บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 240 ปราณดาบพันจั้ง ทำให้คนทั้งโลกตกตะลึง
ตอนที่ 240: ปราณดาบพันจั้ง ทำให้คนทั้งโลกตกตะลึง
ฮวาหลิวเยว่ตกใจ
ในฐานะที่เป็นบุคคลทะเยอทะยานและทำเรื่องชั่วในโลกนี้ เขาเคยเจอเรื่องที่คาดไม่ถึงมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
ทว่าภาพที่อยู่ตรงหน้า มันกลับเหนือกว่าที่เขารู้ไปอีก ถึงขนาดที่แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
“เจ้า… ทำได้อย่างไรกัน?”
ฮวาหลิวเยว่ถามออกมาทันที
ซูอี้เอ่ย “ค่ายกลใหญ่ที่อยู่ตรงนั้น เจ้าสามารถใช้ได้ ข้าก็สามารถใช้ได้เหมือนกัน”
“เป็นไปไม่ได้!”
ฮวาหลินเยว่ขมวดคิ้ว “ค่ายกลต้องห้ามที่แปรสภาพจากแท่นบูชาทั้งหนึ่งร้อยแปดแท่นนี้ มีที่มาลึกลับยากจะคาดเดา ข้าใช้กำลังทั้งหมด ใช้เวลาสิบปีเต็ม ถึงได้หาวิธีใช้ค่ายกลนี้เจอ เจ้ามีการบำเพ็ญเพียงแค่ขอบเขตรวบรวมลมปราณเท่านั้น เหตุใดถึงทำได้ถึงขั้นนี้?”
น้ำเสียงมีความแปลกประหลาดใจไม่น้อย
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา พลางเอ่ย “เหตุใดข้าต้องบอกเจ้าด้วย?”
ในตอนที่กล่าว เขาก้าวเท้าลอยขึ้นไปในอากาศ ทั้งสิบนิ้วประหนึ่งลูบสายพิณ ปล่อยพลังโจมตีออกไปทีละครั้ง และโจมตีไปทางแท่นบูชาที่แตกต่างกัน
ทุกพลังนิ้วที่ปล่อยออกไป แท่นบูชานั้นก็เกิดสั่นไหวแปลกประหลาด ยันต์ลายเมฆที่ปรากฏออกมาอย่างคลุมเครือกลายเป็นติด ๆ หาย ๆ ไม่ชัดเจน
เมื่อสัมผัสได้ถึงภาพนี้ รูม่านตาของฮวาหลินเยว่ก็หดลง และรู้ถึงความผิดปกติ จึงจู่โจมทันที
เคร้ง!
ดาบไม้สีดำที่อยู่ในมือเขาส่งเสียงออกมา แทงออกไปติดต่อกันหลายสิบครั้ง
ทันใดนั้น ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏออกมาในอากาศทีละลูก ประหนึ่งมีทุกหนทุกแห่ง กดทับอยู่ในอากาศ และกดทับไปทางซูอี้พร้อมกัน
ทว่าซูอี้กลับไม่สนใจ ปล่อยพลังปราณผ่านนิ้ว ส่งพลังที่ราวกับปราณดาบกวาดออกไป โจมตีไปบนแท่นบูชาที่แตกต่างกัน
ภาพเหตุการณ์นั้น คล้ายกับผูกแหไปมา
และในระหว่างนั้น ภูเขาศักดิ์สิทธิ์หลายลูกนั้นยังไม่ทันได้เข้ามาใกล้ ก็กลายเป็นแสงควันกระจายเต็มท้องฟ้า
ฮวาหลินเยว่ทั้งประหลาดใจทั้งโมโห และยิ่งมิอาจสงบลงได้
สุดท้าย ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนั้นก็แตกกระจายหายไป ทำให้มู่ซีที่อยู่ในสถานการณ์ถูกปิดล้อม หลุดพ้นออกมาทันที
“สมควรตายนัก!”
ใบหน้าฮวาหลินเยว่เปลี่ยนไปอย่างขีดสุด
“ฝีมือมีแค่นี้รึ?”
