บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 235 ผีดิบร้อยหลอม
ตอนที่ 235: ผีดิบร้อยหลอม
ดึกสงัด
ท้องฟ้าเหนือหุบเขามารบุปผาโลหิตยังคงเป็นสีแดงประดุจเลือด
กลางนภากาศ ร่างของซูอี้ก้าวเดิน ฟันมือออกไป
เอื๊อก!
หัวของวานรยักษ์สีขาวสูงกว่าสิบจั้งตนหนึ่งกระดอนกลางอากาศ
เลือดสาดประดุจน้ำตก
ศพล้มฟาดกับพื้น ฝุ่นละอองซ่านกระเซ็น
ร่างของซูอี้ร่อนลงสู่พื้นอย่างงดงาม พลังเต๋ากังที่โอบล้อมรอบตัวค่อย ๆ จางหายไป
วานรอสูรทองขาว
ไม่ด้อยไปกว่าสัตว์อสูรระดับเก้าหรือปรมาจารย์ขั้นห้า หนังทองแดงกระดูกเหล็ก มีดดาบยากจะทำร้ายได้ มีพละกำลังเหลือคณา กุมพลังแห่งวายุโดยกำเนิด เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในบรรดาสัตว์อสูรอย่างแน่แท้
ทว่าเวลานี้ เพียงแค่สามเฮือกหายใจเท่านั้น สัตว์อสูรกำลังแก่กล้าระดับเก้าตนนี้ก็ถูกซูอี้ฟันหัวกระเด็นไปอย่างง่ายดาย!
ไม่ถูกต้อง!
ก่อนช่วงระยะสามเฮือกหายใจ ซูอี้ไม่ได้ใช้กระบวนท่าพิฆาต ต่อสู้ฟาดฟันกับวานรอสูรทองขาวเป็นเวลาครึ่งเค่อเต็ม ๆ
หนึ่งคน หนึ่งวานร ต่างฝ่ายต่างปล่อยหมัดปะทะคู่ต่อสู้ ต่างฝ่ายต่างดุดัน ไม่มีใครยอมลงให้ใคร ราวกับว่าต้องประลองให้รู้แน่ว่าใครมีกำลังเหนือกว่ากัน
ท้ายสุดซูอี้เหนือชั้นยิ่งกว่า สยบวานรอสูรทองขาวลงได้
จากนั้น จึงมีภาพวานรอสูรทองขาวถูกฆ่าอย่างเมื่อสักครู่
ไม่ไกลนัก หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงสบตากัน สีหน้าสงบราบเรียบมาก เห็นมามากจนไม่รู้สึกแปลกอีกแล้ว
หลังจากที่แยกทางกับหวังฉุนตู้แห่งตำหนักหลูหยาง จนกระทั่งถึงตอนนี้ผ่านไปห้าชั่วยามแล้ว
ในช่วงเวลาดังกล่าว พวกเขาเจอสัตว์อสูรระดับแปดห้าตนกับสัตว์อสูรระดับเก้าสามตน
ซูอี้เห็นคนอื่นไล่ล่าสัตว์อสูรแล้วเกิดนึกสนุกขึ้นมา ถึงกับออกไล่ล่าด้วยตนเอง กำจัดสัตว์อสูรอันแข็งแกร่งที่ทำให้ปรมาจารย์มากมายในโลกต้องสิ้นหวังเหล่านี้หมดสิ้นไปทีละตน
แต่ละครั้ง ล้วนต้องต่อสู้ฟาดฟันกันเสียก่อน จนกระทั่งคู่ต่อสู้ต้องการจะหนีจึงลงมือฆ่า
ตามคำอธิบายของซูอี้ คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งจนสามารถประลองเช่นนี้ได้มีน้อยเกินไป จึงต้องรักษาโอกาสที่ได้พบเจอในแต่ละครั้งให้ดี…
ในตอนแรก หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงยังรู้สึกตื่นตะลึงไม่หาย
ทว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้ ยากนักจะเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกที่มากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
พวกเขาต่างก็มองออกว่าซูอี้เห็นสัตว์อสูรระดับแปดกับระดับเก้าเหล่านั้นเป็นหินลับมีด
ทุกครั้งที่เจอ กลัวแต่เพียงว่าจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามตายโดยไม่ทันระวัง ดังนั้นจึงแลดูทะนุถนอมเป็นพิเศษ…
คนอื่น ๆ เห็นเช่นนี้แล้วทำหน้าแทบไม่ถูก ทว่ามานึกดูให้ละเอียด เช่นนี้กลับเพียงพอที่จะทำให้บุคคลระดับปรมาจารย์ในโลกถึงกับหนาวสะท้านได้
เพราะอย่างไรเสีย ใช้สัตว์อสูรระดับเก้ามาซ้อมมือ เดิมทีก็กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่พิสดารมากพอดูอยู่แล้ว มองไปทั่วใต้หล้าอาณาจักรต้าโจว มีปรมาจารย์สักกี่คนกันที่สามารถทำได้เช่นนี้?
