บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 242 ร่างดักแด้
ตอนที่ 242: ร่างดักแด้
สิ่งนี้อาจจะเป็น…
สภาพอากาศที่ผิดแปลก ผนวกกับเสียงเช่นนี้…
ซูอี้ตกตะลึง
เป็นไปได้หรือไม่ว่า… ดินแดนใต้พิภพแห่งนี้จะเชื่อมไปยังมิติอื่น?
ขณะที่นึกถึงเรื่องนี้หนิงซือฮวาและมู่ซีก็มาถึงแล้ว
“ไป”
ซูอี้พลันเดินไปที่ต้นกำเนิดเสียงโดยมิได้อธิบายอะไรให้มากความ
หนิงซือฮวาและมู่ซีตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนคนทั้งสองจะติดตามเขาไป
อากาศปกคลุมไปด้วยหมอกโลหิต มีโขดหินแปลกประหลาดมากมายเต็มไปหมด โลกใต้พิภพแห่งนี้ดูเงียบเชียบและมืดมน มีเพียงเสียงของสายน้ำที่ไหลเชี่ยวเท่านั้นซึ่งดังขึ้นทุกชั่วขณะ
ระหว่างทาง หนิงซือฮวาและมู่ซีพลันตระหนักว่าซูอี้กำลังไปยังที่มาของเสียงต้นกำเนิดน้ำ!
“ดูเหมือนว่าจะเป็น…”
หนิงซือฮวาครุ่นคิด
“ไม่ใช่ดูเหมือน แต่ใช่แน่นอน”
มู่ซีแย้งออกมาโดยไม่ต้องคิด
หนิงซือฮวาเหลือบมองไปยังราชาต่างสกุลผู้นี้ พลางกล่าวว่า “ราชาสะกดขุนเขา ท่านคล้ายจะรู้เรื่องมากมายทีเดียว”
มู่ซียิ้มเล็กน้อยพร้อมเอ่ยถามกลับ “แล้วเจ้ากับคุณชายซูเล่า?”
หนิงซือฮวาส่ายหัว กล่าวว่า “ข้าจะไปเปรียบเทียบกับสหายเต๋าซูได้อย่างไรเล่า ต่อหน้าเขา ข้าคล้ายเพิ่งจะเข้าใจว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างเม็ดดินและจันทราบนท้องนภา”
มู่ซีตกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปยังแผ่นหลังของซูอี้ซึ่งนำอยู่ข้างหน้าและเงียบงันไป
หลังจากผ่านไปนาน เขาก็กล่าวเบา ๆ “ข้าได้ยินมาว่าบนเส้นทางแห่งการฝึกบำเพ็ญ ไม่อาจสร้างขึ้นในชั่วข้ามคืน มันขึ้นอยู่กับว่าในท้ายที่สุดผู้ใดจะสามารถไปได้ไกลและสูงกว่า”
ดวงตาของหนิงซือฮวาแสดงความแปลกใจเล็กน้อย
นางจะไม่เข้าใจความหมายมู่ซีได้อย่างไรกัน?
นี่เท่ากับยอมรับว่าตอนนี้ตัวนางเองดีไม่เท่าซูอี้!
หนิงซือฮวากล่าวอีก “การมีความทะเยอทะยานสูงเป็นสิ่งที่ดี ข้าจะตั้งตาวันนั้นของราชาสะกดขุนเขา”
มู่ซียิ้มและไม่พูดอะไรอีก
“พวกเจ้าดูนั่น”
ทันใดนั้น ซูอี้ที่ยืนอยู่หน้าพวกเขามองทอดยาวออกไป
เห็นดังนั้นหนิงซือฮวาและมู่ซีจึงเงยหน้าขึ้นมองตาม
ในระยะไกลสุดลูกหูลูกตา มีกระแสน้ำวนสีโลหิตขนาดมหึมาปรากฏอยู่ มันมีขนาดหลายพันจั้ง เมื่อมันหมุนอย่างช้า ๆ ก็ทำให้เกิดกระแสเลือดไหลวน
เมื่อมองจากระยะไกล มันดูคล้ายปากเปื้อนเลือดที่อ้ากว้าง พยายามจะเขมือบกลืนกินทุกสิ่ง!
หนิงซือฮวาและมู่ซีหน้าเปลี่ยนสี “สิ่งนี้คือผนังกั้นมิติ?”
ซูอี้พยักหน้า กล่าวว่า “ตามสถานการณ์แล้ว มันควรจะเป็นเช่นนั้น”
ในโลกแห่งการฝึกฝน ที่ใดก็ตามที่มีผนังกั้นมิติหมายความว่าอีกด้านหนึ่ง ย่อมมีการดำรงอยู่ของอีกดินแดน!
