บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 236 พลังล้ำค่าในตัวมู่ซี
ตอนที่ 236: พลังล้ำค่าในตัวมู่ซี
ผีดิบร้อยหลอมดังกล่าว คือวิชาชั้นต่ำประเภทหนึ่ง ใช้สำหรับหลอมสร้างผีดิบหุ่นเชิด
ในเก้ามหาแดนดิน ขอเพียงเป็นพรรคฝึกผีที่ค่อนข้างมีกำลังความสามารถสักหน่อย ล้วนไม่มีทางหลอมสร้างวัตถุชั่วร้ายที่ไม่อาจสร้างความเชิดหน้าชูตาเช่นนี้ได้
ซูอี้เพียงแค่ชายตาก็มองเห็นคนที่ถูกโอบล้อมสองคนนั้น “พวกเขาคือใคร?”
“ผู้อาวุโสใหญ่เจียงถานอวิ๋นกับผู้อาวุโสรองหลูฉางเฟิงแห่งตำหนักคงต้ง”
เชินจิ่วซงกล่าวอย่างรวดเร็ว “ทั้งสองล้วนเป็นปรมาจารย์ขั้นสี่ แต่เจียงถานอวิ๋นมีพื้นฐานที่ค่อนข้างแก่กล้ากว่าสักหน่อย มีรายชื่อติดอันดับรายนามปรมาจารย์แห่งต้าโจวเป็นอันดับที่สี่สิบเจ็ด ปรมาจารย์ขั้นห้าล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
ซูอี้พยักหน้า
อย่างไรเสียวิถียุทธ์ขอบเขตทั้งสี่ก็เป็นขอบเขตธรรมดา
มองดูผู้ที่อยู่ในเขตแดนเดียวกัน ทว่าความสามารถกลับแตกต่างกันลิบลับ หัวใจหลักอยู่ตรงที่พื้นฐานวิถียุทธ์มีความแตกต่างกัน
“คุณชายซู พวกเราต้องเข้าไปช่วยหรือไม่?” เชินจิ่วซงทนไม่ไหวถามขึ้น
เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงถูกผีดิบร้อยหลอมโอบล้อมอย่างหนาแน่น อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งสีหน้าของทั้งสองดำคล้ำ ดวงตาแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าโดนพิษผีดิบเข้าแล้ว
หากปล่อยไว้ไม่เข้าไปช่วยอีก ไม่กล้าที่จะคาดเดาถึงผลที่ตามมา
“หากว่าเจ้าเข้าไปช่วยในตอนนี้ ต้องถูกพลังแห่งกลไกต้องห้ามของเสียงที่คล้ายกับเสียงกระซิบนั่นจู่โจมเป็นแน่ ถึงเวลานั้น ต่อให้เจ้ามีการฝึกตนปรมาจารย์ขั้นสี่ ทว่าภายใต้สภาวะที่จิตวิญญาณถูกโจมตี ทั้งยังถูกผีดิบเหล่านั้นโอบล้อมอีก มีเพียงแต่ต้องตายเท่านั้น”
ซูอี้โพล่งออกมา
เชินจิ่วซงตื่นตระหนกหวาดกลัว
หนิงซือฮวาราวกับมองอะไรบางอย่างออก ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย แล้วกล่าว “มิน่าเล่าคนอย่างเจียงถานอวิ๋นจึงตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ที่แท้เพราะมีคนใช้พลังแห่งกลไกต้องห้ามนั้นจู่โจมจิตวิญญาณของพวกเขานั่นเอง ทำให้ไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงในตัวเองออกมา…”
ในความคิดของนาง ถึงแม้ผีดิบร้อยหลอมเหล่านั้นจะเก่งกาจเทียบเท่าปรมาจารย์ แต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของบุคคลอย่างเจียงถานอวิ๋นเช่นกัน
และสาเหตุที่สถานการณ์ต้องแปรเปลี่ยนกลายเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะมีคนใช้พลังแห่งกลไกต้องห้ามจัดการกับพวกเขาทั้งสองเหมือนดังที่ซูอี้กล่าวอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ข้าชักอยากจะดูเสียแล้วว่ามือการเบื้องหลังคนนี้คือผู้ใด” หนิงซือฮวาตั้งใจจะแสดงฝีมือเอง
ประการที่หนึ่งเพื่อเป็นการช่วยเจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงให้พ้นจากอันตราย ส่วนประการที่สองเพราะต้องการจะดูว่าที่แท้เป็นบุคคลเก่งกาจคนใดที่ใช้พลังแห่งกลไกต้องห้ามนั้น
ทว่าไม่รอให้นางได้ลงมือก็ถูกซูอี้ทัดทานไว้ “ช้าก่อน”
หนิงซือฮวาตะลึงนิ่งไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
อย่างรวดเร็ว ในชั่วขณะที่เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงใกล้จะทัดทานไม่อยู่ เสียงใสกังวานเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ทั้งสองท่านอย่าได้ร้อนใจ ข้าจะช่วยพวกเจ้าฆ่าศัตรูเอง!”
