บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 234 หาได้ยาก
ตอนที่ 234: หาได้ยาก
แขนข้างขวาเหล่ยเจิ้งถูกตัด ร่างที่หลบหนีด้วยความหวาดกลัวกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนพื้น ปากก็ส่งเสียงความเจ็บปวดออกมา
หวังฉุนตู้ตกใจเบิกตากว้าง สงบนิ่งอยู่ตรงนั้น
เพียงหมัดหนึ่ง…
ทลายเคล็ดวิชาดาบคู่สังหารของเซวียนโหยวหลง ด้วยเหตุนี้เซวียนโหยวหลงจึงบาดเจ็บหนัก กระอักเลือดไม่หยุด!
เพียงหนึ่งดาบ…
ทลายหอกโลหิตพิรุณสังหารมารของเหล่ยเจิ้ง ทำให้แขนขวาเขาขาด!
รุนแรงมาก!
รุนแรงมากจริง ๆ!
ใครจะคิดล่ะว่า ชายหนุ่มวิธียุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณผู้หนึ่ง จะมีพลังที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้?
บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อย่างหวังฉุนตู้ที่ได้เห็นได้รู้มาทั่ว กลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ และตกตะลึง
ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นเซวียนโหยวหลง หรือเหล่ยเจิ้ง ก็เป็นปรมาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ภายในอาณาเขตต้าโจว
คนแรกมีวิชาดาบที่เหนือกว่าใคร มีตำแหน่งเป็นรองเจ้าตำหนักหลูหยาง
อีกคนหนึ่งก็ถีบตัวเองไปเป็นหนึ่งในสิบแปดจวิ้นอ๋องต่างสกุลแห่งต้าโจว ความสำเร็จนั้นสั่นสะเทือนไปทั่วหล้า
อย่าว่าแต่นักรบธรรมดาเลย แม้แต่ปรมาจารย์มากมายบนโลกใบนี้ ก็มิอาจเป็นคู่ต่อสู้ของทั้งสองคนนี้ได้
ทว่ายามนี้ ในระหว่างกระบวนท่าเดียวกัน กลับถูกซูอี้ที่มีการบำเพ็ญเพียงแค่ขอบเขตรวบรวมลมปราณบดขยี้จนพ่ายแพ้!
นี่มันน่าตกใจเกินไปแล้ว
หากไม่มั่นใจว่าการบำเพ็ญของซูอี้คือขอบเขตรวบรวมลมปราณ หวังฉุนตู้คงสงสัยว่าเจ้าหนุ่มนี่เป็นปีศาจเฒ่าที่มีเคล็ดวิชาคงความอ่อนเยาว์แน่
ในทางตรงกันข้าม หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงค่อนข้างสงบนิ่ง
เมื่อครู่ ที่พวกเขาเห็นภาพซูอี้สังหารกองทัพเหยี่ยวโลหิตหน้าผีขนาดใหญ่กับตาตัวเอง
เมื่อนำมาเทียบกันแล้ว นี่เป็นเพียงแค่ทำให้เซวียนโหยวหลงและเหล่ยเจิ้งได้รับบาดเจ็บเท่านั้น สิ่งนี้อยู่ในการคาดเดาของทั้งสองมานานแล้ว จึงเป็นปกติที่จะไม่ตกใจมากเกินไป
“แค่นี้รึ? แล้วยังคิดจะสั่งสอนข้าซูผู้นี้อีก?”
ซูอี้ส่ายหน้าครู่หนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง พลันความสนุกก็ถดถอยไป
เมื่อเขามีวิถียุทธ์ขอบเขตรวบรวมลมปราณขั้นสอง เขาสามารถเทียบได้กับปรมาจารย์ขั้นห้าที่ใช้พลังทั้งหมดในการต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับเก้าได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้ล่ะ?
มีเพียงแค่ปรมาจารย์ขั้นห้าอย่างฉินฉางซานเท่านั้น จึงพอที่จะอยู่ในสายตาของซูอี้ได้
ส่วนเซวียนโหยวหลงกับเหล่ยเจิ้ง ยังห่างชั้นไปไกลมาก
“เจ้า… เหตุใดเจ้าถึงแข็งแกร่งเช่นนี้?”