แต่ขณะนี้ผนังกั้นมิติที่มีขนาดหลายพันจั้งได้กลายเป็นกระแสน้ำวน ถูกซ่อนไว้ในส่วนลึกของหุบเขามารบุปผาโลหิต
นี่หมายความว่าหากผ่านเข้าไป ปลายทางของมันคือดินแดนอื่น?
ดินแดนอื่น?
นี่คือสิ่งที่ทำให้หนิงซือฮวาและมู่ซีประหลาดใจ
“นั่นใคร!?”
ทันใดนั้น มีเสียงเย็นเยียบมาจากด้านล่างของกระแสน้ำวนสีโลหิตขนาดใหญ่
ซูอี้ไม่มีท่าทีหลบเลี่ยง เขาเอามือไพล่หลังแล้วเดินตรงไป
หนิงซือฮวาและมู่ซีเริ่มระแวดระวัง ขณะนี้นางถือดาบสีแดงสด ส่วนมู่ซีกำหอกสีทองไว้แน่น
พวกเขาพร้อมรบเต็มรูปแบบ
เมื่อเข้าใกล้ ทัศนวิสัยก็ชัดเจนขึ้นในทันใด จึงแลเห็นพื้นที่ราบกว้างใหญ่คล้ายกับสถานที่ประกอบพิธีกรรมใต้กระแสน้ำวนสีโลหิตชัดถนัดตา
ตรงกลางมีแท่นบูชา และที่อยู่เหนือแท่นบูชามีลูกบอลแสงขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยหมอกสีดำราวกับรังไหมสีดำขนาดยักษ์
ด้านหน้าแท่นบูชา มีสองร่างยืนอยู่
คนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเขียว มีหน้ายาว แคบ และเบ้าตาลึกโบ๋ นี่คือจงเหยา ผู้ควบคุมซากศพ
อีกคนเป็นหญิงสาวที่รอบตัวปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ
รูปร่างของนางสง่างาม บนใบหน้ามีหน้ากากทองสัมฤทธิ์ที่แกะสลักด้วยลวดลายแปลกประหลาด ในมือขวาถือตะเกียงรูปร่างคล้ายดอกบัวสีขาวราวกับหยก
ข้างหน้านางมีสุนัขขนาดยักษ์สีดำนั่งยอง ๆ มีสามหัวและมีดวงตาหกดวง ดวงตาของมันลุกโชนราวกับจะแผดเผา เปล่งไอที่ดุร้ายออกมา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้จึงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย
รูม่านตาของหนิงซือฮวาหดแคบลง สายตาของนางจับจ้องไปที่ตะเกียง ก่อนจ้องไปยังหญิงสาวสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์ลวดลายแปลกประหลาดตรงหน้า
หญิงผู้นี้… ดูร้ายกาจเสียจริง!
“ไอ้สารเลวนี่ยังไม่ตาย…”
เมื่อเห็นผู้ควบคุมซากศพ มู่ซีก็รู้สึกประหลาดใจ
แท่นบูชาลึกลับ ลูกบอลแสงที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ หญิงสาวที่ปิดบังใบหน้า และสุนัขสามหัวที่ดุร้าย สิ่งเหล่านี้นับว่าผิดปกติยิ่ง!
“สตรีศักดิ์สิทธิ์ คนผู้นั้นเป็นคนสังหารรองประมุขพรรค!”
เมื่อเห็นซูอี้ ผู้ควบคุมซากศพพลันพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา ตัวสั่นไปทั้งตัว และความกลัวก็ถูกเขียนไว้บนหว่างคิ้วของเขา
สตรีศักดิ์สิทธิ์?
เสียงนี้ทำให้ทั้งหนิงซือฮวาและมู่ซีต่างขมวดคิ้ว เหตุใดจึงยังมีตัวตนอย่าง ‘สตรีศักดิ์สิทธิ์’ อยู่ในพรรคมารหยินกัน?