แต่ละคำดังก้องกังวานราวกับเสียงเคาะระฆังยามเช้า
ชายหนุ่มในชุดสีขาวสะอาดเหาะมากลางอากาศ แสงเจิดจ้าแผ่คลุมทั่วกาย อานุภาพยิ่งใหญ่ประดุจมหาสมุทรกว้าง
ร่างของเขายืดตรงสง่าประดุจต้นสนยืนตระหง่าน รูปงามคมเข้ม เมื่อเข้าไปในหุบเขาที่แผ่ปกคลุมไปด้วยพลังแห่งโลหิตมารแล้ว เขาฉวัดเฉวียนหอกยาวสีทอง จากนั้นฟาดสุดแรง
ครืน!
เงาหอกมากมายส่องสว่างเจิดจ้าประดุจแสงสีทองที่ถูกถักทอทอดตัวอยู่บนท้องฟ้าฟาดลงมาพร้อมกับกลิ่นอายแห่งการทำลายล้างสะท้านปฐพี
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ตามการร่วงหล่นของเงาหอกซึ่งคล้ายกับตาข่ายขนาดยักษ์สีทอง ผีดิบร้อยหลอมสิบกว่าตนเหล่านั้นหลบหนีไม่ทันจึงถูกฆ่าทำลายในบัดดล ร่างอันแข็งแกร่งฟันแทงไม่เข้าของพวกมันแตกระเบิดซ่านกระเซ็นกลายเป็นเศษผุยผง ปลิวว่อนคล้ายกับกระดาษอันเปราะบาง
เพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น สถานการณ์อันตรายที่เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงพบเจอก็ถูกแก้ไขด้วยแรงจู่โจมนี้!
หันไปมองดูชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นอีกครั้ง มือถือหอกรบสีทอง งดงามเกินพรรณนา สง่าไม่มีใครเกิน
“ราชาสะกดขุนเขา!”
เชินจิ่วซงถึงกับตกตะลึงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นก็คือมู่ซีราชาสะกดขุนเขาผู้เป็นหนึ่งในเก้าราชานอกสกุลผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรไปทั่วหล้า
“ที่แท้ก็คือคน ๆ นี้” หนิงซือฮวาแสดงสีหน้าเข้าใจกระจ่าง
นางเคยได้ยินคำเล่าลือมากมายเกี่ยวกับราชาสะกดขุนเขาคนนี้ อายุเพียงยี่สิบกว่า ๆ ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นราชา กล่าวได้ว่าเป็นบุคคลระดับสุดยอดคนหนึ่งในโลกสามัญ
“เมื่อสักครู่สหายเต๋ารู้สึกได้ว่าราชาสะกดขุนเขาจะมาเช่นนั้นหรือ?”
หนิงซือฮวาเบนสายตามองไปยังซูอี้
“ตอนที่พวกเรามาถึง เขาอยู่มองการต่อสู้อยู่ห่าง ๆ ก่อนแล้ว เพียงแต่พวกเจ้าไม่รู้สึกเท่านั้น”
ซูอี้กล่าว
ขณะที่พูดคุย เขาเบนสายตามองดูราชาสะกดขุนเขาในชุดสีขาวสะอาดที่ไกลออกไป แววตาส่อแววประหลาดเล็กน้อย
“เช่นนั้นรึ…”
หนิงซือฮวาสะดุ้งขึ้นมาในใจ
ด้วยพื้นฐานและสายตาอันแหลมคมที่มี นางกลับไม่รู้สึกว่าราชาสะกดขุนเขาแอบซ่อนตัวอยู่ก่อนหน้า!
