บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 233 หนึ่งหมัดและหนึ่งดาบ
ตอนที่ 233: หนึ่งหมัดและหนึ่งดาบ
หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงเข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของเหล่ยเจิ้ง
เหล่ยเจิ้งหวาดกลัวว่าพวกเขาสองคนจะเข้าไปแทรก ทว่าก็ไม่ปล่อยวางความคิดที่จะลงมือกับซูอี้!
นี่ทำให้แววตาของทั้งสองเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกขึ้น
คนผู้นี้… ช่างรนหาที่ตายเสียจริง…
ซูอี้ยิ้มออกมา “ข้ารับรองว่าพวกเขาจะไม่เข้ามาแทรกแน่นอน”
ดูเหมือนเหล่ยเจิ้งจะไม่เชื่อ จึงหันไปมองหนิงซือฮวากับเชินจิ่วซง “พวกท่านทั้งสองว่าอย่างไร?”
หนิงซือฮวาเอ่ยด้วยแววตาสงสาร “จากวันนี้เป็นต้นไป จวิ้นอ๋องต่างสกุลสิบแปดคนแห่งอาณาจักรต้าโจว เกรงว่าคงจะเหลือสิบเจ็ดคนแล้วล่ะ”
เชินจิ่วซงยิ้มออกมาโดยไม่เต็มใจ “ในเมื่อเจ้าอยากตาย เหตุใดจะต้องห้าม? เชิญ”
“ช้าก่อน!”
หวังฉุนตู้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทำการห้ามไว้ทันที และเขายิ่งรู้สึกแปลกมากขึ้นเรื่อย ๆ “จวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยาง ฟังคำแนะนำข้า เรื่องนี้ให้มันจบแต่เพียงเท่านี้ ไม่เช่นนั้น…”
เหล่ยเจิ้งเอ่ยขัดด้วยสีหน้าเย็นชา “หากสามารถสั่งสอนเขาที่…. แทนนายท่านในตอนนี้ได้ ข้าจะปล่อยไปได้อย่างไร พี่หวังมิต้องชี้แนะข้าอีก!”
หวังฉุนตู้เงียบงันพูดไม่ออกทันที
ทว่าต่อมา ภาพที่เกิดขึ้นก็ยิ่งทำให้เขาตะลึง
จู่ ๆ เซวียนโหยวหลงที่เงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นทันที “ก่อนที่จะต่อสู้กัน ข้าต้องการยืนยันเรื่องบางอย่างกับคุณชายซูผู้นี้”
สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่เขา
“เรื่องอันใด?” ซูอี้ถาม
“ผู้ว่าการเขตปกครองอวิ๋นเหอ ฉินเหวินเยวียน ถูกท่านสังหารหรือไม่?”
นัยน์ตาที่ราวกับกักเก็บเส้นสายอัสนีเอาไว้ของเซวียนโหยวหลง จ้องเขม็งไปที่ซูอี้
ฉินเหวินเยวียน!
พลันสีหน้าของหวังฉุนตู้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เป็นถึงเจ้าตำนักหลูหยาง เขาต้องรู้อยู่แล้ว ในตอนที่ฉินเหวินเยวียนยังหนุ่มเคยฝึกบำเพ็ญที่ตำหนักหลูหยางหลายปี และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเซวียนโหยวหลง ประหนึ่งเป็นพี่น้องกันก็ไม่ปาน
ก่อนหน้านี้ หลังจากเซวียนโหยวหลงรู้ข่าวการตายของฉินเหวินเยวียน ถึงกับสูญเสียการควบคุม ระเบิดความโกรธอย่างบ้าคลั่ง และสาบานว่าจะแก้แค้นแทนฉินเหวินเยวียน
เรื่องเหล่านี้ หวังฉุนตู้ก็รู้ดี
แต่เขากลับไม่นึกเลยว่า มือสังหารที่ฆ่าฉินเหวินเยวียน อาจจะเป็นซูอี้!
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้าอย่างไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด และเขาเอ่ยด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ทำไม เจ้าวางแผนจะแก้แค้นแทนเขารึ?”
“ใช่!”
