บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 239 ซูอี้แสดงฝีมือ
ตอนที่ 239: ซูอี้แสดงฝีมือ
มู่ซีเปรียบเสมือนศัตรูตัวฉกาจ
การปรากฏตัวของฮวาหลิวเยว่ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์นี้
“ราชาสะกดขุนเขา ฮวาผู้นี้ชอบผู้ที่มีความสามารถ เฉกเช่นชายหนุ่มที่มีความโชคดีมากอย่างเจ้า ภายในอาณาเขตต้าโจวนี้มีคนเช่นเจ้าไม่มากนัก หากยอมก้มหัวสวามิภักดิ์ และคำนับเข้ามาในพรรคมารหยิน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้นับว่าแล้วกันไป …ฮวาผู้นี้เปิดทางรอดให้แล้ว”
คล้ายจะยังไม่หมดเรื่องพูด ฮวาหลิวเยว่ผมเทาสวมชุดขาวกล่าวด้วยรอยยิ้มเสริมออกมาเล็กน้อยอีก “ฮวาผู้นี้ยอมอ่อนข้อให้เช่นนี้ ท่านคิดอย่างไรเล่า?”
มู่ซียิ้มเย็นออกมา “เฒ่าชรา อย่าได้คิดเพ้อฝันไป!”
ชิ้ง!
เขายกหอกสีทองที่อยู่ในมือ ชี้ไปทางฮวาหลิวเยว่ที่อยู่ไกล ๆ พลางเอ่ย “ครานั้นราชครูหงเซินชางฆ่าเจ้าไม่ได้ ไม่ใช่ว่าข้ามู่ซีจะตัดหัวเจ้าไม่ได้!”
น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกยังคงดังก้อง พลันมู่ซีโจมตีออกไปอย่างดุร้าย
ร่างที่ราวกับสายรุ้งลวงตาของเขา แฝงไว้ด้วยไอสังหารรุนแรงพุ่งโจมตีไปทางฮวาหลิวเยว่
ฮวาหลิวเยว่อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวเล็กน้อย พลางถอนหายใจยาวออกมา “ราชาสะกดขุนเขา สถานที่เหมาะเช่นนี้ ข้าควบคุมทุกสิ่งสรรพแล้ว จะต่อสู้กับเจ้าให้เสียเวลาไปไย?”
ในมือเขาปรากฏดาบไม้ที่เป็นสีดำทุกส่วนดุจหมึกออกมาอย่างเงียบ ๆ จะเป็นหยกก็มิใช่ จะเป็นเหล็กก็ไม่เชิง กวัดแกว่งเบา ๆ ไปในอากาศ
“กด!”
เพียงแค่หนึ่งคำ ประหนึ่งพื้นที่ราบเกิดเสียงฟ้าร้องขึ้นมา
แท่นบูชาลึกลับทั้งหนึ่งร้อยแปดแท่นส่งเสียงคำราม พลันก็ปรากฏสัญลักษณ์ที่คลุมเครือมากมายออกมา และวาดออกเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่านในอากาศทันที เปล่งแสงโชติช่วงออกมานับไม่ถ้วน
เมื่ออยู่ต่อหน้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่านขนาดใหญ่นี้ ร่างของมู่ซีนั้นเล็กพอ ๆ กับหยดน้ำในมหาสมุทร
ตู้ม!
อากาศปั่นป่วน พลันภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก็กดทับลงมา
ร่างของมู่ซีแข็งทื่อ หยุดอยู่กลางอากาศ ถูกพลังกดทับที่น่าหวาดกลัวนั้นปกคลุมไว้ กระดูกทั่วร่างส่งเสียงเสียดสีกดทับราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัสออกมา
พลันสีหน้าเขาเปลี่ยนทันที
“อยู่!”
มู่ซีกัดฟัน เร่งรัดจี้หยกสีแดงสดในมือซ้ายอย่างบ้าคลั่ง ลมหายใจเข้าออกรุนแรง ปราณทั่วร่างปะทุเดือดดั่งภูเขาไฟ
ด้านบนศีรษะของราชาสะกดขุนเขา ค่อย ๆ รวมตัวกันกลายเป็นรูปร่างกิเลนโลหิต เท้าเหยียบภูเขาและแม่น้ำ ปากคาบตะวันและจันทรา นันย์ตาดั่งโลหิตลึก อำนาจทรงพลังไร้เทียมทาน
ท่ามกลางเสียงสั่นสะเทือนเลือนลั่น มู่ซีต้านทานการกดทับของภูเขาศักดิ์สินทธิ์นั่นไว้ได้!
