บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 232 ข้าไม่เชื่อ!
ตอนที่ 232: ข้าไม่เชื่อ!
หนิงซือฮวาเงยหน้ามองออกไป
ก็เห็นร่างสามร่างจากที่ไกลพุ่งมาทางนี้
คนที่นำมาคนแรกคือชายชราที่มือข้างหนึ่งถือแท่งหยก บนหัวสวมหมวกสูงใหญ่ หนวดเคราผมเผ้าปลิวไสว มีท่าทางสง่างาม และหน้าตาอ่อนโยน
ด้านซ้ายคือชายวัยกลางคนผอมแห้งที่แบกดาบคู่ไว้บนหลัง ไหล่กว้างเอวแคบ มีแววตาเฉียบคมราวกับเหยี่ยว ระหว่างที่ตาเปิดปิด เหมือนกับมีสายฟ้าล้นทะลักออกมา
ด้านขวาคือผู้ชายอายุราว ๆ สามสิบกว่าปีที่มือหนึ่งถือหอกยาว สวมชุดสีดำ มีสีผิวขาวผ่อง ทั่วร่างเต็มไปด้วยพลังเด็ดเดี่ยวและหนาวเหน็บ
เมื่อเห็นสามคนนี้ หนิงซือฮวาแปลกใจทันที
แค่เหลือบมองนางก็รู้จักทันที ชายชราที่มือหนึ่งถือแท่งหยก บนหัวสวมหมวกสูงใหญ่ ก็คือเจ้าตำหนักหลูหยาง หวังฉุนตู้
เป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ขอบเขตไร้แพร่งพรายอย่างแท้จริง!
“อีกสองคนคือผู้ใดกัน?”
หนิงซือฮวาเอ่ยเสียงต่ำ
“ผู้ที่แบกดาบคู่ไว้บนหลังคือรองเจ้าตำหนักหลูหยาง เซวียนโหยวหลง”
เชินจิ่วซงเอ่ยตอบทันที “ผู้ที่ถือหอกยาวในมือก็คือจวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยาง เหล่ยเจิ้ง”
หนิงซือฮวาตกใจ “จวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยาง? หนึ่งในบรรดาห้าจวิ้นอ๋องจากตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง?”
“ถูกต้อง ว่ากันว่าในตอนที่เหล่ยเจิ้งยังอายุน้อยอยู่ ได้ช่วยงานอยู่ข้างซูหงหลี่ในมหานครหลวงอวี้จิงมาตลอด เมื่อสิบห้าปีก่อนเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ และจากการบำเพ็ญถึงปรมาจารย์ขั้นสี่เมื่อแปดปีก่อน จึงได้รับบรรดาศักดิ์เป็นจวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยาง”
เชินจิ่วซงเอ่ย “คนผู้นี้ไร้ความรู้สึก เลือดเย็นนัก หลายปีมานี้เขามีผลงานมีชื่อเสียงไม่น้อยในสนามรบเขตชายแดน พละกำลังแข็งแกร่งมาก”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้
หวังฉุนตู้ที่มีท่าทางสง่างาม และหนวดเคราผมเผ้าปลิวไสวที่ยังมาไม่ถึง ก็เอ่ยเสียงก้องกังวานมาแต่ไกล
“เจ้าตำหนักหนิง ไม่เจอกันนานเลย!”
ก่อนที่น้ำเสียงจะจบลง พวกเขาทั้งสามคนก็มาถึงที่เกิดเหตุ
เมื่อสายตากวาดมองซากศพปีศาจเหยี่ยวที่อยู่เต็มพื้น พลันใบหน้าทั้งสามคนก็เผยความแปลกประหลาดใจออกมา
หนิงซือฮวาเอ่ยอย่างไม่แยแส “ไม่นึกเลยว่า จะเจอชายแก่ที่นี่”
แม้จะถูกเรียกว่าชายแก่ หวังฉุนตู้กลับไม่สนใจ และหัวเราะเสียงดัง “ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าตำหนักหนิงที่เป็นเทพเจ้ามังกรเห็นหัวมิเห็นหาง*[1] จะมาที่หุบเขามารบุปผาโลหิตด้วย หรือว่า… มาเพราะโอกาสที่ได้รับจากส่วนลึกหุบเขานี้ ”
หนิงซือฮวาเอ่ยตอบอย่างสบาย “ก็มีส่วนอยู่”
หวังฉุนตู้ยิ้มครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยแนะนำ “เจ้าตำหนักหนิง ท่านนี้คือรองเจ้าตำนักหลูหยาง เซวียนโหยวหลง ท่านนี้คือจวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยาง เหล่ยเจิ้ง”
เซวียนโหยวหลงที่แบกดาบคู่บนหลังยกมือคำนับ “เสวียผู้นี้ยินดีที่ได้พบใต้เท้าหนิง!”
