บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 244 ผู้สิงสถิต
ตอนที่ 244: ผู้สิงสถิต
ตอนที่ 244: ผู้สิงสถิต
หญิงสาวผู้สวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์ ร่วงลงไปกองอยู่ตรงนั้นด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อราวกับคนคลุ้มคลั่ง
“ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิต ใต้เท้าโปรดไว้ชีวิต!”
ผู้ควบคุมซากศพที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดคุกเข่าอยู่ตรงนั้น โขกศีรษะร้องขอชีวิตด้วยอาการตัวสั่นงันงก หวาดกลัวไร้ที่พึ่ง
ซูอี้หิ้วโครงดาบเดินมาอยู่ตรงหน้าร่างดักแด้ขนาดใหญ่ร่างนั้น พิจารณามองสักครู่จึงเอ่ยถาม “เริ่มสิงสถิตแล้วใช่หรือไม่?”
ผู้ควบคุมซากศพรีบตอบในทันใด “ขอรับ”
“ผู้ที่ถูกสิงสถิตคือใคร?” ซูอี้ถาม
ผู้ควบคุมซากศพตอบอย่างรวดเร็ว “จวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้ง”
ซูอี้ขมวดหัวคิ้วขึ้นมา เฉินเจิ้ง?
มิน่าเล่าเขาเข้ามาสู่หุบเขามารบุปผาโลหิตตั้งแต่เมื่อหกวันก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับ ที่แท้เป็นเพราะเจอภัยพิบัติเช่นนี้นี่เอง
“ข้าจะให้ทางเลือกแก่เจ้าอีกครั้ง”
สายตาของซูอี้มองไปที่ผู้ควบคุมซากศพ จากนั้นจึงชี้นิ้วไปยังเกลียวคลื่นสีเลือดขนาดพันจั้งที่อยู่ใต้ท้องฟ้า “จะเข้าไปเอง หรือว่าจะตาย”
ผู้ควบคุมซากศพตกตะลึง สีหน้าขาวซีด เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
เขาพยายามลุกขึ้นด้วยความยากลำบาก สายตาเพ่งมองไปยังผนังกั้นมิติหรือเกลียวคลื่นสีเลือดนั้น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ใต้เท้า ไว้ชีวิตจงผู้นี้… ได้หรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้า
สีหน้าของผู้ควบคุมซากศพปรวนแปรไม่นิ่ง นิ่งเงียบไปนานมากจึงกัดฟันก้าวขึ้นกลางอากาศ ร่างของเขาประดุจสายฟ้าแลบพุ่งไปยังผนังกั้นมิติกลางอากาศนั้น
ทว่าไปถึงครึ่งทาง ร่างของเขาก็หักงออย่างประหลาด แล้วหมุนตัวพุ่งไปยังทางออกที่อยู่ไกลออกไป
“ตาย!”
มู่ซีส่งเสียงเย็นยะเยือก ตวัดหอกรบสีทอง ฟาดไปกลางอากาศ ฆ่าผู้ควบคุมซากศพที่อยู่ระหว่างทาง
ซูอี้ไม่อยากจะดู เขาเบนสายตามองไปยังหญิงสาวผู้สวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ไม่ไกลนัก พลางกล่าวคำออก
“ข้าก็จะให้ทางเลือกแก่เจ้าเช่นกัน ความลับทั้งหมดที่เจ้ารู้… จงบอกมาให้หมด ข้าจะให้เจ้าได้ตายอย่างรวดเร็ว”
หญิงสาวผู้สวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์นิ่งเงียบไปนานมาก พลันพูดออกมาทีละคำช้า ๆ “เมื่อเทพแห่งตระกูลข้ากลับคืน เจ้าจักต้องได้รับกรรมสนอง!”