ดวงตาของเหล่ยเจิ้งจ้องเขม็งไปที่ซูอี้ ประหนึ่งเห็นปีศาจที่มิอาจคาดเดาได้ พลันใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา
เขามาจากตระกูลซู ตอนเด็กเขาก็เริ่มติดตามซูหงหลี่ไปทำเรื่องต่าง ๆ รู้ดีว่าคุณชายสามผู้นี้ต่ำต้อยทั้งตำแหน่งสถานะ และการบำเพ็ญก็แย่เหลือทน
แต่เขาไม่นึกเลยว่า ซูอี้ที่สูญเสียการบำเพ็ญประหนึ่งกลายเป็นสวะในยามนั้น ห่างไปเพียงปีเดียว คาดไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนไปอย่างน่าสะพรึงกลัวได้ขนาดนี้!
และที่มิอาจจินตนาการได้นั้นคือ ซูอี้ยังมีการบำเพ็ญเพียงแค่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ…
“เจ้านี่มันสุดจะทนเกินไปแล้ว”
ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “เขตแดนปรมาจารย์ เรียกว่าเตาหลอมแห่งการบ่มเพาะ เตาบ่มเพาะหมายถึงสิ่งใด? หมายถึงเตาบ่มเพาะอวัยวะทั้งห้า หลอมรวมพลังงานลมปราณวิญญาณกลายเป็นจิตวิญญาณของมนุษย์ ทว่าวิธีที่เจ้าฝึกบำเพ็ญนั้น กลับไล่ตามจิตสังหารที่รุนแรงเพียงอย่างเดียว ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นการวางลำดับสำคัญผิด ”
“ก็ไม่แปลกใจจนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังมิอาจบรรลุปรมาจารย์ขั้นห้าได้ เพราะอวัยวะภายในของเจ้าค่อย ๆ ถูกพลังสังหารกลืนกิน จะบ่มเพาะสติปัญญาที่แท้จริงได้อย่างไรกัน?”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ซูอี้จึงถามกลับ “ซูหงหลี่แต่งตั้งตนเป็นผู้บำเพ็ญ ในตอนที่ถ่ายทอดวิถีฝึกบำเพ็ญให้เจ้าในตอนนั้น ไม่ได้เอ่ยเรื่องเหล่านี้กับเจ้าเลยรึ?”
พลันใบหน้าเหล่ยเจิ้งเปลี่ยนไปถึงขีดสุด ประหนึ่งความลับภายในและนอกร่างถูกซูอี้ล่วงรู้ทั้งหมด และมีความรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่ต้องปิดบังอีก
“นายท่านเคยบอกว่า การฝึกบำเพ็ญหอกโลหิตพิรุณสังหารมาร ฝึกบำเพ็ญได้มากที่สุดแค่ปรมาจารย์ขั้นสี่ หากอยากจะบรรลุ คงยากที่จะทำได้…”
ไม่นาน เหล่ยเจิ้งจึงส่งเสียงขมขื่นออกมา และสูญเสียจิตวิญญาณไป
เมื่อทุกคนได้ยิน ก็อดสูดอากาศเย็นเข้าไปไม่ได้
พวกเขาตระหนักได้ว่า ซูอี้มองทะลุข้อบกพร่องร้ายแรงบนการฝึกของจวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยางออก!
“ยากที่จะทำได้?”
ซูอี้ยิ้มเยาะพลางส่ายหน้า “เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าให้เจ้าเลือก เพียงแค่เจ้ารับปากจากวันนี้เป็นต้นไปจะถวายชีวิตให้แก่ข้า ข้าไม่เพียงไว้ชีวิตเจ้า แต่ข้ารับปากว่าจะทำให้เจ้าบรรลุปรมาจารย์ขั้นห้าด้วย ว่าอย่างไร?”
เหล่ยเจิ้งนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มเย็นขึ้นมาทันที “เจ้าอาจจะทำได้ถึงขั้นนั้น ทว่าเจ้ามิอาจดูแคลนข้าเหล่ยเจิ้งได้! คุณชายสาม ข้าจะบอกอะไรท่านอย่าง แม้นตัวตาย ข้าก็จะไม่ทรยศนายท่าน!”
คำพูดดังกังวานไปทั่ว แฝงด้วยความทรงพลัง
ซูอี้เอ่ย “ยอมตายเพื่อซูหงหลี่ คุ้มค่าแล้วรึ?”