หนิงซือฮวาที่อยู่ตรงหน้า แม้มีใบหน้าอ่อนเยาว์ราวกับเด็กสาว ทว่าเซวียนโหยวหลงมิอาจดูหมิ่นได้
นี่เป็นบุคคลลึกลับในตำนานท่านหนึ่ง ได้รับคำชมจากราชครูหงเซินชางแห่งต้าโจวว่าเป็น ‘คนที่ดูเหมือนปีศาจ มิอาจบุ่มบ่ามประเมินด้วยตัวเองได้’!
ยิ่งไปกว่านั้น ฐานะของหนิงซือฮวาเทียบเท่ากับหวังฉุนตู้ เซวียนโหยวหลงจึงมิอาจดูหมิ่นได้
หนิงซือฮวาพยักหน้า ไม่เอ่ยสิ่งใด
และในตอนนั้นเอง จวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยาง เหล่ยเจิ้งก็ยกมือคำนับ เอ่ยอย่างรวบรัด “เหล่ยเจิ้ง ดีใจที่ได้พบเจ้าตำหนักหนิง”
หนิงซือฮวาพยักหน้าแสดงว่าทราบเหมือนกัน
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่ชอบทักทายอะไรกับคนแปลกหน้า
แต่ไม่นึกเลยว่า เหล่ยเจิ้งที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง จะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ข้าได้ยินนายท่านข้าบอกว่า เจ้าตำหนักหนิงฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาในมหาวิถีลึกลับและมิอาจคาดเดา ที่สามารถกลับกลายเป็นคนหนุ่มสาว คงความอ่อนเยาว์ตลอดกาล เมื่อได้เห็นในยามนี้ ก็นับว่าสมคำล่ำลือจริง ๆ”
“หรือว่าผู้นำตระกูลเจ้าคือซูหงหลี่?”
หนิงซือฮวาหน้านิ่วคิ้วขมวด
เมื่อเอ่ยถึงซูหงหลี่ ใบหน้าเหล่ยเจิ้งก็เผยความเลื่อมใสออกมา พลางเอ่ยด้วยความเคารพ “ถูกต้อง”
“ซูหงหลี่ยังเคยเอ่ยเรื่องของข้าอะไรให้กับเจ้าอีก?”
หนิงซือฮวาอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
“ท่านผู้นำตระกูลเคยบอกว่า ภายในอาณาจักรต้าโจวนี้ มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญอย่างแท้จริง ซึ่งเจ้าตำนักหนิงคือหนึ่งในนั้น” เหล่ยเจิ้งเอ่ยด้วยเสียงลุ่มลึก
หนิงซือฮวาอ๋อออกมา และเอ่ยว่า “ข้ากับซูหงหลี่ไม่เคยพบกันมาก่อน แต่ไม่นึกเลยว่า เขาจะติชมข้าเช่นนี้ ช่างทำให้ข้าแปลกใจยิ่งนัก”
ในตอนนี้เอง เชินจิ่วซงก็เดินมาข้างหน้า เคารพหวังฉุนตู้และคนอื่น ๆ
แม้ว่าจะไม่สนิทสนมใด ๆ กัน ทว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรต้าโจว หากเอ่ยถึงตำแหน่ง ก็คงจะห่างกันไม่มากนัก
เพียงแต่ เหล่ยเจิ้งที่เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ก็เอ่ยกับเชินจิ่วซง “พี่เชิน เมื่อสามวันก่อน ข้าได้รับข่าวมาจากจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน เพ่ยเหวินซาน บอกว่าเคยเจอท่านที่มหานครกุ่นโจว ว่ากันว่าในตอนนั้นท่านอยู่กับซูอี้?”