ทว่าบัดนี้ สัตว์อสูรระดับเก้าเป็นได้แค่คู่ฝึกซ้อมให้ซูอี้เท่านั้น…
ความหมายก็คือช่างน่ารันทดยิ่งนัก
ไม่ไกลนัก ซูอี้ถือดาบบงการฟ้าดินชำแหละศพขนาดใหญ่มหึมาของวานรอสูรทองขาวด้วยความช่ำชองราวกับพ่อครัวชำแหละเนื้อวัว
อย่างรวดเร็ว ปราณอสูรดวงหนึ่งที่มีสีแดงสดขนาดเท่ากับกำปั้นก็ปรากฏอยู่ในมือของซูอี้
“ไม่เลว เทียบได้กับเม็ดยาระดับสี่ขนานหนึ่งเลยทีเดียว”
มุมปากของซูอี้เผยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจออกมา
หลังจากนั้นหันหน้าไปกล่าวกับหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซง “พวกเจ้าสามารถลงมือจัดการได้แล้ว อย่าลืมเก็บเขี้ยวสองซี่ให้ข้า ส่วนอื่น ๆ ล้วนเป็นของพวกเจ้า”
พูดจบ เขาเดินมานั่งขัดสมาธิบนหินก้อนหนึ่ง ปลายนิ้วกระดิกขึ้นเบา ๆ ปราณอสูรสีแดงสดดวงนั้นก็ถูกกรีดเป็นรอยเล็ก ๆ
พอหยิบขึ้นมาดูด เลือดที่เต็มไปด้วยพลังเดือดพล่านก็ไหลเข้าสู่ลำคอ แผ่ขยายไปสู่ทั่วร่าง
ขณะที่ซูอี้เดินพลังลมปราณไปทั่วร่าง ฉับพลันนั้นเองเสียงราวกับเสียงไฟในเตาแตกดังขึ้นในร่าง ธาตุแท้อันยิ่งใหญ่บริสุทธิ์สาดซัดวนเวียนราวกับแม่น้ำใหญ่แยงซีเกียง
อย่างรวดเร็ว ร่างของซูอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิถูกปกคลุมไปด้วยพลังเต๋ากังอันเจิดจ้าประดุจแสงตะวัน
เปรียบดังกระแสน้ำขึ้นลง แฝงไว้ซึ่งจังหวะวิถีอันล้ำลึกและมีเอกลักษณ์
หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงเห็นเช่นนี้จึงตรงไปที่ศพของวานรอสูรทองขาว เก็บรวบรวมวัตถุวิญญาณร่วมกัน
สัตว์อสูรในโลก ทุกอย่างภายในร่างล้วนเป็นของล้ำค่า ไม่ว่าจะเป็นเกล็ด กรงเล็บ เอ็นกระดูก เขี้ยว เลือดเนื้อ…
บางอย่างสามารถผสมเป็นยา บางอย่างสามารถหลอมทำเป็นอาวุธ
ร่างของสัตว์อสูรระดับเจ็ดเป็นต้นไปยังสามารถเก็บวัตถุวิญญาณที่หายากได้อีกด้วย
ดังเช่นวานรอสูรทองขาวตรงหน้าตนนี้ ในสายตาปรมาจารย์วิถียุทธ์แล้วเป็นถึงคลังสมบัติหนึ่งเลยทีเดียว
ขนของมันเป็นวัตถุวิญญาณอย่างดีในการหลอมทำเป็นชุดเกราะพิเศษ เอ็นกระดูกกับเขี้ยวสามารถหลอมเป็นอาวุธได้ เลือดเนื้อของมันประกอบด้วยพลังเลิศล้ำซึ่งเทียบได้กับเม็ดยาระดับสาม…
แม้กระทั่งดวงตากับอวัยวะภายในแต่ละส่วนของมันล้วนมีประโยชน์ที่ต่างกันออกไป
หากว่านำศพที่ครบสมบูรณ์เช่นนี้ไปขายในโลกสามัญอย่างต้าโจว ย่อมเพียงพอที่จะดึงดูดให้ปรมาจารย์ทั้งหลายมาแย่งซื้อ