เหล่ยเจิ้งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พลันปากก็พ่นคำหนึ่งออกมาเสียงเบา “คุ้มค่า!”
เมื่อสิ้นเสียง เขาก็ใช้มือซ้ายยกหอกยาวขึ้น สูดหายใจเข้าลึก “เชิญคุณชายสามมอบความตายให้แก่เหล่ยเจิ้ง!”
ในเสียงที่ตะโกนออกมานั้น เขามีท่าทีที่เด็ดเดี่ยว ระเบิดพลังพุ่งไปข้างหน้า กวัดแกว่งหอกยาวที่อยู่ในมือ แทงไปทางซูอี้
ประหนึ่งนักรบกล้ามองเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา
ทุกคนต่างก็อดรู้สึกไม่ได้
เหล่ยเจิ้งในยามนี้ บางทีก็เหมือนกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ทว่าท่าทางที่ไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดนั้น กลับทำให้ทุกคนเคารพออกมาอย่างสุดซึ้ง!
“ช่างเถอะ ข้าจะทำให้เจ้าตายอย่างมีศักดิ์ศรีเอง!”
ซูอี้ยื่นมือออกมาครู่หนึ่ง พลันดาบบงการฟ้าดินลอยออกมาจากอากาศ และส่งมันไปด้านหน้าทันที
มันธรรมดา ทว่ารวดเร็วและดุดันเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะฉายแสงสว่างจ้าแพรวพราวไปทั่วนภา
ชั่วพริบตาหนึ่ง แววตาเหล่ยเจิ้งเคว้งคว้างทันที ประหนึ่งเห็นแสงที่น่าทึ่งที่สุดในโลก งดงามจนทำให้รู้สึกมัวเมา
ฉัวะ!
แสงดาบเปล่งประกาย คอของเหล่ยเจิ้งถูกเสียบทะลุ นำพาเลือดสดสาดกระเซ็นออกมา
เขานิ่งอึ้งไปชั่วครู่หนึ่ง เขาเผยรอยยิ้มที่ปล่อยวางออกมา “ขะ… ขอบคุณมาก อย่างน้อย ข้า… ข้าก็ไม่ได้ทรยศนายท่าน…”
น้ำเสียงแหบแห้งขาด ๆ หาย ๆ
จากนั้น ร่างไร้เสียงของเหล่ยเจิ้งก็ล้มลงบนพื้น
จวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยางที่ออกมาจากตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง เดิมทีเป็นคนสนิทติดตามข้างกายซูหงหลี่ เขาโชคดีที่ได้รับคำชื่นชมจากซูหงหลี่ ด้วยวิชาล้ำเลิศที่ได้รับมา ทำให้เขาก้าวหน้ามากในเส้นทางการฝึกบำเพ็ญ และค่อย ๆ เติบโตจนกลายเป็นหนึ่งในสิบแปดจวิ้นอ๋องต่างสกุลที่มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปใต้หล้า
และในยามนี้ เขาตกอยู่ภายใต้ดาบของซูอี้!
ภาพการตายนี้ ทำให้หนิงซือฮวา เชินจิ่วซงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ ไม่ว่าก่อนหน้านี้เหล่ยเจิ้งจะแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวเพียงใด ทว่าความเด็ดเดี่ยวที่ยอมตายด้วยความภักดีนั้น ทำให้อดที่จะรู้สึกออกมาไม่ได้
หวังฉุนตู้ถอนหายใจยาวออกมา “จวิ้นอ๋องแห่งไฮว่หยางตัวดี!”
“ดูเหมือน ข้าจะประเมินซูหงหลี่ต่ำเกินไป…”
ซูอี้ขมวดคิ้ว
เหล่ยเจิ้งยอมตายไม่เลือกที่จะทรยศ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าความภักดีของเขานั้นมั่นคงเพียงใด แต่ยังแสดงให้เห็นถึงเล่ห์เหลี่ยมของซูหงหลี่ว่าโดดเด่นถึงเพียงใด
สามารถทำให้บุคคลที่เป็นปรมาจารย์ขั้นสี่ เต็มใจที่จะตายเพื่อเขาได้!
ในความทรงจำเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนของซูอี้ ความรู้สึกที่มีต่อซูหงหลี่บิดาผู้นี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความเกลียดชัง
ทว่าที่มิอาจกล่าวปฏิเสธได้ก็คือ ซูหงหลี่ที่มีฐานะเป็นผู้นำตระกูลซู เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
เขาคือหนึ่งในสิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่ซ่อนเร้นเก็บตัวเงียบที่สุด ถูกเรียกว่าเป็นคู่สมบูรณ์แบบแห่งอาณาจักรต้าโจวเคียงข้างกับราชครูหงเซินซาง
มีเพียงแค่เขาที่บ่มเพาะบุคคลเก่งกาจออกมา ซึ่งก็มีถึงสามราชาต่างสกุล และห้าจวิ้นอ๋องต่างสกุล!
ในโลกใบนี้ ซูหงหลี่เป็นบุคคลในตำนานที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งอาณาจักรต้าโจว!
แน่นอนว่า สำหรับซูอี้ที่รู้ความทรงจำในชาติก่อนแล้ว ซูหงหลี่แข็งแกร่งขึ้นอีกแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนคนหนึ่งในโลกใบนี้เท่านั้น
ส่วนที่สังหารเหล่ยเจิ้ง ซูอี้ไม่เก็บเอาไว้ในใจเลยแม้แต่น้อย
บนโลกนี้คนที่ตายด้วยความฮึกเหิมมีไม่น้อยเลย แม้มันจะน่าชื่นชม ทว่ามันยากมากสำหรับซูอี้ที่จะรู้สึกซาบซึ้งใจมากแค่ไหน
สายตาเขามองไปทางเซวียนโหยวหลงที่ห่างออกไปไกล
รองเจ้าตำหนักหลูหยางผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส สภาพจิตใจหดหู่ แต่เมื่อเห็นการตายของเหล่ยเจิ้ง ก็อดรู้สึกโศกเศร้าอาดูรไม่ได้
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของซูอี้ที่มองมา เขาก็ยิ้มอย่างโศกเศร้าออกมา “แม้ข้าจะเทียบไม่ได้กับเหล่ยเจิ้งที่ยอมตายโดยมิสนสิ่งใดนั้น ทว่าข้าก็จะไม่ก้มหัวให้เช่นนี้ หากอยากฆ่าอยากแทงให้ฉีกขาด เจ้าก็ลงมือได้”
ในใจหวังฉุนตู้เคร่งเครียด อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “คุณชายซู เห็นแก่หน้าชายแก่คนนี้ ให้ทางรอดแก่เซวียนโหยวหลงสักทางหนึ่งได้หรือไม่?”
เขากลัวว่าซูอี้จะไม่ยินยอม จึงกัดฟันเอ่ยขึ้น “ทำเหมือนว่า… ข้าเจ้าตำหนักหลูหยางเป็นหนี้บุญคุณคุณชายซู!”
ซูอี้ส่ายหน้าพลางเอ่ย “ข้าไม่สนเรื่องบุญคุณ”
ในใจหวังฉุนตู้หดหู่ลงทันที
ทว่าชั่วครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เอ่ยเสริม “แต่ ข้าให้โอกาสเขาได้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะแก้แค้นเพื่อฉินเหวินเยวียนหรอกรึ? หากต่อจากนี้เขาคิดว่าสามารถฆ่าข้าได้ ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
หวังฉุนตู้นิ่งไปครู่หนึ่ง พลันดีใจขึ้นมาทันที คำนับและเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณในความใจกว้างของคุณชายซู!”
รับชมเซวียนโหยวหลง อีกฝ่ายยังคงนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ราวกับไม่เชื่อว่าซูอี้จะปล่อยเขาไป
เป็นเวลานาน เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เหตุใดถึงไม่ฆ่าข้าในตอนนี้?”
ซูอี้ถามกลับ “เหตุใดเจ้าถึงต้องแก้แค้นแทนฉินเหวินเยวียน?”
เซวียนโหยวหลงเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “เขาคือศิษย์น้องข้า มีความสัมพันธ์อันดีกับข้า เขาถูกเจ้าฆ่าตาย ข้าจะไม่ล้างแค้นได้อย่างไร?”