ไม่ไกลนัก ซูอี้ที่ยืนอยู่กลางแท่นบูชา เอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
คำพูดนั้นธรรมดา ทว่าแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยัน
ใบหน้าที่ผอมแห้งของฮวาหลินเยว่แดงก่ำ พลันใช้ดาบไม้สีดำกวัดแกว่งออกไปติดต่อกันหลายสิบครั้งทันที
ทว่ามันกลับเกิดภาพที่ทำให้รู้สึกเก้อเขินขึ้น
เมื่อฮวาหลินเยว่กวัดแกว่งดาบไม้สีดำในมือติดต่อกัน แท่นบูชาทั้งหนึ่งร้อยแปดแท่นกลับไม่ขยับ และไม่มีการตอบสนองเลยสักนิด…
ถึงขนาดทำให้การตวัดดาบครั้งนี้ ดูขบขันเป็นอย่างมาก
มู่ซีหัวเราะเยาะเย้ยออกมา หัวเราะจนน้ำตาเกือบไหลลงมา “ไอหยา หากผู้คนได้เห็นฮวาหลินเยว่แสนชั่วช้าที่มักทำเรื่องสะเทือนขวัญไปทั่วหล้า แสดงท่าทางตลกขบขันเช่นนี้ จะคิดอย่างไรนะ?”
สีหน้าฮวาหลินเยว่เปลี่ยนเป็นสีเขียว
เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ ภายในใจนั้นโมโหเป็นอย่างมาก และมิอาจสงบใจลงได้
“ถอย!”
ฮวาหลินเยว่หมุนตัว หมายหลบหนีไป
แม้จะเตือนผู้คุมศพที่อยู่ไกลแล้ว ทว่าเขาก็ไม่มีเวลาสนใจผู้คุมศพ ร่างเขาพุ่งไปในอากาศ รวดเร็วปานสายฟ้า หลบหนีไปอย่างไร้ร่องลอย มิอาจเยิ่นเย้ออืดอาดได้
สิ่งนี้ทำให้มู่ซีตกใจ ยากที่จะเชื่อ ชายผู้ทำเรื่องชั่วร้ายที่เคยเคียงบ่าเคียงไหล่กับราชครูหงเซินชาง ปอดแหกเพียงนี้เลยหือ?
ซูอี้ยิ้มเยาะพลางส่ายหน้า “จะหนีพ้นรึ?”
พร้อมกันนั้นเท้าเขาก็ออกแรง แท่นบูชาที่อยู่ใต้ร่างแผดเสียงทันที
จากนั้น แท่นบูชาอื่น ๆ ที่อยู่บริเวณใกล้ ๆ ก็เหมือนกับตื่นขึ้นมาจากนิทราอันยาวนาน
แท่นบูชาทุกแท่น ต่างก็ปล่อยสายรุ้งสีแดงโชติช่วงออกมาพุ่งทะลุชั้นเมฆ สว่างไสวไปทั่วภูเขาและแม่น้ำ
หากมองอย่างละเอียด แท่นบูชาทุกแท่นที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างปรากฏลวดลายยันต์ที่ลึกลับยากจะคาดเดาออกมา มีทั้งปราชญ์ไล่ตามตะวัน เซียนและมารทำสงครามกัน เผ่าพันธุ์นับหมื่นต่างโต้แย้งกัน…
โลกใบนี้ ถูกปกคลุมไปด้วยลมปราณที่ยิ่งใหญ่ ศักดิ์สิทธิ์ และกว้างใหญ่ มีเสียงกระดิ่งดังขึ้นมาอย่างคลุมเครือ มีเสียงฌานดุจเสียงของธรรมชาติดังลอยไปมา…
ภาพที่ตื่นตะลึงนี้ ทำให้มู่ซีสั่นสะเทือนอยู่ตรงนั้น และจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ช่างน่าหวาดกลัวนัก!
เมื่อนำมาเทียบกันแล้ว ภูเขาศักดิ์สิทธิ์หลายลูกที่ฮวาหลิวเยว่ใช้เมื่อครู่นั้น ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
หรือว่านี่จะเป็นโฉมหน้าเดิมของค่ายกลต้องห้ามนี้?
“ไป!”
เห็นซูอี้ยื่นมือออกไป ห่างจากอากาศเล็กน้อย
ชิ้ง!
