอยู่บนท้องฟ้าจริงงั้นหรือ?”
เชินจิ่วซงยิ้มอย่างบิดเบี้ยวและส่ายหัว “ใครจะรู้”
“ทุกคนมีความลับของตนเอง และโลกหล้านี้ยิ่งใหญ่จนมีความลับมากมายนับไม่ถ้วนซ่อนอยู่”
หนิงซือฮวากล่าว “เมื่อใดที่ก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิด ท่านจะเข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘เทพเซียนเดินดิน’ เป็นเพียงตัวตนไม่ได้สลักสำคัญนักในโลกนี้ ในสายตาของผู้บ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ขั้นวิถีต้นกำเนิดไม่มีอะไรมากไปกว่าก้าวแรกเพื่ออยู่เหนือคนธรรมดา”
เชินจิ่วซงเงียบลง
แม้ว่าเขาจะได้อยู่ร่วมกับซูอี้และหนิงซือฮวาไม่นานนัก แต่ความแข็งแกร่งและความเข้าใจในการวิถีแห่งการบ่มเพาะที่ทั้งสองคนนี้แสดงให้เขาเห็นนั้นมันช่างลึกล้ำเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจครั้งแล้วครั้งเล่าและล้มล้างจินตนาการของเขาเอง
ตอนนี้เองที่เขาตระหนักว่าแม้ว่าเขาจะเป็นผู้มีอิทธิพลอำนาจมากในทางโลก แต่ในด้านเส้นทางการบ่มเพาะตัวเขานั้นช่างตื้นเขินจนน่าละอาย!
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เชินจิ่วซงก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ภายในของเขาได้และถามด้วยเสียงต่ำว่า “เจ้าตำหนักหนิง ท่านคิดว่าเชินผู้นี้มีโอกาสที่จะกลายเป็นผู้บ่มเพาะที่แท้จริงในชีวิตนี้ได้หรือไม่?”
หนิงซือฮวาตะลึงครู่หนึ่งและตอบอย่างแฝงความนัยว่า “มันขึ้นอยู่กับท่าน หากท่านทุ่มเทอย่างหนักหนาท่านอาจมีความหวังอยู่กะจ้อยร่อย แต่ถ้ามีใครบางคนเต็มใจยื่นมือให้ท่าน แค่ก้าวเข้าสู่วิถีต้นกำเนิดย่อมไม่เป็นปัญหาเลย”
หัวใจของเชินจิ่วซงเต้นระส่ำ สายตาของเขามองไปยังร่างของชายหนุ่มผู้ซึ่งนั่งอยู่บนยอดเขาโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาโค้งคำนับให้หนิงซือฮวาและกล่าวว่า “ขอบคุณท่านเจ้าตำหนักหนิงยิ่งนักสำหรับคำชี้แนะของท่าน เชินผู้นี้เข้าใจแล้ว!”
หนิงซือฮวาไม่พูดอะไรอีก คำพูดเพียงเท่านี้มันเพียงพอแล้วที่จะชี้ให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ทว่าทุกสิ่งจะเป็นไปได้หรือไม่มันก็ขึ้นอยู่กับซูอี้ด้วย
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม
จากกองซากศพ ทั้งสองเก็บจะงอยปากเหยี่ยวโลหิตที่ยังไม่บุบสลายได้มากกว่าห้าร้อยชิ้น
นี่เป็นวัตถุวิญญาณระดับสามอันหายาก มันสามารถบดเป็นผงและใช้เป็นส่วนผสมของยา หรือยังสามารถนำมาเป็นส่วนประกอบในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับศาสตราวิญญาณก็ได้เช่นกัน
ในต้าโจวเพียงแค่จะงอยปากอันเดียวก็สามารถแลกเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณระดับสามได้อย่างน้อยหนึ่งร้อยก้อน!
ภูเขาในระยะไกล
ซูอี้นั่งสมาธิอย่างเงียบงัน โดยมีร่องรอยของเต๋ากังหมุนวนทั่วร่างกายของเขาราวกับม่านเกราะ
เมื่อเห็นเช่นนี้ หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงก็ทำได้เพียงรอต่อไป
ผ่านไปอีกเกือบครึ่งชั่วยาม
ก่อนที่ซูอี้จะตื่นจากการทำสมาธิ ทันใดนั้นก็มีเสียงทะลุผ่านท้องฟ้ามาแต่ไกล!