บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 24 ความอ่อนเยาว์ ไร้เดียงสา และชอบธรรม
ตอนที่ 24 ความอ่อนเยาว์ ไร้เดียงสา และชอบธรรม
เพียงมอง ซูอี้ก็เกิดประหลาดใจและกล่าวคำ “ยันต์ต้นกำเนิด?”
สิ่งที่เรียกว่ายันต์ต้นกำเนิด มันถูกสร้างโดยผู้บ่มเพาะที่อยู่ในขั้นวิถีที่สอง หรือก็คือขั้นวิถีต้นกำเนิด ซึ่งเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยพลัง และอำนาจอันน่าทึ่ง
ภายในมหาอาณาจักรโจว ตัวตนที่ก้าวสู่วิถีต้นกำเนิดอาจกล่าวได้ว่าเข้าสู่การเป็นเทพเซียน
สมบัติตรงหน้าคือสิ่งที่ผู้คนเหล่านั้นขัดเกลาสร้างขึ้น มันคือสมบัติอันล้ำค่าอย่างแท้จริง!
“ถูกต้องแล้ว ยันต์นี้นามว่า ‘คมดาบดารา’ ในวันที่ท่านเข้าร่วมตระกูล บิดาท่านได้มอบไว้ให้ เพียงบดขยี้สิ่งนี้ก็มากพอที่จะสังหารผู้บ่มเพาะขอบเขตหลอมกำเนิดได้ในพริบตา!
นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินเก็บแผ่นยันต์หยกอย่างพิถีพิถัน ก่อนจะลุกขึ้นยืนตรง พร้อมเผยสีหน้าอันภาคภูมิ “มันเป็นสมบัติอันยิ่งใหญ่ ที่มีไว้เพื่อใช้สนับสนุนตระกูลเหวินของข้า”
ซูอี้ลอบส่ายศีรษะ ก็เพียงยันต์ต้นกำเนิด มันควรค่าให้ภาคภูมิเพียงนั้น?
“เหตุใดเจ้าถึงกล่าวบอกเรื่องนี้ต่อข้า?”
“นายน้อยสาม นับตั้งแต่ท่านเข้าร่วมตระกูลเหวิน นอกจากการเสียดสีและเฉยชา มีผู้ใดเคยรังแกท่านจริงจังบ้างหรือไม่?” นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินเอ่ยคำถาม
ซูอี้ส่ายศีรษะ “ก็ไม่”
นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินเหวินเผยท่าทีจริงจัง กล่าวคำคุกคาม “นายน้อยสามรับฟังให้ดี ข้าไม่สนใจว่าท่านเกลียดชังตระกูลเหวินหรือไม่ แต่หากท่านกล้าสร้างความเสียหายแก่ตระกูลเหวิน ข้าจะไม่อภัยให้ท่าน!”
เมื่อฟังประโยคนี้ ซูอี้จึงเข้าใจว่าเหตุใดนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินนำเอายันต์ต้นกำเนิดออกมา มันเพราะนางต้องการข่มขู่ตัวเขานั่นเอง!!
เขาเผยยิ้ม ไม่โต้ตอบ และหันกลับไป
“เหตุใดเด็กน้อยผู้นี้ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน…?”
จนกระทั่งซูอี้เลือนหายไปจากโถงยอดอ่อนบุปผา นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินจึงละสายตากลับคืน ขมวดคิ้วอันชราภาพเล็กน้อย ราวกำลังสั่นคลอน
“เรื่องราววันนี้ ควรเขียนถึงตระกูลซูหรือไม่?”
ผ่านไปนาน นางถอนหายใจราวกับตัดสินใจได้ “ช่างเถอะ เรื่องราวของตระกูลซู ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกเช่นข้าจะเข้าไปข้องเกี่ยว ตราบเท่าที่เด็กคนนี้ไม่สร้างความวิบัติแก่ตระกูลเหวินของข้า ข้าจะยอมหลับตาข้างหนึ่งไว้ก็แล้วกัน!”