พลันนัยน์ตาเซวียนโหยวหลงเปลี่ยนเป็นน่ากลัวขึ้นมาทันที พลังทั่วร่างประหนึ่งพายุคลื่นทะเลก็พรั่งพรูออกมา
ชายวัยกลางคนที่ร่างผอมแห้ง ไหล่กว้างเอวแคบนี้ ก่อนหน้านี้ไม่อยู่ในสายตามากนัก
ทว่ายามนี้ กลับเป็นเหมือนภูเขาไฟเงียบสงบลูกหนึ่งที่กำลังจะระเบิดออกมาทันที นัยน์ตาราวกับสายฟ้าฟาด อานุภาพช่างน่าหวาดกลัวมาก
สิ่งนี้ทำให้หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงรู้สึกแปลกใจ ต่างก็ไม่นึกเลยว่า รองเจ้าตำหนักหลูหยางอย่างเซวียนโหยวหลงจะมองซูอี้เป็นศัตรูด้วย
“เจ้าทำเรื่องให้มันวุ่นวาย!”
สีหน้าหวังฉุนตู้ขรึมขึ้น “เซวียนโหยวหลง เจ้าเป็นถึงรองเจ้าตำหนักหลูหยางที่สง่าผ่าเผย เหตุใดยามนี้ถึงได้ใช้อารมณ์เช่นนี้?”
“หากศัตรูที่ฆ่าศิษย์น้องฉินอยู่ตรงหน้า ข้าจะเมินเฉยได้อย่างไร?”
เซวียนโหยวหลงสูดหายใจเข้าลึก แววตาแน่วแน่ “พี่หวัง นี่คือเรื่องความแค้นระหว่างข้ากับเขา และมันจะไม่ไปพัวพันกับตำหนักหลูหยางแน่”
“เจ้า…”
ไม่ว่าหวังฉุนตู้จะเป็นคนเช่นไร ทว่ายามนี้ใบหน้าชราภาพนั้นกลับดำคร่ำเครียดด้วยแรงโทสะเกรี้ยวกราด
แค่เหล่ยเจิ้งเพียงผู้เดียว ก็ทำให้เขาปวดหัวแล้ว และยามนี้ก็ดีขึ้นแล้ว แต่เซวียนโหยวหลงกลับลุกขึ้นมายืนกรานที่จะไม่ปล่อยซูอี้ไปอีก
มันทำให้เขาทั้งกังวลทั้งโมโห และมิรู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะดี
“สหายเต๋าหวัง ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปห้ามปรามอีก”
หนิงซือฮวาเอ่ยเสียงเบา
หวังฉุนตู้ถอนหายใจยาวออกมา จู่ ๆ เขาก็เอ่ยกลับทันที “เจ้าตำหนักหนิง เจ้าไม่กังวลแทนซูอี้สหายเจ้ารึ?”
หนิงซือฮวาฉีกยิ้มมุมปากขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าเพียงแค่รับปากว่าจะไม่เข้าไปแทรก”
พลันสีหน้าหวังฉุนตู้เผยความลังเลออกมาครู่หนึ่ง
ในใจเขายิ่งรู้สึกแปลกขึ้นไปอีก
แต่ไม่รอให้เขาได้เอ่ยสิ่งใดอีก
ชิ้ง! ชิ้ง!
ดาบคู่ที่อยู่ด้านหลังถูกเซวียนโหยวหลงดึงขึ้นมาไว้ในมือ “ซูอี้ กล้าต่อสู้กับข้าสักรอบหนึ่งหรือไม่?”
น้ำเสียงที่เยือกเย็น จิตสังหารที่ทำให้คนกลัว
ในตอนนี้เอง เหล่ยเจิ้งกลับไม่สบายใจเล็กน้อย “พี่เสวีย ซูอี้คือทายาทของนายท่านข้า หากจะต้องจัดการ ก็มิอาจให้เจ้าทำได้! อีกอย่าง ซูอี้จะเป็นหรือตาย มีเพียงแค่นายท่านข้าผู้เดียวเท่านั้นที่ตัดสินใจได้!”
พลันสีหน้าเซวียนโหยวหลงก็ครึ้มลง “หากข้าไม่ยินยอมล่ะ?”
เหล่ยเจิ้งเอ่ยอย่างเย็นชา “พี่เสวีย ข้าไม่หวังให้เจ้ากลายเป็นศัตรูกับข้าเพราะซูอี้”
น้ำเสียงที่แข็งกร้าว ไม่มีอ่อนข้อให้เลยสักนิด
ภาพเหตุการณ์นี้ ทำให้หนิงซือฮวา เชินจิ่วซงที่มองอยู่ต่างก็รู้สึกทั้งงงงันทั้งขบขัน
เพราะเรื่องการลงมือทำให้คนทั้งสองทะเลาะกันขึ้นมา หรือว่าในสายตาของพวกเขาซูอี้เป็นเพียงลูกแกะน้อยที่สามารถกดขี่อย่างไรก็ได้รึ?