ในอากาศที่ว่างเปล่านั้น ยันต์นับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน แปรเปลี่ยนเป็นดาบยาวสูงพันจั้ง สูงขึ้นไปบนฟ้า และกวาดออกไปไกล
ชั่วพริบตานั้น ราวกับดาบตัดสวรรค์ได้ถือกำเนิดขึ้น สว่างแพรวพราวไปทั้งสวรรค์เก้าชั้น หาที่สิ้นสุดมิได้
เพียงแค่ลมปราณนั้นก็ทำให้มู่ซีขนลุกไปทั้งร่าง รู้สึกขนลุกขนพอง และหายใจติดขัด
ในขณะเดียวกันนี้เอง ห่างออกไปหลายลี้ ฮวาหลิวเยว่ที่ใช้กำลังทั้งหมดในการหลบหนีก็รู้สึกใจหวิว พลันเงยหน้าขึ้น และเห็น…
ปราณดาบที่วูบวาบมากมายพุ่งเข้ามา ทลายชั้นเมฆสีเลือดที่ทับซ้อนกัน ตวัดฟันลงมาด้วยพลังน่าเกรงขามที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้
ประหนึ่งดาบของเซียน กวัดแกว่งโจมตีโลกมนุษย์!
“ไม่!”
ฮวาหลิวเยว่ร้องตะโกนออกมาประหนึ่งเป็นโรคประสาท นำดาบไม้สีดำที่อยู่ในมือขวางหน้าตัวเองไว้
ตูม!
พริบตาต่อมา ร่างเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยปราณดาบที่คมกริบกว้างขวางไร้สิ้นสุด ร่างกายและจิตวิญญาณกลายเป็นขี้เถ้าสูญสลายไป
เมื่อทั้งหมดเงียบสงัดแล้ว ก็เห็นบนพื้นมีรอยแตกยาวที่สูงสิบจั้งหนึ่งรอย เปิดภูเขาทลายหิน โดดเด่นจนน่าตกใจ!
บนแท่นบูชา ซูอี้ละสายตาและเอ่ยขึ้น “นี่ถึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริงของค่ายกลนี้”
แผ่นหลังของมู่ซีเต็มไปด้วยเหงื่อ เสื้อคลุมส่วนบนเปียกโชก และสูดไอเย็นเข้าไปไม่หยุด
เมื่อหันกลับไปมองซูอี้อีกครั้ง สายตาของเขาก็เปลี่ยนไป มีความตกตะลึง มีความตกใจ และมีความห่อเหี่ยวใจมาก
นี่คือพลังที่ชายหนุ่มขอบเขตรวบรวมลมปราณควรจะมีรึ?!
ไม่รอให้เขาได้สติกลับมาจากการตกใจ ซูอี้ก็เอ่ยสั่ง “ช่วยข้าอย่างหนึ่ง ไปเก็บดาบไม้ของชายแก่นั่นกลับมาให้ขาที”
“เอ่อ…” มู่ซีตกใจครู่หนึ่ง พลางชี้นิ้วไปที่จมูกตัวเอง “ข้ารึ?”
ซูอี้พยักหน้า “นอกจากเจ้า ยังมีใครอีกล่ะ?”
มู่ซีรู้สึกประหลาดใจ ในตอนที่ชายหนุ่มนี้เรียกใช้คน เหตุใดถึงได้เป็นธรรมชาติเช่นนี้?