เรื่องนี้นอกจากทำให้นางตื่นตระหนกแล้ว ยังทำให้เข้าใจได้ว่าพลังความสามารถของราชาหนุ่มนอกสกุลคนนี้ก็ไม่ธรรมดาเลยเช่นกัน
“นักพรตคุมผีดิบ ถึงเวลานี้แล้วยังไม่ออกมาอีกหรือ?”
ในหุบเขา ราชาสะกดขุนเขามู่ซีเอ่ยพูดเสียงดัง เขาถือหอกรบในมือ ร่างสูงเด่นเป็นสง่า ในแววตาที่เพ่งมองเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนง
น้ำเสียงของเขาดังก้องไปทั่วหุบเขา ทำให้หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงต่างรู้สึกยำเกรงยิ่งนัก นักพรตคุมผีดิบ?
คน ๆ นี้เป็นถึงยอดฝีมือชื่อดังของพรรคมารหยิน เป็นผู้ยิ่งใหญ่ฝ่ายอธรรมที่ใคร ๆ ในดินแดนมหาอาณาจักรโจวพูดถึงเป็นต้องหวาดกลัว!
ฉับพลัน หุ่นเชิดรูปร่างลักษณะคล้ายกับเด็กก็มุดออกมาจากใต้หินใหญ่ซึ่งติดกับอีกด้านหนึ่งของหุบเขา บนใบหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเต็มไปด้วยรอยเย็บที่คล้ายกับตะขาบ ช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก
หุ่นเชิดเด็กเงยหน้ามองดูมู่ซีที่อยู่ไกลออกไป เผยอริมฝีปากเผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคมทั้งปาก ส่งเสียงแหลมประดุจเสียงโลหะเสียดสี
“ราชาสะกดขุนเขา ฟังคำเตือนของจงผู้นี้สักหน่อยเถิด ดีที่สุดอย่าได้เข้ามาเกี่ยวข้อง มิเช่นนั้น จงผู้นี้รับรองได้ว่า ต่อให้เจ้าเก่งกาจสามารถมีดวงดีสักเพียงไหนก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
ได้ยินเสียงดังก้องอยู่ในหุบเขานี้แล้ว ขนถึงกับลุกซู่ไปทั้งตัว
“สารเลว! ต่อให้เจ้าสำนักพรรคมารหยินของเจ้ามาก็ยังไม่กล้าแสดงความเหลวไหลต่อหน้าข้า!”
มู่ซีสบถเย็นชา หอกรบในมือแทงเข้าไปในอากาศว่างเปล่า
ปัง!
หุ่นเชิดเด็กที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบจั้งคนนั้นร่างระเบิดไม่เป็นชิ้นดีในทันที
“หึหึ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากที่เจ้าตายแล้ว จงผู้นี้จะช่วยเก็บศพเจ้าด้วยตนเอง จะหลอมเจ้าให้กลายเป็นผีดิบเชิดตัวงามตัวหนึ่งเลยทีเดียว”
เสียงหัวเราะน่ากลัวเยือกเย็นดังก้องไปทั่วหุบเขาและค่อย ๆ หายลับไป
มู่ซีส่ายหน้าไม่เชื่อ
ชิ้ง!
เขาเก็บหอกรบสีทอง เบนสายตามองไปยังเจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงที่อยู่ไม่ไกลนัก โยนขวดหยกใบหนึ่งขึ้น กล่าวด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“โอสถในขวดใบนี้สามารถแก้พิษผีดิบได้ ท่านทั้งสองจงรีบกิน ขืนชักช้าเสียเวลา เกรงว่าพิษผีดิบจะทะลวงสู่หัวใจ”
เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงแสดงสีหน้าขอบคุณออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ประสานมือคารวะ “ขอบพระคุณราชาสะกดขุนเขา!”