…
งานเลี้ยงวันเกิดยังคงดำเนินไป บรรยากาศครึกครื้นและเสียงดัง
ขณะซูอี้กลับมา เขาได้เห็นเหวินเส้าเป่ยและรุ่นเยาว์ของตระกูลเหวิน กำลังรายล้อมคนผู้หนึ่งราวดาวเคียงเดือน
กระทั่งเหวินหลิงเสวี่ยก็อยู่ในกลุ่มคน
ผู้ซึ่งถูกรายล้อมไว้คือเหวินเจวี๋ยหยวน เป็นบุตรของเหวินฉางจิ้งผู้นำตระกูล ผู้สำเร็จขอบเขตโคจรโลหิต และเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลเหวิน
แน่นอนว่า หากเทียบเปรียบหลี่โม่อวิ๋นแห่งตระกูลหลี่ ชื่อเสียงของเหวินเจวี๋ยหยวนยังคงด้อยกว่า
“พี่ซูกลับมาแล้ว” เมื่อเห็นซูอี้ หวงเฉียนจวินที่นั่งเพียงลำพังตรงโต๊ะ พลันลุกขึ้นพร้อมเผยยิ้มอบอุ่น
ซูอี้พยักหน้ารับ “งานเลี้ยงวันเกิดถือว่าเลยไปเกินครึ่งทางแล้ว ไฉนเจ้ายังไม่กลับอีก?”
หวงเฉียนจวินกล่าวคำกระดากใจ “พี่ซูยังไม่ไป เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุให้ข้าต้องกลับ ไม่ว่าด้วยอะไร ข้าจะอยู่กับท่านจนเลิกงาน!”
ซูอี้พ่นลมหายใจ มีหรือเขาไม่เห็นถึงความคิดของหวงเฉียนจวินและหวงอวิ๋นชงผู้เป็นบิดา?
มันไม่มีใดมากไปกว่า ‘ยินดีกลางงานโศก’ พบเห็นหายนะเมื่อวานเป็นโอกาส ฟื้นฟูความสัมพันธ์พลางเข้าใกล้ให้มากขึ้นเพื่อผลประโยชน์แก่ตนเอง!
“ซูอี้! พี่เจวี๋ยหยวนมีเรื่องคุยกับเจ้า รีบมากับข้าโดยเร็ว!”
ไม่ไกลนัก เหวินเส้าเป่ยปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ดวงตาอหังการ กล่าวด้วยถ้อยคำอันโผงผาง
ซูอี้เปรยสายตามองขึ้นใกล้เคียง พบเห็นเหวินเจวี๋ยหยวน ผู้ซึ่งถูกรายล้อมโดยกลุ่มคน สายตากำลังหันมองทางนี้อย่างหยิ่งยโส
ซูอี้เบนสายตากลับมาหาเหวินเส้าเป่ยที่อยู่ตรงหน้าอีกที ถ้อยคำกล่าวออกเฉยชายิ่ง “เจ้าจงกลับไปบอกว่าหากต้องการพูดคุยกับข้า ก็จงเดินมาหาข้าด้วยตนเอง”
ตั้งแต่มาถึงงานเลี้ยงวันเกิด ก็เป็นเหวินเส้าเป่ยที่กล่าวดูหมิ่น ซูอี้ผู้เป็นบุตรเขย ว่าไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมงานวันนี้
ถัดจากนั้น เหวินเส้าเป่ยยังฉวยโอกาสสร้างความเสื่อมเสียแก่เหวินฉางไท่ เป็นผลให้เหวินหลิงเสวี่ยต้องทุกข์ใจ
ขณะนี้ อีกฝ่ายถึงขั้นกระทำเป็นประหนึ่งหุ่นเชิดของเหวินเจวี๋ยหยวน!
ซูอี้ย่อมไม่คิดสุภาพด้วย เหวินเส้าเป่ยอย่างดีก็เป็นได้แค่คนเดินส่งสาร
“เจ้า…เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” เหวินเส้าเป่ยชะงัก บุตรเขยผู้นี้ถึงขั้นกล้ากระทำตนเช่นนี้ต่อหน้าเลยหรือ?
หวงเฉียนจวินเอ่ยขึ้นแทรกโดยทันที สายตาเผยซึ่งความรุนแรงกล่าวคำออกอย่างข่มขู่ “เจ้าดวงตามืดบอด หรือหูตึงกันแน่ ถึงขนาดไม่เข้าใจถ้อยคำมนุษย์?”
เหวินเส้าเป่ยร่างแข็งค้าง ใจพลันดิ่งฮวบ
ในเมืองกว่างหลิง หวงเฉียนจวินมีชื่อเสียงโด่งดังด้านนิสัยเสีย อวดดี อหังการ รวมถึงโหดเหี้ยม ในบรรดารุ่นเยาว์ด้วยกัน มีคนเพียงน้อยนิดที่ไร้ความกลัวเกรงต่อหวงเฉียนจวิน
เหวินเส้าเป่ยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เขากล้ำกลืนยากลำบาก กล่าวตอบเสียงเบา “พี่หวง เรื่องราวนี้ไม่เกี่ยว…”
หวงเฉียนจวินเอ่ยคำขัดขึ้นอย่างไม่พอใจ “หากไม่ใช่เพราะวันนี้คืองานเลี้ยงวันเกิดนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินของพวกเจ้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าพร้อมทุบตีเจ้าเสียที่นี่!”