ซูอี้รู้สึกขบขันอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยแสดงความเห็น “มิสู้พวกเจ้าทั้งสองเข้ามาด้วยกันสิ จะได้ส่งพวกเจ้าออกเดินทางไปด้วยกัน และบนเส้นทางสู่อีกโลกหนึ่ง ก็ย่อมยังเป็นพี่น้องที่ตกทุกข์ได้ยากร่วมกันได้”
“ช่างรนหาที่ตายนัก!”
เซวียนโหยวหลงตะโกนออกมา พลันกวัดแกว่งดาบคู่ที่อยู่ในมือ และกระโจนเข้าไปสังหาร
ตูม!
พลังที่ออกมาของเขาราวกับสายรุ้ง ธาตุวิถีทั่วร่างของปรมาจารย์ขั้นสี่เผยออกมา ทำให้ทรายและหินที่อยู่ใกล้ ๆ ปลิวว่อน อากาศปั่นป่วนระเบิดดังไปทั่ว
พลันดาบคู่ที่อยู่ในมือเขา ก็ม้วนเอาเงาแสงที่ละลานตาขึ้นมา กวัดแกว่งไปทางซูอี้อย่างทรงพลัง รวดเร็วและรุนแรง
คล้ายกับพลังสามารถตัดภูเขาแยกออกจากกันได้!
“เซวียนโหยวหลง เจ้าออกไปให้พ้น!”
เหล่ยเจิ้งที่เห็นเช่นนี้ ก็ไม่ลังเลที่จะสะบัดหอกยาวที่อยู่ในมือ แทงเข้าไปในอากาศ คล้ายกับขัดขวางเซวียนโหยวหลงไว้
ทว่าในตอนนั้นเอง ซูอี้เพียงแค่ดีดนิ้วเดียว
เคร้ง!
หอกยาวที่เหล่ยเจิ้งแทงออกไปสั่นขึ้นมาทันที และถูกแรงนิ้วที่รุนแรงดุดันเบี่ยงเบนไปอีกทาง
เกือบจะในขณะเดียวกัน แขนเสื้อของซูอี้ก็ปลุกปั่นสั่นไหวขึ้น และสะบัดไปในอากาศ
ตูม! ตูม!
มีเสียงสองเสียงดังขึ้นในตอนที่สะบัดเบา ๆ เท่านั้น ดาบคู่ที่เซวียนโหยวหลงกวัดแกว่งออกมากลับถูกกระแทกจนเกือบจะหลุดมือไป พลันการโจมตีก็สลายหายไป
หนึ่งนิ้ว หนึ่งการสะบัด เกิดขึ้นเร็วมาก
และการโจมตีของเซวียนโหยวหลงกับเหล่ยเจิ้ง ก็สลายไปราวกับถูกทำลายย่อยยับอย่างง่ายดาย!
ทั่วทั้งสนามเงียบสงัด
รูม่านตาของหวังฉุนตู้หดเล็กราวกับเข็ม ภายในใจสั่นไหว ในที่สุดก็เข้าใจเหตุใดหนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงถึงได้ใจเย็นเช่นนั้น
เพียงแค่การโจมตีสองครั้งที่ใช้ออกอย่างง่ายดายของซูอี้เมื่อครู่ ก็ทำให้ปรมาจารย์อย่างหวังฉุนตู้สัมผัสได้ว่า ซูอี้ชายหนุ่มที่มีวิถียุทธ์แค่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ ที่จริงแล้วเป็นบุคคลที่น่าหวาดกลัวยิ่ง!
ลองคิดดู มีแค่ขอบเขตรวบรวมลมปราณเท่านั้น ทว่าทลายการโจมตีของปรมาจารย์ขั้นสี่สองคนได้อย่างง่ายดาย นี่ยังไม่เรียกว่าน่าหวาดกลัวอีกรึ?
ในขณะเดียวกัน เซวียนโหยวหลงกับเหล่ยเจิ้งสีหน้าเปลี่ยนไป สายตาจ้องมองไปที่ซูอี้ ใบหน้าเผยความเคร่งขรึมและประหลาดใจออกมา
ระหว่างวิถียุทธ์ขอบเขตไร้แพร่งพรายกับวิธียุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณ มีความต่างไม่เพียงแค่หนึ่งแต่เป็นสองขอบเขต!
ทว่าเมื่อครู่ เพียงพลังที่ซูอี้ปล่อยออกมาโดยไม่ใส่ใจนั้น กลับทำให้กระบวนท่าที่ใช้ออกสลายหายไป! นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไป!!