“อย่าได้เกรงใจ รีบแก้พิษก่อน”
มู่ซียิ้มพลางโบกมือ
ทันใด เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงก็กลืนโอสถไปคนละหนึ่งเม็ด จากนั้นนั่งขัดสมาธิ
มู่ซีจึงเบนสายตามองไปที่พวกของซูอี้ซึ่งอยู่ไกลออกไป กล่าวเสียงดังฟังชัด “สหายทั้งสามท่าน ที่ตรงนี้ไม่มีอันตรายอีกแล้ว เชิญออกมาพบกันได้”
หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงต่างก็เบนสายตามองไปที่ซูอี้ อย่างไม่ต้องสงสัย ราชาสะกดขุนเขาพบร่องรอยเบาะแสของพวกเขาก่อนหน้านี้นานแล้วเช่นกัน
ซูอี้ก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่ได้กล่าวความ
กลางหุบเขา
เชินจิ่วซงยิ้มพลางคารวะ “นานแล้วไม่ได้เจอกัน ท่านงามสง่าขึ้นกว่าแต่ก่อนนัก พลังพิฆาตผีดิบร้อยหลอมเมื่อครู่นี้ ทำให้เชินผู้นี้ถึงกับตื่นตะลึง”
มู่ซีหัวเราะอารมณ์ดี จากนั้นกล่าวถ่อมตน “จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงชื่นชมเกินไปแล้ว”
พูดจบ เขาก็เบนสายตามองไปที่หนิงซือฮวา ยกมือขึ้นคารวะพลางกล่าว “หากว่าข้าเดาไม่ผิด ท่านนี้ก็คือใต้เท้าหนิง หนิงซือฮวาแห่งเจ้าตำหนักเทียนหยวน ใช่หรือไม่?”
สีหน้าของเขาอิ่มเอิบ พูดจายิ้มแย้ม ถ่อมตนอ่อนน้อม แตกต่างไปจากอาการหยิ่งทะนงเมื่อตอนฆ่าฟันศัตรูเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิง
หนิงซือฮวาพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรมากนัก
ต้องยอมรับว่ากลิ่นอายแห่งความอบอุ่นอ่อนน้อมในตัวมู่ซีทำให้ผู้เข้าใกล้รู้สึกประทับใจได้อย่างง่ายดาย
สายตาของมู่ซีเบนมองไปยังซูอี้ ยิ้มพลางประสานมือคารวะ “ขออภัยที่ข้าน้อยมองไม่ออก ขอเรียนถามคุณชายชื่อเสียงเรียงใด?”
เชินจิ่วซงรีบกล่าวแนะนำ “ท่านนี้คือคุณชายซู ซูอี้”
“สกุลซู?”
มู่ซีตรึกตรอง “หรือว่าจะเป็นบุตรหลานตระกูลซูแห่งนครหลวง?”
“เอ่อ…”
เชินจิ่วซงลังเลขึ้นมาชั่วครู่ มองไปยังซูอี้
ซูอี้กล่าว “ไม่เห็นมีอะไรพูดยากเลย บอกเขาไปไม่เป็นไร”
เชินจิ่วซงจึงกล่าวตอบ “ท่านคาดเดาไม่ผิด คุณชายซูเป็นบุตรชายของซูหงหลี่ผู้นำตระกูลซู”
มู่ซีหัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “ตระกูลซูเป็นตระกูลใหญ่โตอันดับหนึ่งในโลก มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ซ่อนมังกรอำพรางเสือ บุตรหลานในตระกูลล้วนเก่งกาจมีความสามารถ เพียงแค่มองข้าก็ดูออกว่าคุณชายซูจะต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาที่ใครก็สามารถเปรียบได้”
ทั้งหมดนี้ล้วนกล่าวตามมารยาทเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียก็เป็นเพียงแค่การพบหน้ากันครั้งแรกเท่านั้น
ทว่า มู่ซีไม่ได้พูดดีแต่ปากหรือคิดดูแคลนซูอี้
เพราะอย่างไรเสีย สามารถออกเดินทางร่วมกับหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงได้ ต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน
ได้ยินคำกล่าวตามมารยาทของมู่ซีแล้ว ซูอี้เพียงแค่พยักหน้าน้อมรับเท่านั้น
ทว่า เขาไม่คิดจะหยุดสังเกตดูมู่ซีเพียงเท่านี้
เมื่อสักครู่ตอนที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ เขาพบว่าบนตัวราชาสะกดขุนเขาผู้มีอายุน้อยที่สุดแห่งอาณาจักรต้าโจวคนนี้ มีสิ่งผิดปกติอยู่
บนตัวของเขามี ‘พลังล้ำค่า’ ซ้อนเร้นอยู่!
