บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 243 ภายใต้ดาบเดียว
ตอนที่ 243: ภายใต้ดาบเดียว
ตอนที่ 243: ภายใต้ดาบเดียว
เสียงคำรามที่แสบแก้วหูดังขึ้น
พลังหยินแผ่กระจายไปทั่ว วิญญาณชั่วร้ายหลายพันดวงเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ดูน่าสะพรึงกลัว ราวกับกองทัพจากนรกที่พร้อมจะบุกถล่มทั่วดินแดน
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้หนิงซือฮวาและมู่ซีรู้สึกหวาดกลัวจับใจ
เมื่อผู้ควบคุมซากศพที่อยู่ไกลออกไปเห็นเช่นนี้ เขาก็อดตกใจไม่ได้
นี่คืออำนาจทรงพลังที่ ‘สตรีศักดิ์สิทธิ์’ ครอบครองหรือ?
น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว!
หากกองทัพวิญญาณชั่วร้ายปรากฏขึ้นในดินแดนข้างบน มันย่อมเพียงพอที่จะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตทั้งดินแดนได้!
“ใช้ตะเกียงเรียกวิญญาณ?” ดวงตาของซูอี้หรี่แคบลง
นี่คือพลังอำนาจที่มีแต่ปีศาจงูในดินแดนแห่งความมืดมิดเท่านั้นที่สามารถควบคุมได้
เผ่าพันธ์นี้เป็นที่รู้จักในนาม ‘ผู้ถือโคมไฟ’ เป็นสายเลือดที่มีพลังซึ่งสามารถเรียกและควบคุมภูตผีและวิญญาณชั่วร้ายได้!
ในเก้ามหาดินแดน ปีศาจงูได้รับการยกย่องจากผู้ฝึกผีให้เป็นหนึ่งใน ‘เก้าราชวงศ์ใต้พิภพ’ เช่นเดียวกับตระกูลชั้นนำในเผ่าพันธุ์มนุษย์ สถานะของพวกเขาสูงส่งและมีเกียรติอย่างยิ่ง
ทว่าซูอี้ไม่ได้คาดหวังว่าในดินแดนต้าโจวนี้ จะมีโอกาสได้เห็นพลังของเผ่าปีศาจงู
“น่าเสียดาย แม้จะใช้ตะเกียงควบคุมวิญญาณชั่วร้ายได้ ทว่าหากเปลี่ยนผู้รับมือกับสิ่งนี้เป็นตัวตนในวิถีต้นกำเนิด ย่อมสามารถทำลายได้โดยง่าย” ซูอี้ส่ายหัวเล็กน้อย
แขนเสื้อของเขาพลิ้วไสว มือกำแน่น และทันใดนั้นในความว่างเปล่าก็พลันเกิดการเปลี่ยนแปลง
ฮึ่ม!
เมื่อพลังลึกลับรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน แท่นบูชาทั้งร้อยแปดเหนือโลกใต้พิภพก็แผดเสียงคำราม ส่งคลื่นแสงลวดลายเมฆาปรากฏออกมา
เชินจิ่วซง ผูอี้ และคนอื่น ๆ ที่กำลังพูดคุยกัน อดไม่ได้ที่จะตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างหันมองหน้ากัน
นี่ใช่ฝีมือของคุณชายซูหรือไม่?
ฟึ่บ!
เวลาเดียวกันในโลกใต้พิภพ พลังต้องห้ามที่มองไม่เห็นได้ถูกดึงเข้ามาสู่ปลายนิ้วของซูอี้
“ไป”
พลังที่ปลายนิ้วของซูอี้ค่อย ๆ ขยับ
พลังลึกลับของดาบพันจั้งลอยล่องไปบนท้องฟ้า สว่างราวกับดวงดาวที่พร่างพราว
ในขณะนั้น โลกใต้พิภพอันมืดมิดพลันสว่างไสวราวกับเวลากลางวันในทันใด
และเมื่อดาบเล่มนี้วาดออกไป พลังที่ไร้ขอบเขตพลันปะทุขึ้นอย่างรุนแรงราวกับเกิดแผ่นดินถล่มและคลื่นซัดโหม วิญญาณชั่วร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนต่างกรีดร้องเสียงโหยหวนน่ากลัว …ก่อนที่พวกมันจะหลบทัน ร่างของพวกมันก็แตกสลายไปเสียแล้ว
ตู้ม!