“ข้าบอกให้พวกเจ้าโจมตีเข้ามาพร้อมกัน เหตุใดถึงทำร้ายกันเองล่ะ? คิดว่าข้าซูผู้นี้เป็นผักปลาที่อยู่บนเขียงให้กดขี่จริง ๆ รึ?”
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่แยแส “ยามนี้ จะดีที่สุดหากพวกเจ้าใช้กำลังทั้งหมด ไม่เช่นนั้น ข้ารับรองได้เลยว่าพวกเจ้าต้องตายอย่างรวดเร็วแน่”
คำพูดที่ดูเหมือนธรรมดา ทว่าเต็มไปด้วยความโอหัง ประหนึ่งคู่ต่อสู้ทั้งสองไม่ได้อยู่ในสายตา
หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงสีหน้าเหมือนปกติ และไม่ประหลาดใจ
ทว่าหวังฉุนตู้กลับตากระตุกไม่หยุด เจ้าหนุ่มนี่… ไม่มีความถ่อมตัวเลยจริง ๆ…
“ได้ตามที่เจ้าต้องการ!”
เมื่อสูดหายใจเข้าลึก พลังของเซวียนโหยวหลงก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ร่างผอมแห้งเปล่งแสงสีแดง คราม ทอง และดำ อันเป็นซึ่งลำแสงทั้งสี่แห่งสภาวะพลังสุดขั้ว
นี่คือการแสดงอานุภาพของปรมาจารย์ ยามที่หลอมกลั่นอวัยวะภายในทั่วร่างกาย ก่อนเบิกใช้มวลพลังทั้งหมดนั้น สภาวะพลังสุดขั้วในร่างก็ยิ่งพรั่งพรูกลิ่นอายพิเศษสี่ชนิดออกมา
และเมื่อบรรลุไปถึงปรมาจารย์ขั้นห้า อวัยวะทั้งห้าดุจเตาหลอมจะผสานเป็นหนึ่งเดียวเฉกเช่นธาตุทั้งห้าที่รวมกันเป็นหนึ่ง และสภาวะพลังสุดขั้วพิเศษทั่วร่างก็จะประสานหลอมรวมเข้าด้วยกัน ถึงวาระนั้น มันจะเป็นขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์
เหมือนกับฉินฉางซานที่ตายด้วยน้ำมือของซูอี้ในตอนนั้น ก็เป็นปรมาจารย์ขั้นห้ายอดฝีมือแบบนี้เช่นกัน
“สังหาร!”
สิ้นเสียงแผดตะโกน เซวียนโหยวหลงย่ำฝ่าเท้าลงพื้น ก่อนทะยานร่างขึ้นฟากฟ้า สองมือกวัดแกว่งดาบ สะบั้นคมจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง
ตูม!
ม่านนภาดุจผืนภาพวาดนั้น ถูกฟาดฟันฉีกเป็นสองส่วน ปราณดาบโหมกระพือ ประหนึ่งสายฟ้าฟาดจากอากาศสู่เบื้องล่าง
สะบั้นแหวกขุนเขา!
นี่คือพลังสูงสุดในวิถียุทธ์ของเซวียนโหยวหลง ภายใต้การโจมตีนี้ สามารถเปิดภูผาทลายขุนเขาได้!
และเกือบจะในเวลาเดียวกัน
เหล่ยเจิ้งก็เคลื่อนไหว หอกยาวในมือสั่นอยู่ครู่หนึ่ง พลันระเบิดแตกเป็นส่วนแหลมคมสีเลือดนับหมื่นเล่มออกมา เงาปลายแหลม ปกคลุมไปทั่วฟ้า ราวกับพายุฝนสีเลือดสาดเทลงมา ทำให้เกิดเสียงระเบิดสะท้านไปทั่วหล้า
หอกโลหิตพิรุณสังหารมาร!
เป็นวิชาระดับสูงที่หายสาบสูญ
การถ่ายทอดที่รับมาจากซูหงหลี่ผู้นำตระกูลซู เป็นเคล็ดวิชาสังหารในสนามรบอย่างแท้จริง เมื่อฝึกมาถึงระดับสูงสุดแล้ว เพลงหอกที่แทงออกไป จะทรงพลังองอาจห้าวหาญยิ่ง!
และตอนนี้ เมื่อเหล่ยเจิ้งใช้พลังการบำเพ็ญปรมาจารย์ขั้นสี่ทั้งหมดเปิดวิชาที่หายสาบสูญ ทันใดนั้นพายุโลหิตพลันบังเกิด เสียงร่ำไห้ของวิญญาณดังกึกก้อง พร้อมอานุภาพแกร่งกล้าไร้เทียบเทียม
ไม่ต้องสงสัยเลย เวลานี้ไม่ว่าเซวียนโหยวหลง หรือเหล่ยเจิ้ง ล้วนแล้วแต่มิอาจสะกดจิตสังหารไว้ได้แม้แต่น้อย ต่างทำการจู่โจมเต็มกำลัง!