หนึ่งคนหนึ่งภูเขา ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน!
ภาพเหตุการณ์นี้ ทำให้ฮวาหลิวเยว่ประหลาดใจ สายตาเขาจับจ้องไปที่จี้หยกสีแดงสดในมือซ้ายของมู่ซี
“ราชาสะกดขุนเขา นี่คือของที่เจ้าอาศัยทำเรื่องอาละวาดไปทั่วใต้หล้านี้รึ? ที่แท้ก็เป็นของหายากล้ำค่าจริง ๆ!”
ฮวาหลิวเยว่แปลกประหลาดใจ ใบหน้าเขามิอาจปกปิดความรู้สึกที่รุ่มร้อนออกมาได้
บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์เฉกเช่นเขา จะมองความลึกลับมหัศจรรย์ของจี้หยกสีแดงสดนั้นไม่ออกได้อย่างไร?
ทันใดนั้น ฮวาหลิวเยว่ก้มหน้ามองดาบไม้สีดำในมือ แววตาเผยความอ่อนโยนเล็กน้อย เอ่ยพึมพำเสียงเบา “แน่นอนว่า เจ้าก็ไม่ธรรมดาแล้ว…”
“สมควรตายนัก!”
สีหน้ามู่ซีมืดครึ้ม ความกดดันเพิ่มไปเท่าตัว ทำเอาผู้เป็นราชาต่างสกุลร้อนใจมาก
แม้แต่เขาก็ไม่นึกเลยว่า เจ้าปีศาจเฒ่าฮวาหลิวเยว่จะหน้าซื่อใจเหี้ยมเช่นนี้ ถึงกับใช้พลังค่ายกลต้องห้ามนี้กดดันควบคุมตน!
และที่ทำให้เขาร้อนใจยิ่งกว่า คือต่อให้จะอาศัยจี้หยกโลหิตในมือ เขาก็ทำได้เพียงแค่ฝืนต่อต้านเท่านั้น ไม่อาจทลายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่แปรสภาพจากพลังค่ายกลต้องห้ามนั้นได้
“ต้องโทษข้าเองที่ไม่อาจบรรลุขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสมบูรณ์อย่างแท้จริง ด้วยการบำเพ็ญในตอนนี้ ย่อมมิอาจเผยความสามารถที่แท้จริงของจี้หยกโลหิตลึกลับออกมาได้ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นล่ะก็… ข้าจะถูกกดดันควบคุมมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร!”
“แล้วจะทำอย่างไรดี?”
ในใจมู่ซีร้อนรน
ในเวลานี้เอง ‘เก้าวังคุมขังมาร’ ที่ผู้คุมศพควบคุมยังคงโคจรอยู่ เช่นเดียวกับเสียงพึมพำแปลกประหลาดราวกับกระแสน้ำที่ส่งเสียงออกมาอย่างไม่ขาด
ผูอี้ เชินจิ่วซง เจียงถานอวิ๋น หลูฉางเฟิง คนทั้งสี่ต่างก็เจ็บปวดมาก ทั่วร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ การขับเคลื่อนลมปราณปั่นป่วนยากควบคุม
พวกเขาในตอนนี้ เรียกได้ว่าสูญเสียพลังในการต่อสู้อย่างสิ้นเชิง!
ทว่าหนิงซือฮวาดีว่าเล็กน้อย เพียงแต่เมื่อเห็นใบหน้านางที่เผยความเจ็บปวดออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าจิตวิญญาณนางได้รับการโจมตีอย่างหนักเช่นกัน
“หืม?”
ทว่าเมื่อเห็นถึงสถานการณ์ของซูอี้ที่อยู่ไกลออกไป มู่ซีก็อดไม่ได้ที่จะนิ่งงันไปชั่วครู่หนึ่ง
รับชมซูอี้เอามือไพล่หลัง ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางสบายใจ สายตาที่สนใจกำลังสำรวจแท่นบูชาทั้งหนึ่งร้อยแปดแท่นนั้น อย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวาย ราวกับไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น
ชายหนุ่มผู้นี้กำลังทำสิ่งใดอยู่?
