บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 237 บัวมารโลหิต แท่นบูชาลึกลับ
ตอนที่ 237: บัวมารโลหิต แท่นบูชาลึกลับ
มู่ซีกำลังพูดคุยกับเชินจิ่วซง
หนิงซือฮวานั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่เพียงลำพัง ก้มหน้าอ่านตำราเล่มหนึ่งในมือ เค้าโครงใบหน้าที่งดงามมีสีสันแห่งความสงบเงียบ
ไม่ไกลนัก ซูอี้เอนตัวหลับตาพักรักษาจิตอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างสบายอารมณ์
เมื่อเจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงฟื้นก็มองเห็นภาพลักษณะเช่นนี้
“ท่านทั้งสองรู้สึกเป็นเช่นใดบ้าง?”
มู่ซียิ้มพลางเบนสายตามองมา
เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงรีบลุกขึ้น โค้งคารวะพลางกล่าว “ขอบพระคุณท่านมู่ที่ยื่นมือเข้าช่วย บุญคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ พวกเราทั้งสองจะจดจำไม่มีลืม”
เสียงขอบคุณแสดงถึงความจริงใจ
“ท่านทั้งสองไม่ต้องเกรงใจ”
มู่ซียิ้มพลางโบกมือ
พูดจบ เขาเป็นฝ่ายแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกับซูอี้และหนิงซือฮวา
เมื่อทราบฐานะของหนิงซือฮวาแล้ว ทั้งสองต่างก็ชื่นชม ไม่กล้าทำเพิกเฉยรีบคารวะ
แต่เมื่อทราบฐานะของซูอี้ ทั้งสองตะลึงนิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด
ในอดีต พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้นำตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงยังมีบุตรชายนามว่าซูอี้
ถึงแม้ในใจจะมีข้อกังขา ทว่าสำหรับเรื่องมารยาทแล้ว ทั้งสองมิได้เพิกเฉย ยังคงเดินไปคารวะ
ซูอี้พยักหน้าน้อย ๆ เก็บเก้าอี้หวายพลางกล่าว “ไปกันเถอะ”
พูดจบก็เดินไปข้างหน้าก่อนแล้ว
หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงเห็นเช่นนี้ จึงเดินตามหลังไป
เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงถึงกับอึ้งด้วยความตื่นตระหนก
ในที่นี้ มีเจ้าตำหนักศึกษาเทียนหยวน มีจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงผู้เป็นใหญ่ และยังมีราชาสะกดขุนเขาผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรในใต้หล้า
ทว่าตอนนี้ ซูอี้ผู้เป็นบุตรหลานของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงบอกว่าออกเดินทางก็พากันออกเดินทาง โดยไม่ถามความคิดเห็นของคนอื่น ๆ เช่นนี้แลดูเอาแต่ใจเกินไปเสียแล้ว
ประกอบกับเมื่อสักครู่ตอนที่แสดงความคารวะ ซูอี้ก็นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายตลอด ทำเอาเจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงรู้สึกตะขิดตะขวงขึ้นมาในใจ ความรู้สึกที่มีต่อซูอี้จึงแย่มากขึ้น
ทว่า อย่างไรเสียทั้งสองผ่านลมฝนมาจนเคยชิน เห็นว่าหนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงไม่ได้พูดอะไร พวกเขาจึงได้แต่เก็บซ่อนความไม่พอใจไว้ในใจ ไม่ได้แสดงออกมา
“คุณซูท่านนี้พิเศษกว่าคนทั่วไป กิริยาวาจาก็ต่างไปจากคนอื่น ๆ ท่านทั้งสองอย่าได้คิดมาก”
มู่ซีมองดูเจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิง จากนั้นยิ้มพลางกล่าว “ใช่แล้ว ท่านทั้งสองจะเดินทางไปด้วยกันหรือไม่?”
เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงสบตากัน ต่างก็ตอบอย่างรวดเร็ว
สามารถออกเดินทางร่วมกับราชาสะกดขุนเขาได้ เป็นเรื่องที่ดีมาก
เพื่อไม่ให้เสียเวลาอีก มู่ซีพาทั้งสองไล่ตามพวกของซูอี้ เดินทางเข้าไปในหุบเขามารบุปผาโลหิตด้วยกัน
“ท่านมู่ ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าผู้ที่โอบล้อมพวกเราทั้งสองคือคนของพรรคมารหยิน หรือว่าฝ่ายอธรรมนี้ต้องการวกกลับมาเพื่อเป็นใหญ่อีกครั้งเช่นนั้นหรือ?”
ระหว่างทาง เจียงถานอวิ๋นอดถามขึ้นมาไม่ได้
เขาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของตำหนักคงต้ง สีผิวดำคล้ำ ดุดันน่าเกรงขาม
“ไม่ผิด”
มู่ซีเอ่ย “จากข้อมูลที่ข้าได้มา ดูเหมือนว่าพรรคมารหยินจะกุมความลับที่เกี่ยวข้องกับตัวประหลาดในหุบเขามารบุปผาโลหิตเช่นนี้จำนวนไม่น้อย ครั้งนี้พวกเขาออกปฏิบัติการร่วมกับบุคคลผู้มีความเก่งกาจอย่างที่สุดกลุ่มหนึ่ง เห็นได้ชัดว่ากำลังคิดแผนการใหญ่อยู่”
ได้ฟังความ เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงต่างก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองเกือบจะเจอภัยพิบัติถึงขั้นเกือบคร่าชีวิต เมื่อนึกถึงว่าต่อไปยังต้องเจอกับพวกโหดเหี้ยมของพรรคมารหยินเหล่านั้นแล้ว ในใจรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเช่นกัน
“พรรคมารหยิน…”
ซูอี้ราวกับกำลังตรึกตรองอะไรบางอย่างอยู่
หยกวิญญาณที่มีความเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของชิงหว่านชิ้นนั้นคือหยกที่ฮูเหยียนไห่นำออกมาจากส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตแห่งนี้
และเมื่อก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ซูอี้ทราบแล้วว่าฮูเหยียนไห่ผู้เป็นหัวหน้าผู้คุมสาขาย่อยแคว้นกุ่นเดินทางไปสาขาใหญ่พรรคมารหยินตามคำเชิญก็เพื่อปรึกษาแผนการใหญ่บางอย่าง
บัดนี้ คนของพรรคมารหยินปรากฏตัวอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้ตั้งข้อสันนิษฐานหนึ่งขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
เกรงว่าการใหญ่ที่พรรคมารหยินวางแผน คงจะอยู่ในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตแห่งนี้!
อีกทั้ง เป็นไปได้มากว่าฮูเหยียนไห่ก็เข้าร่วมในแผนการนี้ด้วย!
“หากว่าเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งเป็นการดี บางที เมื่อตรวจสอบพบความจริงของความพิสดารที่เกิดขึ้นในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิตเจอ ก็สามารถเสาะหาแตงโดยคลำเครือเถาวัลย์ได้ จะได้ตรวจสอบเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของชิงหว่านด้วย”
ซูอี้แอบคิดในใจ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม
ไกลออกไป ณ ท่ามกลางป่าเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเลือด จู่ ๆ ก็มีร่าง ๆ หนึ่งปรากฏ
นี่คือชายวัยกลางคนในชุดกี่เพ้ายาวสีดำ มีความน่าเกรงขาม หน้าตาดุดันคมชัดประดุจภาพแกะสลัก