เหวินเส้าเป่ยเผยสีหน้าเขียวคล้ำ เหงื่อกาฬไหลหลั่งท่วมหน้าผาก กระทั่งตัวแข็งค้าง
เมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่าย หวงเฉียนจวินก็กล่าวดูหมิ่นต่อเพิ่ม “สุนัขไร้ค่าแถมยังขลาดเขลาเช่นเจ้า หากภายหน้ายังอยากลอยหน้าในเมืองกว่างหลิงอย่างปลอดภัยก็จงเร่งรีบกลับไปบอกคนให้อาหารเจ้าได้แล้ว ให้มันมาที่นี่คุยกับพี่ซูของข้าด้วยตนเอง!”
เหวินเส้าเป่ยเร่งร้อนหนีหาย ราวกับได้รับคำอภัยโทษ
พบเห็นเรื่องราวเช่นนี้ ซูอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับตนเอง แน่นอนว่า คนโฉดชั่วย่อมต้องเจอคนที่โฉดชั่วยิ่งกว่า รุ่นเยาว์ของตระกูลเหวิน ค่อนข้างไร้ประโยชน์เช่นนี้นี่เอง!
“พี่ซู ขออย่าได้กล่าวโทษที่ข้าสร้างปัญหา ข้าเพียงไม่อาจนิ่งเฉย ทั้ง ๆ เป็นเพียงตัวตนเล็กจ้อยในตระกูลเหวิน แต่ถึงกับกล้าไร้ความเคารพต่อพี่ซู เรื่องนี้ข้าไม่อาจทนได้!”
ครั้งเผชิญหน้าซูอี้ หวงเฉียนจวินกลับกลายเป็นเชื่อฟัง แถมมีท่าทีนอบน้อมประจบสอพลอ
“เจ้านี่ช่างเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ดีนัก” ซูอี้เดาะลิ้นตนเอง
หวงเฉียนจวินคิดว่าคำถากถางนี้เป็นคำชมเชย ดังนั้นจึงหัวเราะตอบรับ
“ว่าอะไรนะ!? ซูอี้กล้าดีอย่างไรให้พี่เจวี๋ยหยวนไปพบมัน?”
“เหลือเชื่อนัก!”
…ไม่ไกลออกไป หลังจากเหวินเส้าเป่ยกลับไปแจ้งข่าว เสียงฮือฮาจึงดังขึ้นจากกลุ่มเด็กหนุ่มและเด็กสาวรอบกายเหวินเจวี๋ยหยวน พวกเขาทั้งประหลาดใจ รวมถึงไม่พอใจ
เหวินหลิงเสวี่ยอยู่ที่นี่เช่นกัน นางจึงลอบเร่งรีบวิ่งไปพบซูอี้
“พี่เขย แย่แล้ว เหวินเส้าเป่ยกำลังสร้างความบาดหมางระหว่างท่านกับพี่เจวี๋ยหยวน!”
เหวินหลิงเสวี่ยกล่าวคำรัวเร็ว ใบหน้าละเอียดอ่อนงดงามนั้นเผยอาการร้อนรน
“ครั้งนี้เจ้าเข้าใจเหวินเส้าเป่ยผิดไปแล้ว เขาพูดกล่าวความจริง ทั้งที่เหวินเจวี๋ยหยวนต้องการพูดคุยกับข้า แต่เขากลับต้องการให้ข้าเดินไปหาเขา ทั้ง ๆ ที่เขาควรจะเดินเข้ามาหาข้าเองจริงหรือไม่?” ซูอี้ยิ้มตอบรับ
หวงเฉียนจวินพยักหน้ารับเคียงข้าง “พี่ซูกล่าวได้ถูกต้องแล้ว!”
เหวินหลิงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะชะงักงัน นี่มันเรื่องราวใด?