ในอากาศมีแรงสั่นสะเทือนที่ดังราวกับเสียงฟ้าร้อง
ภายใต้ความตื่นตกใจของหนิงซือฮวาและมู่ซี ดาบเล่มนี้ได้ทำลายวิญญาณร้ายทั้งหมดนั่น!
“นี่…”
ผู้ควบคุมซากศพร้องด้วยความตกใจ ก่อนจะหลบหนีอย่างตื่นตระหนก
ดาบเล่มนี้ทำให้นึกถึงตอนที่ซูอี้ตัดหัวฮวาหลิวเยว่!
แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นหญิงสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์โบกมือของนาง
บูม!
ภายใต้ท้องฟ้า กระแสน้ำวนสีโลหิตขนาดหลายพันจั้งส่งเสียงดังและหมุนวน ทำให้เกิดความผันผวนของพลังงานที่น่าสะพรึงกลัว ราวกับเป็นม่านแสงสีโลหิตแขวนอยู่บนอากาศ
บูม!
ดาบพันจั้งพุ่งชนเข้ากับม่านแสงสีโลหิตทำให้เกิดการระเบิดที่รุนแรง ดาบเป็นเหมือนฝนและเลือดก็เหมือนกระแสน้ำ เมื่อกระทบกันทั้งสองก็สลายหายไป
ในเวลานี้ หนิงซือฮวาและมู่ซีก็ตระหนักได้ว่าแม้ซูอี้จะสามารถใช้พลังต้องห้ามได้ แต่หญิงสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์ก็สามารถยืมพลังจากอีกด้านของผนังกั้นมิติได้เช่นกัน!
“พลังต้องห้ามพวกนี้ มีไว้เพื่อผนึกและปราบปรามดินแดนอีกฝั่งไม่ให้ข้ามผ่านผนังกั้นมิติไป”
ที่ใจกลางของลานประกอบพิธีกรรม หญิงสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์ได้กล่าวคำด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นี่ก็หมายความว่าเมื่อพลังของมันหมดลง ผนังกั้นมิติจะเป็นอิสระและคนจากอีกดินแดนก็จะข้ามผ่านเข้ามาได้”
“เมื่อถึงตอนนั้น อาณาจักรต้าโจวจะเป็นดั่งขนมชิ้นโต ถูกจับตามองโดยสิ่งมีชีวิตมากมายจากอีกดินแดนหนึ่ง พวกเขาจะถือว่าที่แห่งนี้เป็นทางเข้าออก และใช้ ‘ร่างดักแด้’ ข้ามพรมแดนมาทีละตน”
หลังจากหยุดชั่วครู่ หญิงสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์ก็กล่าวต่อ “หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น อย่าว่าแต่ต้าโจว ทั่วทั้งมหาทวีปคังชิงจะตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายและนองเลือด เจ้า… เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการทำเช่นนี้?”
ดวงตาหนิงซือฮวาหรี่ลงอย่างฉับพลัน หากเป็นเช่นนี้ย่อมเป็นหายนะที่ไม่คาดฝันสำหรับทั้งแผ่นดิน!
มู่ซีขมวดคิ้ว จะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?