เขาก็คือผูอี้ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตำหนักซิงหยา เป็นปรมาจารย์ขั้นสี่
“ท่านมู่ ห่างจากตรงนี้ไปสามสิบลี้ มีรอยแยกขนาดใหญ่อยู่สายหนึ่ง คนของพรรคมารหยินปักหลักพักอาศัยบริเวณใกล้ ๆ กับรอยแยกสายนั้น”
ผูอี้เดินมาคารวะ
มู่ซีพยักหน้า จากนั้นแนะนำให้ผูอี้รู้จักกับหนิงซือฮวา และซูอี้
คารวะต่อทุก ๆ คนแล้ว พูดทักทายกันสักครู่จึงออกเดินทางไปข้างหน้าต่อ
ไอโลหิตเข้มข้นคละคลุ้ง ราวกับหมอกควันที่ไม่ยอมสลายตัว
หลังจากมาถึงที่นี่แล้ว สรรพสิ่งนิ่งสงบมีความกดดัน เงียบจนหวาดหวั่นพรั่นพรึง ตลอดทางไม่พบกับสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียว
ทุก ๆ คนต่างระมัดระวังตัว ถืออาวุธของแต่ละคนด้วยความระแวดระวัง
แม้กระทั่งราชาสะกดขุนเขามู่ซีก็ยังถือหอกรบสีทองด้ามนั้นในมือแน่น ไม่นิ่งนอนใจ
มีแต่เพียงซูอี้คนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้สึกหวาดหวั่น เดินมือไพล่หลัง ท่าทางสบาย
ลักษณะท่าทางเช่นนี้ทำให้เจียงถานอวิ๋นรู้สึกขัดลูกนัยน์ตายิ่งนัก จึงขมวดคิ้วกล่าวเตือน “คุณชายซูอย่าได้ประมาท สถานที่ตรงนี้อันตรายยิ่งนัก หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น ต่อให้พวกข้ายื่นมือเข้าช่วย เกรงว่าคงช่วยไม่ทัน”
หลูฉางเฟิงก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเช่นกัน “ไม่ผิด ไม่มีใครรู้ว่าอีกประเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น คุณชายซูระวังตัวสักหน่อยจะเป็นการดี”
ดูเหมือนเป็นการเตือนสติ ทว่าแท้จริงเป็นการแสดงความไม่พอใจ
ตอนที่พบกันครั้งแรก ซูอี้ก็สร้างความรู้สึกไม่ดีให้แก่พวกเขาแล้ว
ภายใต้อิทธิพลของความประทับใจแรกพบ เมื่อเห็นท่าทีเบาสบายเช่นนั้นของซูอี้อีกครั้ง จึงทำให้พวกเขารู้สึกไม่ชอบใจมาก
ผู้ยิ่งใหญ่อย่างพวกของมู่ซีกับหนิงซือฮวา ล้วนเดินหน้าด้วยความระมัดระวังตัว
ทว่าคนหนุ่มชุดเข้มคนนี้กลับแสดงท่าทีเบาสบายราวกับเดินเล่น คนที่ไม่รู้คงจะเข้าใจไปว่าเขามาเพื่อท่องเที่ยวชมทิวทัศน์เสียมากกว่า
ลองนึก ๆ ดู หากว่าซูอี้เกิดประสบอันตรายขึ้นมา ผู้ที่ยื่นมือเข้าช่วยก็ยังคงต้องเป็นพวกเขาอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
หากไม่ติดที่ฐานะ เจียงถานอวิ๋นคงอดทนไม่ไหวตะคอกแผดเสียงด่าซูอี้ไปนานแล้ว
“พวกเจ้าดูแลตัวเองให้ดีก็พอแล้ว”
ซูอี้ตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นก็ส่ายหน้าให้
เขาฟังน้ำเสียงที่แฝงด้วยความไม่พอใจของเจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงออก ทว่าคร้านจะติดใจเอาความอะไรกับพวกเขา
“คุณชายซูกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร”
หัวคิ้วของเจียงถานอวิ๋นขมวดแน่นยิ่งกว่าเดิม “บัดนี้พวกเราเป็นกองเดียวกัน ความปลอดภัยของเจ้า พวกเราจะเพิกเฉยไม่สนใจได้เช่นใด?”
“ยิ่งไปกว่านั้น บนหนทางที่ต้องเดินต่อไป จะต้องมีอันตรายอย่างแน่แท้ หากว่าคุณชายซูเกิดพลาดพลั้งอันใดขึ้นมา พวกข้าจะเพิกเฉยได้เช่นใด?”