ภาพนี้ ทำให้เชินจิ่วซงที่มองดูอยู่หวาดกลัวไปครู่หนึ่ง และสูดอากาศเย็นเข้าไป ได้แต่เอ่ยถามกับตัวเอง หากเปลี่ยนเป็นเขาล่ะก็ คงมิกล้าไปตอบโต้โดยตรง ทำได้เพียงแค่หลบแสงแหลมคมเท่านั้น
หวังฉุนตู้จ้องไปที่ซูอี้ อยากจะดูว่าชายหนุ่มที่มีขอบเขตรวบรวมลมปราณอย่างซูอี้ จะคลี่คลายการโจมตีสุดกำลังของปรมาจารย์ทั้งสองคนอย่างไร
ซูอี้ส่ายหน้าเล็กน้อย มีความผิดหวังฉายอยู่บนใบหน้า
หากเทียบกับฉินฉางซานแล้ว ถึงอย่างไรคู่ต่อสู้ทั้งสองก็ยังเทียบเขาไม่ติด
ชายหนุ่มคร้านที่จะปัดป้องอะไรอีก จึงตั้งใจจบการต่อสู้ให้เร็ว
ตูม!
เมื่อศัตรูกวัดแกว่งศาสตราวุธจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง ซูอี้ก็เคลื่อนตัวทันที พลางกำหมัดที่มือขวา ชกเข้าไปในอากาศทันที
ภายใต้การลงมือครานี้ พลังทั่วร่างพลันรวมกันอยู่ในหมัดอย่างสมบรูณ์
ตูม! ตูม!
หมัดแข็งแกร่งที่ใสพร่างพราว แฝงไปด้วยท่วงทีลึกลับมิอาจคาดเดา ราวกับภูผาใหญ่ที่มิอาจทลายได้ ชกปะทะกับคมดาบทั้งสองจนเกิดเสียงสั่นสะเทือนขึ้นมา และกระเด็นลอยออกจากมือ
จากนั้น แรงต่อยนี้ยังคงไม่ลดลง พุ่งเข้าไปชกบนร่างของเซวียนโหยวหลง
ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ขั้นสี่ผู้นี้ ถูกโจมตีด้วยหมัดกระเด็นออกไป เหมือนกับตัดเส้นว่าวก็ไม่ปาน กลิ้งออกไปข้างนอกราว ๆ สิบกว่าจั้ง
หน้าอกของเขายุบลงด้วยรอยหมัด พลันกระอักเลือดออกมา อวัยวะภายในร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส
อานุภาพของหมัดหนึ่ง น่ากลัวอะไรเช่นนี้!
ทว่ายังไม่จบ
เพราะในขณะที่ปล่อยหมัดออกไป
หอกยาวของเหล่ยเจิ้งดุจแสงแหลมคมราวกับพายุฝนสีเลือด ก็ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า และน่าสะพรึงกลัวมาก
พลันซูอี้ก็ใช้สองนิ้วมือซ้ายดั่งดาบ วาดลงไปในอากาศทันที
ปราณดาบแนวยาวสิบจั้งกวาดทั่วท้องฟ้า งอครึ้มน่าเกรงขามดุจมังกร แฝงไว้ด้วยท่วงทีที่ลึกลับและลวงตา ลอยอย่างเบาบางแล้วตัดลงไป
พลันเงาหอกสีเลือดที่เต็มท้องฟ้าก็ระเบิดออก ราวกับเป็นฟองลวงตาก็ไม่ปาน
เคร้ง!!!
เมื่อดาบนี้ฟันหอกยาวของเหล่ยเจิ้ง ก็เห็นจิตวิญญาณของหอกยาวถูกโจมตีราวกับถูกทลายจนสูญสิ้น กลายเป็นรูปงอโค้งขนาดใหญ่ทันที
จากนั้นก็มีเสียงแตกหักขาดออกจากกัน
เมื่อถูกจู่โจมด้วยด้วยแรงกระแทกที่รุนแรงและรวดเร็ว แม้เหล่ยเจิ้งเลือกหลบทันที ก็ยังถูกปราณดาบนั้นตัดแขนไป และแขนที่ถูกตัดก็เป็นแขนขวาที่ถือหอกยาวไว้เสียด้วย
พลันเลือดแดงฉานก็สาดกระเส็นออกมาราวกับน้ำตก!