ทว่าซูอี้กลับเยาะเย้ยและกล่าวคำออก “ผู้ที่ข้ามพรมแดนด้วยร่างดักแด้จะมาได้เพียงจิตวิญญาณเท่านั้น ซึ่งจำเป็นต้องละทิ้งร่างเดิมไป โลกสามัญแห่งนี้ขาดแคลนพลังจิตวิญญาณเพียงไร กว่าจะฟื้นพลังคืนมาก็ไม่รู้อีกกี่เดือนกี่ปี”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาครุ่นคิดอย่างจริงจัง แล้วกล่าวว่า “ข้าหวังว่าพวกมันจะมากันจริง ๆ เพราะบางทีพวกมันอาจมาพร้อมบางสิ่งที่น่าสนใจก็เป็นได้”
“แต่ถึงแม้จะไม่มีค่าเท่าใด ทว่าก็สามารถกลั่นวิญญาณพวกมันได้ทีละตัว ไม่ว่าจะใช้เป็นโอสถหรือใช้เป็นเครื่องมือในการขัดเกลา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุวิญญาณหายาก”
หนิงซือฮวาตกตะลึง นี่มัน… อะไรกัน?
มู่ซีสูดอากาศเย็น สายตาของเขามองตรง ชายผู้นี้ถือว่าตัวตนที่ข้ามผ่านดินแดนมาเป็นวัตถุวิญญาณจริงหรือ?!
ทำไมถึงรู้สึกแปลกพิกลเช่นนี้?
ผู้ที่สามารถข้ามผนังกั้นมิติมาควรจะน่าสะพรึงกลัว และทรงพลังมากไม่ใช่หรือ?
แต่ในสายตาของซูอี้ ดูเหมือนว่าเขาจะปฏิบัติต่ออีกฝ่ายหนึ่งเหมือนฝูงแกะอ้วน และหวังว่าอีกฝ่ายจะโยนตัวเองเข้าไปในตาข่าย…
หญิงสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์ก็ตกตะลึงเช่นกัน ต้องไร้ยางอายเพียงใดถึงกล้าพูดจาหยิ่งยโสเช่นนี้?
หรือนี่… คือสิ่งที่คนทั่วไปเขาพูดกัน?
“แน่นอน คนอย่างข้าจะไม่ทำให้โลกตกอยู่ในอันตรายเพียงเพื่อเก็บเกี่ยวผู้ข้ามพรมแดนมาเป็นวัตถุวิญญาณหรอก”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ ราวกับว่ารู้สึกเสียใจเล็กน้อย
“เจ้า… กำลังพยายามจะพูดอะไร?” หญิงสวมหน้ากากรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ซูอี้รู้สึกไม่แยแสและกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้ยินหรือ ถ้ามีข้าอยู่ สิ่งที่เจ้าพูดจะไม่เกิดขึ้น”
หลังจากนั้น เขาก็คร้านจะพูดอีกต่อไป เพียงก้าวไปข้างหน้าทั้งแบบนั้น
“จริงอย่างนั้นหรือ งั้นเจ้าก็ตายเสียเถอะ!”
หญิงสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์พ่นลมอย่างเย็นชา ตะเกียงในมือนางสั่นไหวไปมา มีแสงและเงาดำริบหรี่ขยับไหวไม่หยุด
ในความว่างเปล่า ยักษ์หน้าเขียวที่มีเขี้ยวถูกสะท้อนออกมาที่ละตน ร่างนั้นสูงหลายสิบจั้ง ในมือถือง้าวคู่ กำลังควบคุมไอหมอก…
“ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า! ”
ในทันที เสียงคำรามดังก้องเหมือนฟ้าร้อง กลุ่มของยักษากลืนกินพลังหยิน และปิดล้อมโจมตีซูอี้
พลังเช่นนั้นอยู่นอกเหนือขอบเขตของยอดยุทธ์มาไกล เกรงว่าแม้แต่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ พวกเขาก็ไม่อาจสู้ได้
ด้วยพลังระดับนี้ หากให้เปรียบคงมีแต่ตัวตนในวิถีต้นกำเนิดที่รับมือไหว!
นิ้วของซูอี้ชะงักค้างไปครู่
ตูม!
พลังต้องห้ามที่คลุมเครือพลันพลุ่งพล่านคำรามขึ้นมา รวมตัวเป็นกลุ่มภูเขาศักดิ์สิทธิ์โบราณที่สูงตระหง่านและสง่างาม …แล้วกระแทกลงมา!