ซูอี้เอ่ย “นี่คือสาเหตุที่ข้าไม่ฆ่าเจ้าในตอนนี้”
ขณะที่เอ่ยอยู่ เขาก็หันไปมองหวังฉุนตู้ “ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ เจ้าพาเขาออกไปจากที่นี่ตอนนี้ซะ”
หวังฉุนตู้สั่นกลัว เขาทำความเคารพซูอี้อีกครั้ง จากนั้นก็พาเซวียนโหยวหลงที่บาดเจ็บสาหัสกลับไป
จนกระทั่งร่างของพวกเขาลับตาไปแล้ว หนิงซือฮวาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “การถูกผู้อื่นแค้นใจไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”
ทว่าซูอี้กลับทอดถอนใจอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “เซวียนโหยวหลงมีคุณธรรมสูงส่งเทียมฟ้า หาได้ยากนัก เพียงแค่สิ่งนี้ ก็คุ้มค่าที่ข้าจะปล่อยให้เขาไปมีชีวิตอีกครั้ง”
เขานึกถึงชาติก่อนที่ตนรับพวกลูกศิษย์เหล่านั้น ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง กลับแย่งชิงของล้ำค่าที่เขาเหลือไว้และกลายเป็นศัตรูกัน…
หากนำมาเทียบกับการแก้แค้นของเซวียนโหยวหลงในวันนี้แล้ว ซูอี้จะไม่รู้สึกปลงได้อย่างไร?
หนิงซือฮวาตกใจครู่หนึ่ง จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่า นางยิ่งมองซูอี้ไม่ออก
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มชุดสีเขียวเข้มผู้นี้ไม่ลังเลที่จะสังหารแน่ ทว่าบางครั้ง เขากลับทำเรื่องที่ผิดปกติออกมา
อย่างเช่นยามนี้ เพียงเพราะชื่นชมการกระทำของเซวียนโหยวหลงที่แก้แค้นเพื่อศิษย์น้องเขา ก็ยกโทษให้เซวียนโหยวหลง…
นี่ไม่เหมือนนิสัยของเขาจริง ๆ
และซูอี้จะอธิบายเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกัน
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังให้โอกาสเซวียนโหยวหลงกลับมาแก้แค้นอีกครั้ง ทว่าต้องดูว่าเซวียนโหยวหลงจะมีความสามารถหรือไม่
“สหายเต๋า นี่คือจะงอยปากของเหยี่ยวหน้าผีที่เจ้าให้รวบรวมไว้”
หนิงซือฮวาไม่คิดสิ่งใดมาก ชี้ไปที่จะงอยปากสีทองที่กองรวมกันอยู่ไม่ไกลนัก พลางเอ่ยเสียงเบา
ซูอี้พยักหน้า ก่อนออกเดินทางต่อ ให้นำของที่ได้จากการต่อสู้กองนี้แบ่งออกเป็นสามส่วน เก็บไว้ให้ตัวเองหนึ่งส่วน ที่เหลือสองส่วนแบ่งให้กับหนิงซือฮวากับเชินจิ่วซง
เมื่อเห็นทั้งสองจะปฏิเสธ ซูอี้จึงเอ่ยขึ้น “ในเมื่อครั้งนี้พวกเราทั้งสามคนร่วมมือด้วยกัน ของที่ได้จากการต่อสู้ก็ต้องแบ่งให้เท่ากัน มิอาจปฏิเสธได้”
“ขอบคุณสหายเต๋ามาก”
หนิงซือฮวายกยิ้มขึ้นมา
เชินจิ่วซงรู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตา รีบเร่งคำนับขอบคุณ พลันสายตาที่มองไปทางซูอี้ก็เปลี่ยนไป
ในฐานะที่เป็นจวิ้นอ๋องซึ่งควบคุมพื้นที่แห่งหนึ่ง เขากลับไม่สนใจว่าของที่ได้จากการต่อสู้เหล่านี้จะมีมูลค่ามากเพียงใด
แต่เมื่อพานพบเรื่องนี้แล้ว ทำให้เขามองเห็นน้ำใจและนิสัยที่หาได้ยากอยู่ในตัวซูอี้!
ทว่าซูอี้กลับไม่คิดเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเดียวกันเลย
สายตาเขามองออกไปที่ไกล ๆ พลางเอ่ยพึมพำ “หวังว่าเส้นทางต่อไปข้างหน้า จะทำให้ข้าเจอสัตว์ปีศาจระดับแปด ระดับเก้าบ้างนะ”