และก็เป็นเพราะเหตุนี้จึงดึงดูดให้ซูอี้เกิดความสนใจขึ้นมา
บัดนี้ได้มองดูในระยะใกล้ ในใจก็พอจะคาดเดาอะไรบางอย่างออกบ้างแล้ว
ในตัวของมู่ซี จะต้องเก็บรักษา ‘สิ่งล้ำค่า’ ที่มีความพิเศษบางอย่างเป็นแน่ จึงทำให้กลิ่นอายในตัวเขาเกิดความเปลี่ยนแปลง แลดูลึกลับและราบเรียบขึ้นมาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง
หากไม่สัมผัสรับรู้ให้ดี ยากนักที่จะพบความผิดประหลาดอันน้อยนิดเช่นนี้
เสียงกระซิบอันเกิดจากการเคลื่อนไหวของพลังแห่งกลไกต้องห้ามเมื่อก่อนหน้านี้มีความน่ากลัวถึงเพียงใด ถึงกับทำให้เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงสองคนนั้นได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจนตกอยู่ในสภาวะอับจนหมดหนทาง
ทว่ามู่ซีกลับไม่ได้รับผลกระทบอันใด
เกรงว่าคงจะเป็นเพราะ ‘สิ่งล้ำค่า’ ในตัวของเขาชิ้นนั้น
แน่นอน ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การคาดเดาของซูอี้เท่านั้น
ในตัวทุก ๆ คนล้วนมีความลับ มู่ซีคนนี้สามารถก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นราชานอกสกุลชื่อเสียงเกรียงไกรทั่วใต้หล้าด้วยอายุที่ยังน้อยเช่นนี้ได้ จะต้องมี ‘ไม้ตาย’ กับ ‘สิ่งพิเศษ’ เป็นของตัวเองอย่างแน่นอน
“หากว่าคน ๆ นี้เป็นศัตรูของข้าก็คงจะดี… เช่นนี้จะได้ดูสักหน่อยว่า สิ่งล้ำค่าในตัวเขาชิ้นนั้นที่แท้ที่มาอย่างไรกันแน่…”
ซูอี้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาในชาติที่แล้วของเขา ทำให้เขาสามารถตัดสินจาก ‘พลังล้ำค่า’ ที่ซ่อนเร้นในตัวมู่ซีได้ว่า สิ่งล้ำค่าในตัวอีกฝ่ายนั้นจะต้องมีความสำคัญมากอย่างแน่นอน
ทว่า ซูอี้ทำได้เพียงแค่สงสัยเท่านั้น
ด้วยนิสัยและฐานะของเขา ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องมองมู่ซีเป็นเหยื่อเพื่อแย่งชิงสมบัติล้ำค่า และจะไม่ไปก่อเรื่องฆ่าคนเพื่อแย่งชิงสมบัติด้วย
เวลานี้ มู่ซีกับหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงเริ่มพูดคุยกันขึ้นมา
ทราบว่าพวกของซูอี้เดินทางมาเพราะเหตุการณ์ประหลาดของหุบเขามารบุปผาโลหิตเช่นกันแล้ว มู่ซียิ้มพลางเชิญพวกของซูอี้ให้เดินทางร่วมกัน
หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงต่างก็เบนสายตามองไปที่ซูอี้ เป็นธรรมดาที่ต้องให้ซูอี้เป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องนี้
สำหรับเรื่องนี้ ซูอี้ไม่ได้ปฏิเสธ
เขาอยากจะดูนักว่า ระหว่างการเดินทางในลำดับต่อไปจะสามารถตรวจดูโฉมหน้าที่แท้จริงของสมบัติล้ำค่าในตัวมู่ซีชิ้นนั้นได้หรือไม่
เมื่อเห็นว่าบุคคลอย่างหนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงต้องให้ซูอี้เป็นผู้ตัดสินใจเช่นนี้ ราชาสะกดขุนเขามู่ซีถึงกับตื่นตระหนกขึ้นมาในใจ
และทำให้เขายิ่งรู้สึกได้ว่าฐานะของหนุ่มน้อยชุดเข้มตรงหน้าคนนี้ เกรงว่าคงไม่ได้เป็นเพียงแค่บุตรหลานตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเสียแล้ว!
“ต่อไปเวลาที่ออกเดินทางร่วมกัน จะต้องคอยสังเกตคน ๆ นี้ให้มากสักหน่อยเสียแล้ว…”
มู่ซีแอบคิดในใจ