กล่าวเช่นนี้ เริ่มแสดงความไม่เกรงใจออกมาแล้ว
หลูฉางเฟิงก็ไม่พอใจเช่นกัน พวกเขาอุตส่าห์หวังดีเตือนสติ ทว่าเจ้าหนุ่มคนนี้กลับยังทำท่าไม่ใส่ใจ ช่างไม่รู้จักประมาณตน!
หนิงซือฮวากับเชินจิ่วซงอดขันไม่ได้ พวกเขามองออกว่าเจียงถานอวิ๋นไม่พอใจซูอี้
หรืออาจกล่าวได้ว่า เจียงถานอวิ๋นยึดมั่นในฐานะของตนเอง มองว่าซูอี้เป็นเพียงบุตรหลานธรรมดาของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงคนหนึ่งเท่านั้น
ความหมายที่กล่าวมาไม่ว่าทั้งทางตรงหรือทางอ้อม ดุจดังผู้อาวุโสอบรมสั่งสอนผู้น้อยที่ไม่รักดี วางท่าเป็นผู้อาวุโสดูแคลนคนอื่น
มู่ซีสังเกตดูสีหน้าของซูอี้อยู่ตลอด เห็นว่าเขายังคงเฉยเมยดุจเดิม ไม่แสดงอาการโกรธออกมา ในใจรู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างประหลาด
ฉับพลัน เขากล่าวด้วยน้ำเสียงยิ้มแย้มอารมณ์ดี “ผู้อาวุโสเจียง อย่าได้สบประมาทคุณชายซู ดังคำโบราณที่กล่าวว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ สีหน้าราบเรียบประดุจน้ำนิ่ง คนเช่นนี้จึงจะเป็นแม่ทัพใหญ่ คุณชายซูก็เป็นเช่นคำกล่าวนี้”
เจียงถานอวิ๋นนิ่งตะลึง ราวกับไม่คาดคิดว่ามู่ซีจะช่วยแก้ต่างแทนซูอี้
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาพยักหน้ากล่าว “ท่านมู่กล่าวเช่นนี้แล้ว ดูท่าทางเจียงผู้นี้คงจะเข้าใจผิดไปเองจริง ๆ”
ถึงตรงนี้ เขาจึงนิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีก
ทว่าทุกคนล้วนสังเกตเห็นว่าเจียงถานอวิ๋นยังคงมีความรู้สึกต่อซูอี้เหมือนเดิม
ซึ่งนี่ก็คืออคติ
เมื่อความประทับใจยามแรกพบไม่ดี ก็จะก่อตัวเป็นความอคติยึดครองจิตใจ
“อืม?”
เดินหน้าต่อได้ไม่นาน จู่ ๆ ซูอี้ก็แหงนหน้ามองดูท้องฟ้า
“นั่นคือ?”