“พวกเจ้าไปเสีย นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าควรอยู่”
หญิงสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์ที่มีลวดลายแปลกประหลาดกล่าว น้ำเสียงของนางทุ้มต่ำและชัดเจน ราวกับลมอันหนาวเหน็บ
ดวงตาของนางลึกและเฉยเมย อาบด้วยไอสีม่วง จับจ้องไปยังซูอี้อย่างไร้อารมณ์
ซูอี้เพิกเฉยต่อคำดังกล่าว เขามองไปยังบอลแสงสีดำขนาดใหญ่ซึ่งแขวนอยู่บนแท่นบูชาจากระยะไกล กล่าวอย่างครุ่นคิด…
“ถ้าจำไม่ผิด นี่น่าจะเป็น ‘ร่างดักแด้’ สำหรับข้ามผ่านมายังดินแดนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของผนังกั้นมิติ เพื่อให้เหล่าผู้ฝึกฝนบำเพ็ญสามารถใช้เป็นสะพานเชื่อมจิตวิญญาณ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ผู้ควบคุมซากศพเอ่ยถาม และทันทีที่พูดออกมา เขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวน่าเกลียด
“ข้ารู้ได้อย่างไร?”
ซูอี้เยาะเย้ย “ถ้าไม่เห็นแม้แต่กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ ซูผู้นี้จะฝึกฝนมหาวิถีใดได้อีก”
คำพูดเต็มไปด้วยความรังเกียจ
พลังของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิที่แท้จริงสามารถฉีกผนังกั้นมิติได้โดยง่ายด้วยมือเปล่า โดยไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้มากความ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง คนที่ใช้ ‘ร่างดักแด้’ เป็นสื่อกลางในการข้ามพรมแดน แน่ชัดว่าไม่ใช่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ!!
ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ร่างดักแด้เพื่อข้ามดินแดน ร่างกายจะไม่สามารถข้ามไปได้ มีเพียงจิตวิญญาณเท่านั้นที่จะสามารถส่งไปกับ ‘ร่างดักแด้’ ได้
และหากต้องการเข้าครอบครองร่างดักแด้ ก็จำเป็นต้อง ‘ช่วงชิง’ ร่างกายเท่านั้น
ซึ่งหากร่างกายที่ช่วงชิงไปนั้นไม่แข็งแรงพอและขาดคุณสมบัติ ต่อให้เอาตัวรอดในดินแดนนี้ได้สำเร็จ ทว่าก็จะอ่อนแอลงอย่างมาก และเป็นไปได้สูงว่าจะไม่สามารถอยู่ได้นาน…
นี่คือข้อเสียของการใช้ ‘ร่างดักแด้’ ข้ามดินแดน มันยุ่งยากเกินไป และอาจมีสถานการณ์อื่นที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
“เมื่อเจ้าเห็นสิ่งนี้ เจ้าควรจะรู้ชัดเจนแล้วว่าการอยู่ที่นี่จะเป็นหายนะมากกว่าพร”
หญิงสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์กล่าวอย่างเฉยเมย “เมื่อปลุกผู้ยิ่งใหญ่ในร่างดักแด้แล้ว ถ้าหากพวกเจ้าต้องการจะจากไป เกรงว่าจะสายเกินไป”
ซูอี้หัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็อยากจะรู้จริง ๆ ว่าเจ้าสองคนทำไมถึงอยู่ที่นี่ได้”
หนิงซือฮวาและมู่ซีมองหน้ากัน ทั้งคู่เลือกที่จะรอฟัง
ในทางกลับกัน ซูอี้เดินไปทางลานประกอบพิธีกรรมด้วยท่าทางสงบราวกับกำลังเดินทอดน่องอยู่ในลานบ้าน
“นี่เจ้า…”
ผู้ควบคุมซากศพตื่นตระหนก มองไปยังหญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ โดยไม่รู้ตัว “ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ รอไม่ได้แล้ว”
“ข้ารู้”
เมื่อหญิงสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์พูด ทันใดนั้นนางก็ยกตะเกียงดอกบัวในมือขึ้น
ในเวลานี้ จู่ ๆ ตะเกียงก็ปล่อยแสงสีดำ ราวกับสุริยันทมิฬปรากฏขึ้นในทันทีทันใด แสงสลัวกระจายไปในสิบทิศทาง
วู~~ วู~~
มีเสียงคล้ายภูตผีคร่ำครวญและเสียงหมาป่าเห่าหอน รัศมีสีดำปกคลุมไปทั่วแผ่นดิน ดูคล้ายกับประตูนรกได้เปิดออก วิญญาณชั่วร้ายหลั่งไหลออกมานับไม่ถ้วน พวกมันทั้งหมดต่างบ้าคลั่งและพุ่งไปทางซูอี้
ราวกับกองทัพปีศาจทะลวงฟ้า!
รับชมดังนั้นทั้งหนิงซือฮวาและมู่ซีรู้สึกชาที่หนังศีรษะ ท่าทีของพวกเขาเปลี่ยนไปในทันใด
พลังของวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นอาจไม่แข็งแกร่งนัก แต่พวกมันมีมากเกินไป!
ใครเห็นก็ต้องหวั่นเกรง!