ทันใดนั้นเอง
เหวินเจวี๋ยหยวนที่อยู่ไม่ไกลห่าง ขณะนี้ก้าวเท้ารัวเร็วเข้ามา ตามมาด้วยกลุ่มคนหนุ่มสาวจากตระกูลเหวิน สายตาแขกเหรื่อรอบด้านอดไม่ได้ที่จะหันมาให้ความสนใจ
“ไม่นึกเลยว่าเดี๋ยวนี้เจ้าจะอหังการ ทำตัวยโสโอหังมากขนาดนี้” เหวินเจวี๋ยหยวนยืนตรงหน้าซูอี้ คางเชิดเงยขึ้นเล็กน้อย สายตาทอประกายวาวโรจน์จับจ้อง
ภายในตระกูลเหวิน เขาคือผู้นำรุ่นเยาว์ ตลอดมาล้วนได้รับการตอบรับ
แต่กระนั้นบุตรเขยเช่นซูอี้ กลับปฏิเสธพบเจอเขาต่อหน้าผู้คน เรื่องนี้ทำให้เขาไม่ยินดี
“เหวินเจวี๋ยหยวน เจ้าเป็นผู้หาเรื่องก่อนไม่ใช่หรือไร?”
หวงเฉียนจวินแค่นเสียงเบา “ระยะทางไม่เกินสิบจั้ง กระนั้นเจ้ากลับให้เหวินเส้าเป่ยมาบอกข่าวคราวประหนึ่งสุนัขส่งสาร ทั้ง ๆ ที่สามารถเดินมาพูดกล่าวด้วยตนเองได้ ฮึ่ม! ช่างวางตัวใหญ่โตดีนัก”
วันนี้เขามาเป็นแขก ทั้งยังเป็นทายาทตรงของหวงอวิ๋นชง ต่อให้ระดับการบ่มเพาะด้อยกว่าเหวินเจวี๋ยหยวน ก็ไม่มีสิ่งใดต้องหวาดเกรง
เหวินเส้าเป่ยทั้งอับอายและกราดเกรี้ยว เขาถูกสบถเรียกหาเป็นสุนัขอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นต่อหน้าผู้คนมากมาย เรื่องนี้ทำเขาแทบคิดแทรกแผ่นดินหนีหาย
เหวินเจวี๋ยหยวนขมวดคิ้ว สายตามองหวงเฉียนจวินเย็นเยือก “นี่เป็นธุระของตระกูลเหวิน ทางที่ดีเจ้าอย่าได้แทรกแซง!”
สิ้นคำกล่าว สายตาเขาตวัดมองยังซูอี้ ถ้อยคำอันเฉยชากล่าวออก “อย่าได้กลัวเกรงไป ข้าไม่คิดรังแกคนไร้ค่าเช่นเจ้า ไม่เช่นนั้นเมื่อเรื่องราวแพร่ออกไป ตัวข้ามีแต่จะเสื่อมเสีย”
หลายคนรอบด้านอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“มีเรื่องคิดบอกกับข้าเท่านี้?” ซูอี้ใช้สองมือไพล่หลัง ท่าทีสงบตอบรับ
เหวินเจวี๋ยหยวนคิดอยู่ครู่ ก่อนจะเอ่ยคำต่อ “ข้าเพียงต้องการบอกกล่าว ว่างานเลี้ยงวันเกิดในวันนี้ เจ้าเมืองและผู้อื่นมาที่นี่เพราะเห็นแก่หลิงเจา แม้เจ้าเป็นสามีของหลิงเจา แต่กระนั้นก็เป็นได้เพียงแค่บุตรเขยแต่งเข้าบ้านอันไร้ค่า!”
ถ้อยคำเหล่านี้เป็นการดูหมิ่นอย่างรุนแรง ผู้อื่นตระกูลเหวินใกล้เคียงต่างหัวเราะกันออกมาเสียงดัง
บุตรเขยแต่งเข้าบ้าน ไม่ว่าที่ใดในต้าโจว ก็ไม่มีที่ยืนทั้งสิ้น!
เหวินเจวี๋ยหยวนย้ำเตือนเรื่องนี้ เทียบเท่าเป็นตัวแทนเสียงทั้งหมดของตระกูลเหวินกล่าวบอกออกมา
แต่แล้วเมื่อได้เห็นซูอี้ไม่แสดงท่าทางโกรธเกรี้ยวใด ๆ เลย เขาจึงเย้ยหยันต่อได้เพียงแค่การส่ายศีรษะ พร้อมส่งสายตาเวทนา
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” เป็นหวงเฉียนจวินที่อดไม่ได้จนต้องหัวเราะดังออกมา
เรื่องนี้ถือเป็นความขบขันอันยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาได้ยินในวันนี้!
ผู้อื่นไม่ทราบ แต่ไม่ใช่กับเขา ไม่ว่าฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่ รวมถึงหวงอวิ๋นชงผู้เป็นบิดาของตัวเขา มีหรือจะไม่ใช่มาวันนี้ก็เพราะซูอี้?