ทันใดนั้น กลุ่มของยักษาสูงหลายสิบจั้งก็ระเบิดออก ต่างถูกทับบี้แบนราวกับกระดาษ
ท่ามกลางแผ่นดินที่สั่นสะเทือนเนื่องจากเสียงกระทบกัน ซูอี้ถือโครงดาบที่หลอมจากไม้ดำศักดิ์สิทธิ์ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและวาดดาบตรงไปทางลานประกอบพิธีกรรมอันกว้างใหญ่
ตูม!
เสื้อผ้าของชายหนุ่มสะบัด พลังดาบพุ่งตรงราวกับสายฟ้าคำราม
ในมือที่ถือดาบไม้สีดำสนิท พลันเกิดคลื่นพลังผันผวนแปลกประหลาด เป็นพลังที่ท่วมท้นราวกับคลื่นยักษ์!
หลังฟันด้วยดาบลงไป…
เกิดคลื่นดาบหลายพันจั้งกวาดไปทั่วท้องฟ้า อักขระลวดลายนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายและเปล่งแสง แท่นบูชาโบราณที่ลอยอยู่ค่อย ๆ จมลง ขณะเดียวกันก็ฉายภาพของสุริยัน จันทรา ทางช้างเผือก นักบุญ เสียงสวดมนต์ และเสียงร้องคำรามของเหล่าทวยเทพและปีศาจออกมา
นี่คือดาบที่ก่อตัวจากพลังต้องห้าม มันจึงสะท้อนภาพลักษณ์ของสิ่งที่อยู่ภายในแท่นบูชาทั้งร้อยแปดออกมา!
เดิมทีโครงดาบนี้ถูกทิ้งไว้โดยผู้ฝึกตนบำเพ็ญผู้หนึ่ง และด้วยวิธีการของซูอี้ เขาย่อมสามารถควบคุมและบงการพลังที่อยู่ภายในนั้นได้!
ด้วยพละกำลังในขณะนี้ หากชายหนุ่มดึงใช้พลังต้องห้ามที่อยู่ภายในจนถึงขีดสุด พลังดังกล่าวจะสร้างผลทำลายล้างเล็กน้อยได้อย่างไร?
รูม่านตาของหญิงสาวหน้ากากทองสัมฤทธิ์หดตัวจนเล็กเหมือนเข็ม นางไม่กล้าแม้แต่จะลังเล ทันใดนั้นก็มีเสียงที่คลุมเครือทว่าหนักแน่นดังขึ้น
“อยู่!”
ภายใต้ท้องฟ้า กระแสน้ำสีโลหิตหลายพันจั้งพลันวิ่งวนอย่างบ้าคลั่ง ปล่อยไอหมอกโลหิตออกมาอย่างไม่หยุดพัก
มันเหมือนกับแม่น้ำเทียนเหอที่ตกลงมาจากสวรรค์ทั้งเก้า!
ตูม ตูม!!
ดินแดนนี้กำลังตกอยู่ในสภาวะล่มสลาย กระแสแห่งพลังอันน่าสะพรึงกลัวโหมกระหน่ำรุนแรง พลังแบบนั้นอยู่นอกเหนือขอบเขตของทั้งสี่ของวิถียุทธ์ และรัศมีแห่งการทำลายล้างของมันก็น่าสะพรึงกลัวยิ่ง
ในการปะทะกันครานี้ ดาบของซูอี้ได้ทะลวงกระแสสีโลหิตที่ไหลออกมา และฟันลงด้วยแรงที่มีทั้งหมด!
“ไม่ดีแล้ว!”
หญิงสาวสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์รู้สึกตึงเครียด รีบหลบหนีทันที
ส่วนสุนัขยักษ์สีดำสามหัวที่หมอบอยู่ตรงหน้านางก็ลุกขึ้นและคำราม
“โฮก!”