เชินจิ่วซงหรี่ตาลง นึกถึงภาพเหตุการณ์หลายวันก่อนที่พบกับจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน เพ่ยเหวินซานที่เรือนพำนักหินศิลาของซูอี้
เขาพลันเงยหน้าไปมองยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลทันที
ท่าทางเช่นนี้ ทำให้หวังฉุนตู้ เซวียนโหยวหลงและเหล่ยเจิ้งต่างก็ตกใจ มองไปทางยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลนั้น
รับชมเห็นชายหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งนั่งทำสมาธิอย่างสงบนิ่งและเฉยเมย
“ขอคำชี้แนะจากเจ้าตำหนักหนิง ท่านนี้คือผู้ใดกัน?”
หวังฉุนตู้เอ่ยถาม
ไม่รอให้หนิงซือฮวาเอ่ยสิ่งใด เหล่ยเจิ้งเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาทันที “นั่นซูอี้! ลูกชายอกตัญญูของนายท่านข้า!”
ในคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความเย็นเยือกและเหยียดหยาม
หวังฉุนตู้ตกใจ และแปลกใจเล็กน้อย บุคคลที่ลึกลับอย่างหนิงซือฮวา เหตุใดถึงได้เคลื่อนไหวไปกับลูกชายที่จองหองของผู้นำตระกูลซู?
“เหล่ยเจิ้ง เจ้าพูดจาให้สุภาพหน่อย!”
ใบหน้าเชินจิ่วซงเผยความไม่พอใจออกมา “ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายซูก็ยังเป็นทายาทของท่านผู้นำตระกลูเจ้า ฉะนั้นเจ้าจะใส่ร้ายป้ายสีได้อย่างไร?”
นี่ทำให้เซวียนโหยวหลงสับสนเล็กน้อย
จวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยาง เหล่ยเจิ้งที่ออกจากตระกูลซู ประณามซูอี้ว่าเป็นลูกชายอกตัญญูของซูหงหลี่อย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
แต่เชินจิ่วซงที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลซูเลยสักนิด กลับไม่ลังเลที่จะเอ่ยปกป้องศักดิ์ศรีของซูอี้
นี่มันแปลกมาก
“เขาคือทายาทของนายท่านข้าก็จริง แต่ในตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง มีใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเขาคือคุณชายสามที่มีพฤติกรรมที่ไม่ดีเพียงใด?”
เหล่ยเจิ้งเอ่ยด้วยสายตาเยือกเย็น “จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง นี่คือเรื่องระหว่างตระกูลซูของพวกเรา เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสาเหตุคือสิ่งใด ข้าจะไม่เอาความกับท่าน และข้าขอแนะนำท่านว่าอย่าได้ริอาจเข้ามาข้องเกี่ยว ไม่เช่นนั้น แม้ท่านจะเป็นหนึ่งในบรรดาจวิ้นอ๋องที่สง่าผ่าเผย เกรงว่าท่านคงจะไม่แคล้วเจอเรื่องหายนะ!”
สิ้นคำพูดที่ทรงพลังนั่น ไอเยือกเย็นกระจายไปทั่ว
พลันบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที
“เรื่องระหว่างตระกูลซูของพวกเจ้า?”
เชินจิ่วซงยิ้มเยาะ “เจ้าแซ่ซูรึ? ก็แค่ที่ปรึกษาข้างกายซูหงหลี่ก็เท่านั้น ข้าจะพูดไว้ตรงนี้ หากเจ้าริอาจดูหมิ่นคุณชายซูอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!”
นัยน์ตาเหล่ยเจิ้งเปล่งประกายไอเหน็บหนาวออกมา จ้องมองไปที่เชินจิ่วซงอย่างเยือกเย็น
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศแปลกไป เซวียนโหยวหลงก็กระแอม และเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทั้งสองท่านคือจวิ้นอ๋องเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกันด้วยเรื่องเล็กน้อย ถอยกันคนละก้าวดีหรือไม่?”
ทันใดนั้นหนิงซือฮวาที่เงียบมาโดยตลอดก็เอ่ยขึ้นทันที “เรื่องเช่นนี้ มิอาจถอยได้”
นัยน์ตาของเซวียนโหยวหลงก็แข็งทื่อทันที “เจ้าตำหนักหนิงหมายความว่าอย่างไร?”