แทบจะขณะเดียวกัน มู่ซี หนิงซือฮวา และคนอื่น ๆ ต่างก็แหงนมองดูท้องฟ้าที่ไกลออกไปอย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับรับรู้แล้วเช่นกัน
ดอกบัวสีเลือดประหลาดขนาดใหญ่เก้าดอกก่อตัวขึ้นกลางอากาศ
ที่ดอกบัวแต่ละดอกมีพลังแห่งโลหิตมารเข้มข้นเกาะรวมกัน มีขนาดใหญ่ถึงเก้าจั้ง ปรากฏเป็นค่ายกลเก้าตำหนัก ลอยอยู่ใต้แผ่นฟ้า
ที่น่าประหลาดก็คือ ใจกลางบัวมารโลหิตนั้น สีเลือดที่แตกเป็นฝอยเหล่านั้นหมุนรอบตัวราวกับเกลียวคลื่นไม่มีวันหยุด
มองดูไกล ๆ จิตวิญญาณพลันเกิดความหวั่นไหวหวาดกลัวหนาวสะท้านไปทั้งตัว
“ดูเหมือนว่าจะเป็นจุดสำคัญของค่ายกลใหญ่…”
เกิดประกายระยิบระยับในแววตาของมู่ซี เจิดจ้าเฉิดฉายราวกับมองทะลุความลี้ลับมากมาย “ไปกัน พวกเราไปดูกัน”
อย่างรวดเร็ว คนทั้งหมดก็มาถึงด้านหน้าร่องแยกขนาดใหญ่
ร่องแยกนี้เปรียบได้ดังรอยแตกแยกบนผืนธรณี ด้านล่างของรอยแยกลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง หมอกโลหิตเดือดพล่านพุ่งทะลักขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทว่าภายใต้ท้องฟ้ามีบัวมารโลหิตขนาดใหญ่เก้าดอกลอยอยู่ เพื่อรอรับการบ่มเพาะของพลังมารโลหิตเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา ยิ่งดูพิสดารสวยงามยิ่งขึ้น
ที่น่าตกใจก็คือ สองข้างรอยแยกบนพื้น มีแท่นบูชาทรงโบราณหลายแท่นตั้งวาง รวมกันแล้วมีถึงหนึ่งร้อยแปดแท่น
แต่ละแท่นบูชาล้วนมีสีดำขลับ สูงถึงเก้าศอก สลักลวดลายประหลาดที่แตกต่างกันออกไป
ตูม! ตูม! ตูม!
เมื่อพวกของซูอี้มาถึงก็ได้ยินเสียงดังกึกก้องเป็นพัก ๆ ราวกับเสียงลั่นกลอง ดังมาจากด้านล่างลึกของรอยแยกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งนั้น
เสียงนั้นราวกับจังหวะการเคลื่อนไหวของแผ่นดิน แฝงไว้ซึ่งพลังอันน่ากลัวและมีเอกลักษณ์ กระแทกหัวใจของแต่ละคนอย่างแรง ถึงกับทำให้แต่ละคนตัวแข็งทื่อ เลือดลมในกายเกิดความผันผวน รู้สึกอึดอัดจนแทบกระอักเลือด
มีแต่เพียงซูอี้ มู่ซี กับหนิงซือฮวาเพียงสามคนเท่านั้นที่ไม่รู้สึกอะไร ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ จากเสียงนี้
ทว่าเมื่อได้ยินเสียงลึกลับประหลาดนี้แล้ว ทั้งสามคนต่างแสดงสีหน้าประหลาดออกมา
บัวมารโลหิตเก้าดอกลอยอยู่กลางอากาศ แท่นบูชาหนึ่งร้อยแปดแท่นตั้งอยู่สองข้างของรอยแยก ลึกเข้าไปในรอยแยก กลับมีเสียงเคาะจังหวะประหลาดและลึกลับ…
ทั้งหมดนี้ดูแล้วล้วนแปลกพิสดาร
“ดูท่าทาง ปรากฏการณ์ประหลาดของหุบเขามารบุปผาโลหิตในครั้งนี้ คงจะมาจากที่ตรงนี้!”
สายตาของมู่ซีเร่าร้อน ความคาดหวังปรากฏขึ้นบนสีหน้า
ที่นี่ ที่แท้แล้วซ่อนความลับเช่นใดเอาไว้กันแน่?
จะเหมือนกับที่เล่าลือกันเช่นนั้นหรือไม่ ซุกซ่อนร่องรอยโบราณ มีสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลกอยู่ในนี้?
สภาพจิตใจของคนอื่น ๆ ก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เช่นกัน
ฉับพลัน เสียงแหลมเล็กเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ราชาสะกดขุนเขา จงผู้นี้เคยเตือนพวกเจ้าไว้ก่อนแล้ว อย่าได้เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย แต่พวกเจ้ากลับไม่ฟัง จะหาเรื่องตายกันให้ได้เช่นนั้นหรือ?”
เสียงยังคงดังก้องในอากาศ พลันร่างคนกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังแนวเขาเตี้ยซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งหนึ่งของรอยแยกขนาดใหญ่