หลังจากนั้นสักครู่ หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงก็แบ่งสมบัติกันเสร็จสรรพไม่มีเหลือ
แน่นอน ทั้งสองไม่ลืมที่จะเก็บเขี้ยวคู่ให้ซูอี้
“เจ้าตำหนักหนิง สัตว์อสูรระดับแปดห้าตนกับสัตว์อสูรระดับเก้าสามตนที่คุณชายซูล่ามาได้ตลอดทั้งทางเหล่านี้ล้วนแบ่งมาให้พวกเราด้วย เช่นนี้…จะให้ข้าตอบแทนพระคุณเช่นใดในวันข้างหน้า?”
เชินจิ่วซงหัวเราะฝืด หากว่าใช้คำพูดหนึ่งประโยคอธิบายความรู้สึกของเขา ประโยคนั้นก็คือรับของมาแล้วรู้สึกละอายแก่ใจ
“คนทั่วไป ไม่มีแม้โอกาสจะได้ติดค้างเขา”
หนิงซือฮวายิ้มน้อย ๆ “ยิ่งไปกว่านั้น วันข้างหน้าเจ้าก็ค่อย ๆ ตอบแทนไป เจ้าหวังว่าจะได้ย่างก้าวสู่หนทางแห่งวิถีต้นกำเนิดไม่ใช่หรอกหรือ? นี่เป็นโอกาสล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง”
“โอกาส?”
เชินจิ่วซงตะลึงไป
ฉับพลันเขาราวกับเข้าใจขึ้นมา พยักหน้าติด ๆ กันพลางกล่าว “ขอบคุณเจ้าตำหนักหนิงที่ชี้แนะ เชินผู้นี้น้อมรับคำชี้แนะ!”
ติดค้างน้ำใจของซูอี้ สามารถถือโอกาสนี้เป็นฝ่ายใกล้ชิดกับซูอี้ พอนานวันเข้า ยังต้องกังวลอีกหรือว่าไม่อาจยืนอยู่บนเรือลำเดียวกับซูอี้ได้?
นึกถึงตรงนี้ เชินจิ่วซงจึงอดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
การเดินทางขึ้นหุบเขามารบุปผาโลหิตในครั้งนี้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วว่าอะไรจึงจะเรียกว่าผู้บำเพ็ญอย่างแท้จริง
เปรียบเทียบกับอำนาจและฐานะในโลกสามัญ สิ่งเหล่านี้แลดูน่าขันยิ่งนักสำหรับผู้ฝึกตนจนมีพลังอันแก่กล้าแล้ว
ทั้งหมดนี้ทำให้เชินจิ่วซงเกิดความคิดที่จะเดินบนหนทางแห่งการฝึกตนวิถีต้นกำเนิดอย่างสะกดกลั้นไม่อยู่
และ ‘คำชี้แนะ’ ที่หนิงซือฮวาให้มานั้นทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าหากตนเองได้รับการยอมรับจากซูอี้ ก็เท่ากับได้รับโอกาส ‘เซียนชี้ทาง’ อย่างไม่ต้องสงสัย!
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม
ซูอี้ตื่นจากสมาธิ ลุกขึ้นยืนพลางกล่าว “ออกเดินทางกันต่อ”
พูดจบก็เดินไปข้างหน้าแล้ว
ถึงแม้เพิ่งเข้าสู่หุบเขามารบุปผาโลหิตได้ไม่ถึงวัน ทว่าผ่านการฆ่าฟันและฝึกฝนมาหลายหนทำให้การฝึก ‘เต๋ากัง’ ของซูอี้เพิ่มระดับรวดเร็วราวกับติดปีกบิน
จนถึงตอนนี้ ธาตุแท้ทั่วร่างล้วนเป็น ‘เต๋ากัง’ วิถียุทธ์ที่สร้างขึ้นมีพื้นฐานที่แน่นหนา แข็งแกร่งยิ่งกว่าชาติที่แล้วในขอบเขตเดียวกัน!
หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงติดตามอยู่ข้างหลัง เดินหน้าต่อไป
เพียงแต่ว่าตลอดทางมานี้ ทั้งสองกลายเป็นคนว่างงานไม่มีอะไรทำ
เพราะว่ายิ่งเดินลึกเข้าไปในหุบเขามารบุปผาโลหิต ยากนักที่จะได้เจอสัตว์อสูรที่ต่ำกว่าระดับเจ็ดอีก
และเมื่อเจอกับสัตว์อสูรระดับเจ็ดขึ้นไปก็จะถูกซูอี้จัดการกำจัดไปเสียก่อนทุกครั้ง
เป็นเหตุให้เชินจิ่วซงยิ่งเชื่อมั่นยิ่งกว่าเดิม หุบเขามารบุปผาโลหิตอันตรายหรือไม่?
อันตรายมาก!
ทว่าขอเพียงติดตามถูกคน ต่อให้หุบเขามารบุปผาโลหิตอันตรายยิ่งกว่านี้ก็จะราบรื่นราวกับย่ำบนพื้นราบ
ดังเช่นเวลานี้
ภายใต้การนำของซูอี้ พวกเขาราวกับบดขยี้ไปตลอดทั้งเส้นทาง!
อีกสองชั่วยามผ่านไป
ตลอดทางมานี้ ซูอี้เจอสัตว์อสูรระดับแปดสองตนเพียงเท่านั้น
ยิ่งเดินเข้าไปลึก กลิ่นอายรอบด้านก็เริ่มสับสนขึ้นมา
สีโลหิตบนท้องฟ้ามืดครึ้ม
ขมุกขมัวราวกับก้อนเลือดจับตัว พลังแห่งโลหิตที่ขุ่นมัวแปดเปื้อนกลายเป็นลมพายุ พัดกระโชกในป่าเขา กดดันภาวะจิตใจคนให้กระสับกระส่าย
“อืม?”
ทันใด ซูอี้ก็หยุดเดิน
แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เสียงที่คล้ายกับเสียงกระซิบก็ดังขึ้น
คล้ายกับเสียงกระซิบของภูตผี
และคล้ายกับเสียงกระชากวิญญาณที่ดังมาจากยมโลก
ได้ยินเสียงประหลาดที่คุ้นเคยนี้แล้ว หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงจึงสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกไป เฝ้ารักษาจิตวิญญาณ
ทว่าถึงแม้จะทำเช่นนี้แล้ว หนิงซือฮวายังคงขมวดคิ้ว บนใบหน้าอ่อนวัยปรากฏสีหน้าไม่สบายออกมา
จิตวิญญาณของนางรับรู้ฉับไวจนเกินไป ถูกพลังประหลาดกระทบกระแทกเช่นนี้ จึงได้รับความกระทบกระเทือนที่มากกว่า
เชินจิ่วซงเจ็บจนหน้ากระตุก เหงื่อผุดออกจากหน้าผาก
มีแต่เพียงซูอี้เท่านั้นที่มีสีหน้าราบเรียบ ราวกับไม่รู้สึกสะทกสะท้าน
ในห้วงความนึกคิดมีดาบเก้าคุมขังสถิตอยู่ ทั้งยังฝึกฝน ‘คัมภีร์เขากลายสู่อิสระ’ ทำให้เขาไม่ได้รับผลกระทบอันใดแม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้น อาศัยสัมผัสรับรู้ของพลังจิตวิญญาณ ทำให้ซูอี้แยกแยะความเร้นลับมากมายของเสียงกระซิบนี้ออก
“นี่คงจะเป็นค่ายกลต้องห้ามอันมีเทือกเขาใต้ดินของหุบเขามารบุปผาโลหิตเป็นแกน มีประโยชน์ในการเก็บวิญญาณ เฝ้ารักษา แก้เคล็ด ทลายวิญญาณ เป็นต้น…”
“สันนิษฐานตามความเคลื่อนไหวของพลังเช่นนี้ ไม่ถึงครึ่งวัน ก็สามารถไปถึงดินแดนที่ค่ายกลแห่งนี้ครอบคลุมถึง”
“อืม น่าสนุก มีคนกล้าใช้ประโยชน์จากพลังของค่ายกลนี้”
สายตาของซูอี้ฉายแววประหลาดขึ้นมาในทันใด
ในเวลานี้เอง ฉับพลันเสียงต่อสู้ฆ่าฟันดังขึ้นแว่ว ๆ จากที่ ๆ ห่างไกลออกไป
เป็นเพราะระยะทางไกลเกินไป จึงได้ยินไม่ค่อยชัดเจนนัก
ทว่าสำหรับซูอี้แล้ว ราวกับค้นพบเรื่องน่าสนใจอะไรบางอย่าง กล่าว “ทั้งสองท่านยังสามารถทนไหวหรือไม่?”
หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปดูเรื่องสนุกกัน”
ซูอี้พูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ
ดูเรื่องสนุก?
ถึงแม้ในใจของหนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงจะมีความสงสัย ทว่ายังคงฝืนความไม่สบายในจิตวิญญาณเดินตามไป
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ
หุบเขารูปร่างคล้ายชามขนาดมหึมาปรากฏอยู่ในสายตา
ด้านบนของหุบเขาพลังแห่งโลหิตที่ปกคลุมดังสายหมอกกำลังเดือดพล่านอย่างแรง
ทว่าภายในหุบเขา กลับมีการต่อสู้ฟาดฟันอย่างดุเดือด
กลางหุบเขา ศพเดินได้รูปร่างประหลาดกลุ่มหนึ่งโอบล้อมร่างสองร่างไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา
ศพเดินได้เหล่านั้น มีทั้งหญิงและชาย มีทั้งผู้เฒ่าและเด็ก ทั้งหมดสิบกว่าตน ลักษณะเหมือนกับคนทั่วไม่มีผิดเพี้ยน
มีแต่เพียงสีผิวที่ขาวซีดโปร่งใส สีหน้าแข็งทื่อ กลิ่นอายแห่งมารหยินสีดำแผ่กระจายทั่วร่าง
สิ่งที่ใครเห็นเป็นต้องตกใจก็คือ ศพเดินได้แต่ละร่างล้วนมีพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าปรมาจารย์เลย!
อีกทั้ง ศพเดินได้เหล่านี้ไม่กลัวดาบกระบี่ฟาดฟัน ไม่รู้ว่าความตายคือสิ่งใด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกมันอันตรายอย่างที่สุด
“นี่คือ ‘ผีดิบร้อยหลอม’ ของพรรคมารหยิน ลักษณะเดียวกับวิชาผีดิบหุ่นเชิด วิธีการหลอมสร้างมีความอำมหิตเหลือคณา อันดับแรกเพาะเลี้ยงหนอนพิษในร่างของปรมาจารย์ ให้มันครอบครองร่างและเลือดเนื้อ”
ม่านตาของหนิงซือฮวาหรี่เล็กลง กล่าวเบา ๆ “จากนั้น ใช้เคล็ดวิชาลับผนึกจิตวิญญาณของปรมาจารย์ แล้วใช้วิธีโหดเหี้ยมอำมหิตต่าง ๆ มากมายทำพิธีหลอมครั้งแล้วครั้งเล่า จึงสามารถหลอมเป็นผีดิบเช่นนี้ออกมาได้ตนหนึ่ง”
สีหน้าของเชินจิ่วซงก็เคร่งขรึมลงเช่นกัน แล้วกล่าวคำออก “ข้าก็เคยได้ยินมาเช่นกัน เมื่อหลายร้อยปีก่อน สาเหตุที่พรรคมารหยินถูกเรียกว่าเป็นกำลังฝ่ายอธรรมอันดับหนึ่งในโลก ก็เพราะว่าพวกเขาครอบครองผีดิบร้อยหลอมเป็นจำนวนมาก”
“ซากศพเหล่านี้มีความสามารถดุจดังบุคคลระดับปรมาจารย์ อีกทั้งมีพิษร้ายแรงของมารหยินผสมผสาน เรียกได้ว่าเป็นทหารอำมหิตในร่างมนุษย์!”