มู่ซีมึนงงเล็กน้อย จู่ ๆ ในใจก็เกิดความรู้สึกอยากไปจับไอ้บ้านั่นอย่างอธิบายไม่ได้
นี่มันนานเท่าไรแล้ว เหตุใดชายหนุ่มผู้นี้ถึงไม่ตอบสนองใด ๆ เลยสักนิด?
ไม่ใช่
การบำเพ็ญเขาเพียงแค่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ ข้ามิควรฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา…
เพียงแต่ อีกฝ่ายที่มีท่าทางดุจกลยุทธ์ดูไฟชายฝั่ง*[1] เอาตัวออกห่างไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย ช่างทำให้คนโมโหเสียจริง!!!
ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาของมู่ซี ซูอี้จึงเงยหน้าเล็กน้อย พลางเอ่ยถาม “ยังไหวอยู่หรือไม่?”
“แน่นอน!”
มู่ซีเอ่ยโดยไม่ต้องคิด
ซูอี้อืมออกมา ก่อนหันสายตากลับไปมองแท่นบูชาที่อยู่ไม่ไกลนั่นอีกครั้ง
ประหนึ่งบนแท่นบูชานั่นมีความลี้ลับที่โดดเด่นมาก และดึงดูดจิตใจเขาอยู่
ทว่าท่าทางที่ไม่แยแสของเขานั้นกลับทำให้มู่ซีโมโหจนเลือดขึ้นหน้า จนเกือบจะกระอักเลือก
เขาคิดว่า แม้ซูอี้จะอายุยังน้อย แต่ในเมื่อสามารถเดินทางเคียงบ่าเคียงไหล่มากับหนิงซือฮวา เชินจิ่วซง แถมยังได้รับความเคารพจากทั้งสองท่าน เมื่อลองคิดดูแล้วน่าจะเป็นบุคคลที่ซ่อนความสามารถคนหนึ่ง
ไม่นึกเลยว่า เมื่อเจออันตรายที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ ชายหนุ่มผู้นี้กลับไม่มีการตอบสนองแม้แต่น้อย!!
“เอ๊ะ?”
ในยามนี้ ฮวาหลิวเยว่ซึ่งสัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาด ผนวกกับได้ยินบทสนทนาของซูอี้กับมู่ซี…
เมื่อเห็นซูอี้ไม่ได้รับผลกระทบจากค่ายกล ‘เก้าวังคุมขังมาร’ ฮวาหลิวเยว่ก็อดแปลกใจมิได้ มีความแปลกประหลาดใจเล็กน้อยฉาบบนใบหน้า
“พวกเจ้าทั้งสองคนไปนำตัวชายหนุ่มนั่นมา ข้าสงสัยว่าในร่างเขามีของล้ำค่าหายากอยู่ ไม่เช่นนั้นคนผู้นี้จะสามารถต้านทานการโจมตีของพลังค่ายกลต้องห้ามได้อย่างไร?”
สายตาฮวาหลิวเยว่มองไปทางหญิงชุดดำกับถูหง ออกคำสั่งทันที
เมื่อเห็นเช่นนี้ ในใจมู่ซีก็โล่งขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้ ในที่สุดกรรมก็ตามสนองชายหนุ่มผู้นี้!
แต่เมื่อเห็นหญิงชุดดำกับถูหงพุ่งไปทางซูอี้ มู่ซีก็อดเป็นห่วงมิได้
เขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไป “ซูอี้ เจ้ายังยืนอึ้งอยู่ที่นั่นทำไมอยู่อีก รีบหนีเร็ว!!”
เมื่อนั้น ซูอี้ถึงได้ละสายตาจากแท่นบูชาอย่างอาลัยอาวรณ์ เงยหน้ายิ้มเล็กน้อยไปทางมู่ซี “ยืนหยัดไว้ ข้าจะไปช่วยเจ้า”
สิ้นคำพูดที่ธรรมดา
มู่ซีพลันนิ่งไปครู่หนึ่ง เจ้าคนหนุ่มนี่แค่ปกป้องตัวเองยังจะไม่ได้ คิดอันใดถึงประกาศว่าจะมาช่วยข้าอีก?!
“เจ้าหนุ่ม ไปกับปู่ถูดี ๆ เถอะ!”