คิ้วของซูอี้เลิกขึ้นเล็กน้อยราวกับนึกอะไรขึ้นได้ ร่างของเขาโผล่มาอยู่ข้างกายหญิงสาวผู้สวมหน้ากากทองสัมฤทธิ์
ทว่าไม่รอให้เขาได้ลงมือ สตรีศักดิ์สิทธิ์ของพรรคมารหยินก็หมดลมหายใจตายไปเสียแล้ว ศพของนางกลายเป็นผุยผงมลายหายไปสิ้น
จนกระทั่งตายก็ยังไม่มีใครได้เห็นโฉมหน้าของนาง
บนพื้น คงเหลือแต่เพียงหน้ากากทองสัมฤทธิ์ที่สลักลวดลายประหลาดน่ากลัว
ซูอี้หยิบหน้ากากชิ้นนี้ขึ้นมาพิจารณามองสักครู่ ในแววตาเกิดประกายประหลาดขึ้น
วัสดุที่ใช้ทำหน้ากากชิ้นนี้มีความพิเศษ น่าจะหลอมมาจาก ‘เหล็กวิญญาณคราบน้ำตา’ ที่ได้มาจากภูมิมืดมิด ซึ่งมีพลังสิงวิญญาณ
เพียงแค่เพิ่มรายละเอียดอีกสักหน่อย โดยการนำความตั้งมั่นหลอมประทับเข้าไปในหน้ากาก ไม่ว่าใครก็ตามสวมใส่หน้ากากนี้ จะพลันถูกความตั้งมั่นนั้นสิงวิญญาณ ควบคุมสติและจิตใจ ไม่อาจควบคุมตัวเองได้!
เห็นได้ชัดว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งพรรคมารหยินคนก่อนหน้านี้ก็ถูกพลังในหน้ากากทองสัมฤทธิ์นี้สิงวิญญาณ จึงเป็นเหตุให้สติและจิตใจถูกควบคุม
น่าเสียดายก็คือพลังที่ว่าหมดสิ้นไปพร้อมกับการตายของผู้หญิงคนนั้น ทำให้ซูอี้ไม่อาจรู้ได้ว่าที่แท้แล้วพลังนั่นเป็นของใครคนใดกันแน่
“สามารถทิ้งรอยหลอมประทับความมุ่งมั่นได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นตัวตนใน ‘ขอบเขตวงล้อวิญญาณ’ และอาจเป็นผู้ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าก็ได้…”
หนทางแห่งวิถีวิญญาณเหนือกว่าวิถีต้นกำเนิด โดยแบ่งออกเป็นสามเขตแดนใหญ่ ๆ คือ แปรเปลี่ยนวิญญาณ สยายวิญญาณ วงล้อวิญญาณ
ผู้ฝึกตนที่มีการฝึกถึงขั้นวงล้อวิญญาณจะมีความแข็งแกร่งรองจากบุคคลในขอบเขตจักรพรรดิวิถีล้ำลึกเท่านั้น
และก็มีแต่บุคคลเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถทิ้งความตั้งมั่นไว้ได้!
“เพียงแต่ ในโลกสามัญแห่งนี้ไม่มีผู้ที่อยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณ หรือว่าหน้ากากทองสัมฤทธิ์นี้จะมาจากโลกอีกด้านของผนังกั้นมิตินั้น?”
“เป็นไปได้!”
ซูอี้นึกขึ้นได้ว่าอาศัยวิธีพิเศษบางอย่างจะสามารถส่งวัตถุข้ามผนังโลกได้
ยกตัวอย่างเช่นการบวงสรวง
ในเมืองเก้าคดเมื่อครั้งนั้น
อูหวนสุ่ยจวินก็ได้รับการชี้แนะจากวิหคอัปมงคลเก้าเศียรที่เรียกตัวเองว่า ‘ท่านเทพแห่งความกรุณา’ ผ่านวิธีบวงสรวงเช่นกัน
กระจ่างในจุดนี้แล้ว ซูอี้ก็เก็บหน้ากากทองสัมฤทธิ์ หมุนตัวไปหาร่างดักแด้ขนาดใหญ่ตนนั้น
เวลานี้ หนิงซือฮวากับมู่ซีก็เดินมาถึงแล้วเช่นกัน
มู่ซีระงับความอยากรู้ไม่ได้ แล้วถามขึ้น “สหายเต๋า หากว่าจวิ้นอ๋องอู่หลิงถูกสิงสถิต ถ้าเช่นนั้น… ต่อให้เขามีชีวิตอยู่ ก็คงจะไม่ใช่จวิ้นอ๋องอู่หลิงแล้วกระมัง?”