เพียงแต่… เมื่อนึกถึงความสามารถของดาบที่ยอดเยี่ยมนั่น มู่ซีก็อดกลั้นความไม่สบายใจเอาไว้ พลางหมุนตัวเดินออกไป
สายตาของซูอี้มองไปทางผู้คุมศพที่อยู่ไกล ๆ
ปรมาจารย์ขั้นสี่ที่สวมชุดคลุมเขียว ใบหน้าที่แคบยาว น้ำเสียงแหลมเล็กหนวกหูผู้หนึ่ง ในยามนี้ตกใจจนเหงื่อไหลท่วมออกมา ขาทั้งสองสั่นเทา และจิตวิญญาณเกือบออกจากร่าง
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของซูอี้ที่มองมา เขาก็ตัวสั่นไปทั่วร่าง เข่าทั้งสองอ่อนแรง เกือบจะล้มอยู่ตรงนั้น
“ข้าให้ทางเลือกหนึ่งแก่เจ้า”
ซูอี้ชี้ไปที่รอยแยกขนาดใหญ่บนพื้น และเอ่ยอย่างธรรมดา “จะกระโดดลงไป หรือว่าตาย”
รอยแยกนั้นลึกจนมิอาจคาดเดา มีปราณโลหิตชั่วร้ายพุ่งออกมาไม่ขาดสาย ลึกลับและแปลกประหลาดมาก
อีกทั้ง รอยแยกทั้งสองด้าน มีแท่นบูชาลึกลับทั้งหนึ่งร้อยแปดแท่นตั้งตระหง่านอยู่ ก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดใหญ่น่าหวาดกลัวทรงพลังและมิอาจคาดเดาได้
กล่าวได้ว่า เรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในหุบเขามารบุปผาโลหิต ล้วนเกี่ยวข้องกับรอยแยกขนาดใหญ่นี้
เพียงแค่ แม้แต่ผู้คุมศพก็ยังไม่รู้ ว่าข้างใต้รอยแยกนั่นมีสิ่งใดซ่อนอยู่กันแน่
เมื่อได้ยินคำพูดของซูอี้ สีหน้าเขาก็เกิดความลังเลขึ้นมา และส่งเสียงคำรามลอดไรฟันออกมาทันที พลันกระโจนเข้าไปภายในรอยแยกขนาดใหญ่นั่น ไม่นานเขาก็หายสาบสูญไป
ซูอี้ตกใจไปครู่หนึ่ง สายตามองเข้าไปในส่วนลึกของรอยแยกขนาดใหญ่นั่น ตกอยู่ในความคิด
ในตอนนี้เอง เมื่อไม่มีการโจมตีของพลังเก้าวังคุมขังมารแล้ว หนิงซือฮวา เชินจิ่วซง พวกเขาก็ฟื้นขึ้นมา แต่ละคนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ผูอี้ เจียงถานอวิ๋น หลูฉางเฟิง พวกเขาก็หอบหายใจแรง บนใบหน้ายังเหลือความรู้สึกหวาดผวาอยู่ ก่อนเกิดความรู้สึกใจหายในภายหลัง
“โชคดีที่ครั้งนี้มีสหายเต๋าช่วยเหลือ”
หนิงซือฮวาเดินไปข้างหน้า ทำความเคารพไปทางซูอี้เล็กน้อย ระหว่างคิ้วที่โค้งมนงดงาม มีความเคารพและความตกใจแฝงอยู่
เชินจิ่วซงเองก็รีบเร่งเดินขึ้นมา ก้มตัวทำความเคารพ “ขอบคุณคุณชายที่ช่วยชีวิต!”
ก่อนหน้านี้ แม้จิตวิญญาณจะได้รับการโจมตี ทว่าไม่ส่งผลต่อการสังเกตการต่อสู้ทั้งหมด
จึงได้เห็นซูอี้แสดงอานุภาพอย่างไร ถึงกวาดล้างศัตรูทั้งหมดได้
สายตาของซูอี้ยังคงจ้องมองข้างใต้รอยแยกนั้นอยู่ พลางเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าควรไปพักกันก่อน”
หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงต่างก็พยักหน้า
ในเวลานี้เอง รองเจ้าตำหนักซิงหยาผูอี้ ก็ทำความเคารพอย่างสุดซึ้ง เอ่ยกล่าวด้วยความขอบคุณ “โชคดีที่ครั้งนี้ได้คุณชายซูออกโรงช่วยเหลือ พลิกสถานการณ์ได้ และช่วยชีวิตในครานี้ ผูผู้นี้จะไม่มีวันลืม!”
ซูอี้แค่ส่งเสียงอืมออกมา และไม่เก็บมาใส่ใจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจียงถานอวิ๋นและหลูฉางเฟิงเหลือบมองหน้ากัน ลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เดินขึ้นมาคำนับขอบคุณพร้อมกัน
“ก่อนหน้านี้ เป็นพวกข้าสองคนที่มีตาหามีแววไม่ ได้ดูแคลนคุณชายซู และคุณชายซูได้เพิกเฉย แถมยังออกโรงช่วยเหลือ เพื่อคลี่คลายภัยร้ายให้แก่พวกเรา ยิ่งทำให้พวกเราทั้งสองรู้สึกอับอาย และละอายใจเป็นอย่างยิ่ง”
ใบหน้าเจียงถานอวิ๋นและหลูฉางเฟิงเต็มไปด้วยความรู้สึกอับอายขายหน้า พลางก้มหน้า มิกล้ามองซูอี้
ระหว่างทางก่อนหน้านี้ อคติของทั้งสองที่มีต่อซูอี้นั้นแย่มาก และยังเอ่ยคำเย้ยหยันออกมาอีก
ทว่าตอนนี้ เมื่อเห็นภาพที่ซูอี้สังหารกลุ่มผู้มีฝีมือของพรรคมารหยิน พวกเขาจะกล้าดูแคลนได้อย่างไรอีก?