หนิงซือฮวาเอ่ยด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย “ความหมายของข้านั้นง่ายมาก ในยามนี้สหายเต๋าซูคือสหายร่วมทางของพวกข้า ผู้ใดเอ่ยให้ร้ายเขา ผู้นั้นก็คือศัตรูของพวกข้า”
คำพูดนี้ ทำให้เซวียนโหยวหลงนิ่งอึ้งเป็นอย่างมาก
คนอย่างหนิงซือฮวา มองซูอี้ชายหนุ่มเช่นนี้เป็นสหายเต๋า?
อีกทั้ง ยังไม่ลังเลที่จะเอ่ยปกป้องศักดิ์ศรีของเขาด้วยตัวเอง?
เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเกินความคาดหมายที่เซวียนโหยวหลงคาดเดาไว้ และทำให้ส่วนลึกเขารับรู้ได้ว่า ซูอี้ที่ถูกเหล่ยเจิ้งเปรียบเทียบว่าเป็น ‘ลูกชายที่จองหอง’ ของซูหงหลี่นั้น อาจจะไม่ธรรมดาอย่างที่คิด!
ไม่อย่างนั้น จะได้รับการปกป้องจากหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงได้อย่างไร?
ในยามนี้ เหล่ยเจิ้งขมวดคิ้วแน่น สายตาจ้องไปที่หนิงซือฮวา “เจ้าตำหนักหนิง นายท่านข้านับถือท่านในฐานะผู้ฝึกบำเพ็ญ หรือว่าท่านเลือกที่จะเป็นศัตรูกับตระกูลซูของพวกเรา?”
หนิงซือฮวาชำเลืองมองเขา และเอ่ยอย่างไม่แยแส “เจ้าแน่ใจว่าเจ้าสามารถเป็นตัวแทนคนทั้งตระกูลซูได้?”
เหล่ยเจิ้งเงียบไปครู่หนึ่ง ไม่นานถึงได้ส่ายหน้าขึ้นมา “ไม่ได้หรอก แต่…”
จู่ ๆ นัยน์ตาเขาก็เปลี่ยนเป็นเฉียบแหลมและเด็ดเดี่ยวทันที พลางเอ่ยอย่างเย็นชา “สามวันก่อน ข้ารู้ท่าทีที่เด่นชัดของนายท่านข้า หากซูอี้ไม่ก้มหน้ายอมรับผิดและแก้ไข ข้าจะไม่เฝ้าดูอย่างนิ่งดูดายแน่!”
คำพูดนั้นดังกังวาน และทรงพลัง
ในตอนนั้นเอง มีน้ำเสียงเฉยเมยดังออกมาจากบนยอดเขา “จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซานไม่ได้บอกกับเจ้ารึ ว่าข้าฝากเขานำคำพูดข้าไปบอกกับซูหงหลี่?”
ทันใดนั้นซูอี้ที่นั่งทำสมาธิอยู่ ก็ลืมตาขึ้นมาเมื่อใดก็มิอาจรู้ได้ ก้มลงมองไปที่เหล่ยเจิ้ง
แน่นอนว่า บทสนทนาเมื่อครู่ เขาได้ยินหมดแล้ว
ใบหน้าเหล่ยเจิ้งเผยไอเยือกเย็นออกมา “เจ้าหมายถึง เรื่องที่เจ้าจะไปปัดกวาดหลุมศพให้กับแม่เจ้าในวันที่ห้าเดือนห้านะรึ?”
ซูอี้ปัดฝุ่นที่อยู่บนเสื้อผ้า จากนั้นลุกขึ้น เอามือไพล่หลัง “ผิดแล้ว ที่ข้าพูดก็คือ เรื่องที่ข้าจะไปเอาของเซ่นไหว้ที่ตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงก่อนวันที่ห้าเดือนห้า”
นัยน์ตาที่กลุ่มลึกของเขา มองไปทางเหล่ยเจิ้งที่อยู่ไกล ๆ และเอ่ยคำพูดที่สบาย ๆ “หากเจ้าอยากตาย ข้าจะไม่ถือสาเก็บหัวเจ้าในตอนนี้ นำไปแก้ขัดเป็นเครื่องเซ่นไหว้ได้”
ปรมาจารย์ผู้สูงส่ง มีอำนาจควบคุมตำหนักหลูหยางอย่างหวังฉุนตู้ อดไม่ได้ที่จะสูดไอเย็นเข้าไป ชายหนุ่มผู้นี้… ช่างโอ้อวดเสียจริง!