บรรดารุ่นเยาว์ของตระกูลเหวิน ช่างดวงตามืดบอด ต้องได้รับการชำระสักครา!
เหวินหลิงเสวี่ยเกิดกังวลและกราดเกรี้ยวในเวลาเดียวกัน นางวางแผนปกป้องซูอี้ กระนั้นหวงเฉียนจวินกลับหัวเราะจนเกินเลย กลายเป็นนางที่ประหลาดใจชนิดไม่ทันตั้งตัว
ไม่เพียงแต่นาง เหวินเจวี๋ยหยวนและคณะต่างสับสนเช่นกัน เรื่องราวนี้มีอะไรน่าขบขัน!?
หรือหวงเฉียนจวินเป็นบ้าไปแล้ว?
เหวินเจวี๋ยหยวนหันมองหวงเฉียนจวินอย่างนึกรำคาญ จากนั้นจึงหันกลับมองซูอี้ ถ้อยคำเย็นเยือกกล่าวออก
“ข้าขอเตือนเอาไว้อย่าง ภายหน้า หากเจ้ากล้าใช้นามหลิงเจากระทำการใดอันเสื่อมเสีย ประหนึ่งจิ้งจอกปลอมแปลงเป็นพยัคฆ์ ข้าจะไม่ละเว้นเจ้า!”
“จงจำเอาไว้ให้ขึ้นใจเจ้า!” เอ่ยคำจบ เขาจึงหันและกลับไป
ท่าทีเหยียดหยามและดูหมิ่นโถมเข้าใส่ซูอี้
เหล่าคนหนุ่มสาวตระกูลเหวินต่างเร่งรีบตามกลับไป
“พี่เจวี๋ยหยวนกระทำตัวเช่นนี้ ทำเอาข้าผิดหวังนัก…” เหวินหลิงเสวี่ยกัดริมฝีปากอวบอิ่มชมพูแดงของนาง ดวงตาอันงดงามแสดงถึงความผิดหวังอันเด่นชัด
ในอดีต นางเคยนับถือเหวินเจวี๋ยหยวน มองอีกฝ่ายเป็นพี่ชายคนหนึ่ง
แต่เรื่องที่นางพบเห็นเมื่อครู่ มันทำเหวินเจวี๋ยหยวนในความคิดของนางกลับกลายเป็นเลวร้าย
“มันเป็นเพียงความเขลาและมั่นใจเกินไปของคนหนุ่ม นี่ถือเป็นปัญหาปกติธรรมดาที่คนหนุ่มสาวพึงมี” ซูอี้กล่าวคำเสียงเบา
หวงเฉียนจวินผู้ยืนเคียงข้าง ชะงักงันแข็งค้างไปครู่ ความขมขื่นถึงกับบังเกิดขึ้นในใจ
ที่ภัตตาคารรวมเซียนเมื่อวานนี้ ไม่ใช่เขาหรือที่เป็น ‘คนหนุ่มโง่เขลาและมั่นใจเกินไป’ จนกระทั่งถูกซูอี้จัดการสะสาง กลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ขึ้นมา?
กระทั่งหวงอวิ๋นชงผู้เป็นบิดาของตัวเขายังถูกลากถ่วงลง เรื่องนี้ไม่ควรเลยเสียจริง!
“หลิงเสวี่ย มากับข้า” ทันใดนี้เอง ซูอี้หมดความสนใจจะอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดต่อไป เขาจึงคิดจะกลับแล้ว
“อื้ม!” เหวินหลิงเสวี่ยติดตามโดยพลัน นางกระทั่งรู้สึกว่างานเลี้ยงวันเกิดในวันนี้ช่างแสนน่าเบื่อ
“พ…พี่ซู ท่านจะกลับแล้วงั้นหรือ แล้ว…แล้วข้าเล่า?”
หวงเฉียนจวินอดไม่ได้ที่จะร่ำร้องในใจ สีหน้าเผยอาการโศกเศร้า
แต่ที่เขาไม่ทราบคือหวงอวิ๋นชงและเนี่ยเป่ยหู่ที่นั่งในโถงใหญ่ตระกูลเหวิน ขณะนี้พูดคุยต่อกันพลางหัวเราะ กระนั้นความจริงกลับให้ความสนใจทุกการกระทำของซูอี้ที่ภายนอกโถง
ยามได้ตระหนักว่าซูอี้คิดจะกลับแล้ว ทั้งสองพลันมองหน้ากันเอง ก่อนจะลุกขึ้นและกล่าวคำลา
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคร้านจะอยู่ต่อ เพราะไม่มีสิ่งใดให้รับชมฆ่าเวลาแล้ว…