ท่านมิเห็นรึ ขนาดผู้ที่แข็งแกร่งอย่างปีศาจเฒ่าฮวาหลิวเยว่ ก็ไม่อาจเทียบได้กับพลังของดาบนี้?
โดยเฉพาะตอนที่ซูอี้ควบคุมค่ายกลต้องห้าม ท่าทางพลิกฟ้าคว้าฝนในระหว่างที่พูดคุยหัวเราะนั้น ทำให้บุคคลที่มาจากตำหนักคงต้งอย่างพวกเขาทั้งสอง ล้วนสั่นสะท้านและเสียสติไป
สรุปแล้ว แม้แต่พวกเขาก็ไม่นึกว่า ชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ เหตุใดถึงมีความสามารถงดงามโดดเด่นเช่นนี้
“ข้าจะเอาความพวกเจ้าได้อย่างไร”
ซูอี้ส่ายหน้าครู่หนึ่ง
เขาไม่ได้ใส่ใจการดูถูกของเจียงถานอวิ๋นและหลูฉางเฟิงตั้งแต่เริ่มแล้ว ส่วนความรู้สึกขอบคุณของอีกฝ่าย ซูอี้ก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะการลงมือในครานี้ เขาไม่ได้ต้องการพิสูจน์อะไร
เมื่อเห็นว่าซูอี้ไม่เอาความเรื่องก่อนหน้านี้ เจียงถานอวิ๋นและหลูฉางเฟิงก็โล่งอกเป็นอย่างมาก ทว่าพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขื่นขม
พวกเขาจะไม่รู้สึกถึงท่าทางที่เย็นชาและห่างเหินของซูอี้ได้อย่างไร?
“คุณชายซู นี่คือดาบไม้ที่เจ้าต้องการ”
ในตอนนั้นเอง มู่ซีก็นำดาบไม้สีดำดั่งหมึกกลับมา ส่งให้กับซูอี้
“เจ้าว่าดาบนี้เป็นอย่างไร?”
ซูอี้นำดาบนี้มาถือไว้ในมือ พลางเอ่ยถามทันที
มู่ซีตกใจครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงลุ่มลึก “ดาบนี้เป็นของล้ำค่าหายากชิ้นหนึ่ง ลมปราณเลือนราง ไม่ธรรมดานัก ส่วนตัวดาบซ่อนความลับอันใดไว้ ข้าก็มิอาจรู้ได้”
ก่อนหน้านี้ ฮวาหลิวเยว่อาศัยดาบเล่มนี้ใช้พลังของแท่นบูชาทั้งหนึ่งร้อยแปดแท่น แปรเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์โจมตี อานุภาพนั้นมากมายนัก
และเมื่อครู่นี้ ซูอี้กวัดแกว่งปราณดาบพันจั้งที่น่าหวาดกลัวนั้นออกไป ทำให้บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อย่างฮวาหลิวเยว่กลายเป็นขี้เถ้าสลายหายไปทันที ทว่าดาบไม้เล่มนี้กลับไม่บุบสลาย เห็นได้ชัดว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก
ในตอนที่มู่ซีเก็บดาบนี้ขึ้นมา เขาก็เคยเพ่งมองอย่างละเอียด ทว่ากลับเพียงค้นพบว่าดาบนี้หนักมาก หากแต่มองไม่ออกว่าใช้วัสดุอะไรในการหลอมขึ้นมา
ทว่าตัวดาบที่แผ่ลมปราณเลือนรางออกมา กลับมีลักษณะที่พิกล จึงทำให้ในตอนที่เขาเพ่งมองอย่างละเอียด พลันเกิดความตื่นตระหนกขึ้นมา
เมื่อเห็นซูอี้สำรวจดาบไม้ที่ถืออยู่ครู่หนึ่ง ถึงได้เอ่ยขึ้น “เจ้ามองไม่ออกก็ถูกต้องแล้ว เพราะโครงดาบนี้ยังมิได้หลอมเป็นดาบที่แท้จริง”