ทว่าเห็นนัยน์ตาเหล่ยเจิ้งประหนึ่งสายฟ้า ก็เอ่ยอย่างเย็นชา “จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซานบอกว่า เจ้าเคยเข้าร่วมต่อสู้ในงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิมในแคว้นกุ่น และดูเหมือนเจ้าจะมีการบำเพ็ญแค่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ ทว่ามีความสามารถใช้ดาบสังหารปรมาจารย์ได้ ช่างมิอาจดูแคลนได้จริง ๆ”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาก็ส่ายหน้า “แต่… ข้าไม่เชื่อ!”
หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงเหลือบมองหน้ากัน พลันมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
เป็นอย่างที่คิดไว้ จวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยางผู้นี้ยังไม่รู้รายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิมจริง ๆ!
ไม่เช่นนั้น หากเขารู้ว่าฉินฉางซานปรมาจารย์ขั้นห้าตายด้วยน้ำมือซูอี้ เกรงว่าเขาคงมิกล้าเอ่ยเช่นนี้
“เจ้าไม่เชื่อ?”
ซูอี้ยิ้มขึ้นมา ชั่วพริบตาหนึ่งร่างเขาก็ลอยลงมาจากบนยอดเขา เหยียบอยู่บนซากศพของเหยี่ยวโลหิตหน้าผีที่กองกันอยู่และก้าวเดินเข้ามาทางด้านนี้
“เช่นนั้นอยากจะลองดูหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม
หวังฉุนตู้ขมวดคิ้ว รู้สึกถึงความผิดปกติที่ไหนสักอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหนิงซือฮวากับเชินจิ่วซง
ไม่นาน เขาก็ตกใจ และในที่สุดเขาก็รู้ว่าตรงไหนที่ไม่ปกติ
เมื่อมองซูอี้กับจวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยางเหล่ยเจิ้ง ที่ตาต่อตาฟันต่อฟันกันอยู่ ทว่าไม่ว่าจะเป็นหนิงซือฮวาหรือว่าเชินจิ่วซง กลับนิ่งเฉย ทั่วร่างไม่มีความกังวลและความตึงเครียดเผยออกมาเลยสักนิด!
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ หวังฉุนตู้ก็เอ่ยเตือนสติเสียงต่ำ “จวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยาง อย่าลืมจุดประสงค์ที่พวกเรามาหุบเขามารบุปผาโลหิตในครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ตรงนี้ยังมีเจ้าตำหนักหนิงและจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงอยู่ หากทำเรื่องให้มันใหญ่ขึ้น ก็คงจะเก็บกวาดไม่ได้ง่าย ๆ แล้ว”
เหล่ยเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย กวาดสายตามองไปที่หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซง จากนั้นก็หันกลับไปมองซูอี้อีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นขึ้นมา
“หากคนอื่น ๆ ไม่เข้ามาขวาง ข้าก็อยากจะลองดู!”
คำพูดแต่ละคำเหมือนกับคมมีด นัยน์ตาของเหล่ยเจิ้งเผยความเยือกเย็นและเคร่งขรึมออกมามากขึ้น
ในตอนที่เขายังเด็ก เขาติดตามซูหงหลี่ไปทำเรื่องต่าง ๆ และเคารพศรัทธาต่อซูหงหลี่เป็นอย่างมาก
จนถึงตอนนี้ แม้จะเป็นจวิ้นอ๋องที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วใต้หล้า เขาก็ยังเชื่อฟังซูหงหลี่เพียงผู้เดียว
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเกลียดชังซูอี้ที่ถูกซูหงหลี่มองว่าเป็นคุณชายสามที่มีพฤติกรรมไม่ดีงาม
…ในเมื่อเจอที่นี่แล้ว หากมีโอกาส เหล่ยเจิ้งก็ไม่ลังเลที่จะลงมือ สั่งสอนซูอี้นั่นว่าการรู้จักกาลเทศะควรทำอย่างไร!
[1] เทพเจ้ามังกรเห็นหัวมิเห็นหาง เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงคนที่ทำตัวลึกลับ ไม่ชอบเปิดเผย