ในเสียงหัวเราะดั่งเสียงฟ้าร้อง ถูหงที่รูปร่างสูงใหญ่ผมแดงก็พุ่งเข้ามา ร่างที่เหมือนกับภูเขา นำพาอานุภาพที่บีบบังคับคนมาด้วย
ตัวตนขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสี่ผู้นี้ แม้จะบาดเจ็บจากการต่อสู้กับมู่ซีเมื่อครู่ ทว่าอานุภาพชั่วร้ายทั่วร่างเขายังคงน่าหวาดหวั่นยิ่ง
แต่ คล้ายกับว่ากลัวซูอี้จะได้รับบาดเจ็บ จึงยื่นมือขวาออกมาอย่างชำนาญ ประหนึ่งเหยี่ยวที่ตะครุบจับกระต่าย คว้าไปทางซูอี้
สายตาสงบนิ่งของซูอี้มองเขาที่เข้ามาใกล้ พลันมุมปากก็ยกยิ้มเย็นยะเยือกขึ้นมา
จนกระทั่งมือใหญ่ของถูหงที่เหมือนกับพัดใบปาล์มคว้าจับเข้ามา ชายหนุ่มก็ยื่นมือขวาออกไปทันที ทั้งยก ทั้งซัด ทั้งทุบ
ทันใดนั้น
มือขวาของถูหงก็ถูกจับเอาไว้ จากนั้น ร่างสูงใหญ่ราวกับภูเขาพลันถูกซัดไปกลางอากาศ
พลังมือของซูอี้ที่ปล่อยออกมานั้น ร่างของเขาที่เหมือนกับเสาไม้ถูกทุบลงกับพื้น
ปัง!
พื้นดินสนั่นหวั่นไหว แขนขวากระเด็นลอยออกไป บนพื้นยุบเป็นหลุมรูปคน เมื่อมองไปที่ถูหง หัวเขาแตกเลือดไหล แก้มถลอก หน้าตามอมแมมไปด้วยฝุ่น กระดูกทั่วร่างแตกไปไม่รู้กี่ท่อน
เขาหมดสภาพราวกับดินโคลน การขับเคลื่อนลมปราณทั่วร่างถูกตีแตกกระจาย ทั่วร่างกระตุกกระอักเลือดแดงฉานออกมา ประหนึ่งเป็นโรคลมบ้าหมู
มู่ซี “?”
ฮวาหลิวเยว่ “?”
ผู้คุมศพ “?”
หญิงสวมชุดดำ “?”
พลันบรรยาการกลายเป็นแปลกประหลาดเงียบสงัด ใครก็ตามที่รับชมสิ่งที่เกิดขึ้นต่างตกใจกับภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
“แม้ปีนี้ข้าจะมีอายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่ข้าจะหงุดหงิดที่สุดเมื่อคนอื่นเรียกข้าว่าเจ้าหนุ่ม รู้หรือไม่?”
ซูอี้เอ่ยอย่างจริงจังจบ ก็ใช้เท้าถีบไปเบา ๆ
โพละ!
หัวของถูหงระเบิดออกเหมือนกับแตงโม ของเหลวแดงบ้างขาวบ้างสาดกระเด็นไปทั่ว
“รนหาที่ตายนัก!”
หญิงสวมชุดดำแผดเสียงเล็กแหลมออกมาจากปาก พลันนิ้วคู่ขนานก็ขีดเส้นออกมา
ตู้ม!
วายุใบมีดสีเลือดนับไม่ถ้วนม้วนเข้ามา รุนแรงและรวดเร็ว
เพียงแค่ซูอี้สะบัดแขนเสื้อ
วายุใบมีดสีเลือดที่อยู่เต็มนภาก็ระเบิดออก กลายเป็นเศษละเอียด
รูม่านตาของหญิงสวมชุดดำหดตัวลงทันที ไม่ทันที่นางจะตอบโต้กลับไป พลันร่างของซูอี้ก็มาปรากฏอยู่ด้านหน้านาง
“บอกว่าข้ารนหาที่ตาย แล้วตัวเจ้าเองเล่า?”