ทันใดนั้น ร่างของมันก็ขยายขึ้นหลายสิบเท่า เมื่อยืนขึ้นตัวของมันก็ใหญ่โตราวภูเขา ขณะที่ส่วนหัวทั้งสามของมันใหญ่เหมือนกับบ้าน
เมื่อมันคำราม ทะเลเพลิงมหึมาก็ถูกพ่นออกมาจากปากใหญ่ทั้งสาม เดือดราวกับลาวาหลอมเหลวและสาดกระเซ็นอย่างรุนแรง
ไฟคร่าวิญญาณ!
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าทะเลเพลิงที่สุนัขสามหัวพ่นออกมาจะสามารถเผาร่างของปรมาจารย์จนตายได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับดาบของซูอี้ สภาพของมันกลับดูไม่ได้
ด้วยเสียงที่ดังก้อง ทะเลเพลิงถูกแหวกออกอย่างง่ายดาย และเปลวไฟก็ไหลลงราวกับน้ำตก
สุนัขยักษ์สามหัวไม่ทันได้เวลามีหลบหนี ฉับพลันนั้นร่างของพวกมันก็ถูกดาบผ่าออก!
ทันทีหลังจากนั้น พลังของดาบก็ตกลงบนลานประกอบพิธีกรรมเบื้องล่าง
ตูม!
ที่ใจกลางของลานประกอบพิธีกรรม มีรอยร้าวปรากฏขึ้น มันกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว และไม่อาจยับยั้งได้
เมื่อเห็นว่ารอยร้าวดังกล่าวกำลังจะกระทบแท่นบูชาที่มีร่างดักแด้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่…
ร่างหนึ่งที่ยืนอยู่บนอากาศข้างหน้าร่างดักแด้ หญิงสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์พลันตั้งท่าร้องห้าม
ทว่า แม้นางจะพยายามหยุดยั้ง แต่นางยังไม่ทันได้ลงมือขัดขวางเต็มกำลัง จู่ ๆ ร่างของนางก็พลันร่วงหล่นกระแทกพื้น หยดเลือดไหลรินจากริมฝีปาก เห็นได้ชัดว่านางได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้แต่ตะเกียงในมือก็ระเบิดออกและแตกเป็นเสี่ยง ๆ
เมื่อนางเห็นผลจากพลังของดาบที่ฟาดลงมากระแทกเข้ากับแท่นบูชา หญิงสวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์จึงอดไม่ได้ที่จะร้องอย่างไม่เต็มใจ
“ไม่!”
ตูม!
แท่นบูชาแตกเป็นเสี่ยง ๆ เศษหินกระจายไปทั่ว
ร่างดักแด้ขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชาร่วงลงกับพื้นอย่างกะทันหันราวกับสูญเสียพลัง
เมื่อมองดี ๆ ไอสีดำที่ล้อมรอบร่างดักแด้ได้สลายหายไปแล้ว
ด้วยดาบเพียงเล่มเดียว สามารถฝ่าท้องฟ้าและทลายม่านโลหิตลงมา ตัดร่างสุนัขยักษ์สามหัว ทำร้ายสตรีศักดิ์สิทธิ์ของพรรคมารหยินจนบาดเจ็บสาหัส และทำลายแท่นบูชา!
ฉากตรงหน้าดูเหมือนเชื่องช้า แต่ความเป็นจริงเกิดขึ้นในชั่วพริบตา เร็วจนน่าเหลือเชื่อ!!
ทั้งหนิงซือฮวาและมู่ซีต่างเหงื่อตก ร่างกายและจิตใจสั่นสะท้าน พวกเขาอยู่ในภาวะตกตะลึง
ดาบเล่มนี้ราวกับมาจากเงื้อมือของเหล่าทวยเทพบนสรวงสวรรค์ มีพลังที่จะกำจัดศัตรูทั้งมวลและยากต่อต้าน ความน่าสะพรึงกลัวของมันนั้นเรียกได้ว่าไร้ขอบเขต!