ท่ามกลางน้ำเสียงที่ไม่แยแส เขายกมือขวาขึ้น ใช้นิ้วชี้เคาะเบา ๆ บนหน้าผากเงาวาวของหญิงสวมชุดดำนั้น
การเคาะหน้าผากนี้ มักเป็นการกระทำที่ต้องสนิทสนมกัน…
ผู้ชายกับผู้หญิง ผู้อาวุโสกับผู้เยาว์ มักเคาะหน้าผากในตอนที่ชอบหรือว่าโมโห
ทว่าเมื่อซูอี้ใช้นิ้วเคาะเช่นนี้ ปรมาจารย์ขั้นสี่อย่างหญิงสวมชุดดำ กลับรู้สึกแค่หัวจะระเบิดออก พลันจิตวิญญาณแตกละเอียด ในขณะนั้นนางสูญเสียความรู้สึกนึกคิดไปทันที
จากนั้น ร่างที่งดงามของนางก็ล้มลงไปกับพื้น
มู่ซีสูดหายใจเข้า เขาตกตะลึง ชายหนุ่มผู้นี้…
ผู้คุมศพที่กำลังจะใช้ ‘เก้าวังคุมขังมาร’ พลันร่างกายแข็งทื่อ ในใจรู้สึกหนาวเหน็บ มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
“สารเลว!”
ฮวาหลิวเยว่สั่นด้วยความโกรธ นัยน์ตาเปล่งประกาย มองไปทางซูอี้ด้วยความน่าสะพรึงกลัวและเยือกเย็น
แขนเสื้อเขาปลิวไหว ยกดาบไม้สีดำดั่งหมึกในมือขึ้นมา พลันกวัดแกว่งไปทางซูอี้
ตูม!
แท่นบูชาทั้งหนึ่งร้อยแปดแท่งส่งเสียงระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง พลันปรากฏยันต์ลายเมฆราวกับกระแสน้ำขึ้นมา รวมกันในอากาศกลายเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่าน ปรากฏอยู่บนหัวซูอี้ และกดทับลงมา
แสงนั้นเปล่งประกายโชติช่วง ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่านปลดปล่อยพลังกดทับออกมา ทำให้อากาศอัดแน่นแตกออกจนเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น
ในใจมู่ซีร้อนรนมาก พลางเอ่ย “รีบหลบเร็ว!”
เขาต่อสู้กับภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่แปรสภาพจากค่ายกลต้องห้ามนี้โดยตรง โชคดีที่ยังมีพลังของจี้หยกโลหิตลึกลับ ถึงได้ยืนหยัดมาจนถึงตอนนี้
ไม่เช่นนั้น เกรงว่าคงจะตายไปนานแล้ว
ในเวลานี้เมื่อเห็นว่าฮวาหลิวเยว่ใช้วิธีเดิมเพื่อจัดการซูอี้ ในใจเขาจะไม่กังวลได้อย่างไรกัน?
ซูอี้ยิ้มครู่หนึ่ง มิได้เอ่ยสิ่งใด
จนกระทั่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งแสงประกายโชติช่วงนั่นกดทับอย่างที่สุด เขาก็ดีดนิ้วออกไป
ปัก!
พลังนิ้วดุจปราณดาบ โจมตีแท่นบูชาเก่าแก่แท่นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก ภายนอกของแท่นบูชานั้น มียันต์ลายเมฆที่ถูกวาดลวดลายขึ้นมาอย่างซับซ้อนและแน่นขนัดอยู่ และมีรูปร่างคล้ายกับกระแสน้ำวนที่ซ้อนทับกัน
ทว่าพลังนิ้วของซูอี้นี้ โจมตีจุดศูนย์กลางกระแสน้ำวนที่ทับซ้อนกันพอดี!
ตูม!
ทันใดนั้น ภูเขาศักดิ์สิทธิ์สูงตระหง่านที่กดทับลงมา แตกกระจายทันที ราวกับมีควันไฟมหึมาเบ่งบานในอากาศอยู่บนหัวซูอี้ สีสันงดงามยิ่ง
มู่ซีที่เป็นห่วงกังวลในคราแรก รับชมภาพที่เกิดขึ้นอย่างตระหนกตกใจ คางเกือบจะหลุดลงมา
ฮวาหลิวเยว่ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ในหัวรู้สึกมึนงง “???”
กลยุทธ์ดูไฟชายฝั่ง*[1] เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก กลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการใช้โอกาสที่ศัตรูเกิดการแตกแยก วุ่นวายและปั่นป่วนอย่างหนักภายในกองทัพ พึงรอจังหวะช่วงชิงชัยชนะมาเป็นของตน