ซูอี้ส่ายหน้าพลางตอบ “ตอบลำบาก พวกเจ้าถอยไปหน่อย”
หนิงซือฮวากับมู่ซีถอยไป
ซูอี้ตวัดโครงดาบในมือ ฟันร่างดักแด้นั้น
ฉึบ!
ร่างดักแด้ขนาดใหญ่ปริออกในทันใด
สวบ!
แทบจะขณะเดียวกัน ร่าง ๆ หนึ่งก็พรวดพราดออกมา ซัดฝ่ามือใส่ซูอี้
รวดเร็วประดุจผีอสูรสายฟ้า!
สีหน้าของซูอี้ราบเรียบไร้ความตื่นตระหนก โครงดาบในมือหมุนกลับ ยกปลายดาบขึ้นขวางในทันใด
เคร้ง!!!
ท่ามกลางเสียงกระแทกรุนแรงสั่นสะเทือนจนแสบแก้วหู ร่างของซูอี้สั่นคลอนเล็กน้อย ส่วนร่าง ๆ นั้นถูกโครงดาบกระแทกจนต้องถอยไปหลายก้าว
เวลานี้ หนิงซือฮวากับมู่ซีจึงมองเห็นชัดเจน ร่าง ๆ นั้นยืดตรงประดุจด้ามหอก สีหน้าแววตาดุดัน ผิวสีแดงคล้ำ ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความฉับไวอาจหาญ
เขาก็คือจวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งนั่นเอง!
เพียงแต่ว่า แววตาคู่นั้นของเขากลับราบเรียบเยือกเย็น ไร้ความปรานี มองสรรพชีวิตประดุจมดตะนอยตัวน้อย
“ไม่นึกเลยว่า เมื่อข้าตื่นขึ้นมาในภูมิแดนนี้ จะอ่อนแอถึงเพียงนี้…”
เฉินเจิ้งถอนใจเบา ๆ น้ำเสียงหมองเศร้า
ราวกับผู้เฒ่าที่ผ่านประสบการณ์มามาก กำลังรำลึกถึงวัยเยาว์ในช่วงวันเวลาที่ไม่อาจไหลย้อน
ซูอี้อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ คน ๆ นี้ช่างเสแสร้งเก่งเสียจริง
เขากล่าวเรียบ ๆ “คนอย่างเจ้าเช่นนี้ ต่อให้ตัวจริงอยู่ตรงหน้า ก็ไม่ถึงขั้นแกร่งกล้า ดีที่สุดอย่าได้เสแสร้งแกล้งทำต่อหน้าข้าอีก”
เฉินเจิ้งตะลึง พิจารณามองซูอี้ครู่หนึ่ง สายตาเจ้าเล่ห์พลางกล่าว “เด็กน้อยขอบเขตรวบรวมลมปราณ กล้าพูดว่าข้าแกร่งกล้าไม่พอ?”
ซูอี้เอ่ยพูด “ใช้ร่างดักแด้ก้าวข้ามผนังกั้นโลก สิงสถิตด้วยวิธีแบ่งจิตวิญญาณ วิธีกระจอกเช่นนี้ มีแต่บุคคลระดับต่ำเท่านั้นจึงจะนำมาใช้ ข้าว่าเจ้าไม่แกร่งกล้า ถือว่ารักษาหน้าของเจ้ามากแล้ว”
เฉินเจิง “…”
สีหน้าของหนิงซือฮวากับมู่ซีเปลี่ยนไป
ทั้งสองต่างก็มองออกว่าผู้ที่สิงร่างของเฉินเจิ้งจะต้องเป็นตัวตนน่ากลัวบนหนทางการฝึกตนคนหนึ่งอย่างแน่นอน ลำพังเพียงแค่สายตาและท่าที ผู้ฝึกตนทั่วไปก็ไม่อาจเปรียบได้แล้ว
ทว่าซูอี้กลับด่าว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นพวกกระจอก น้ำเสียงที่กล่าวยังเป็นธรรมชาติและดูแคลนเช่นนั้นอีก ทำให้ผู้ที่ได้ยินเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก
“ฟังน้ำเสียงของเจ้า คนที่ไม่รู้ยังจะเข้าใจว่าเจ้าเป็นบุคคลขอบเขตจักรพรรดิที่มีความเก่งกาจมากคนหนึ่ง”
เฉินเจิ้งนิ่งตะลึงไปพักใหญ่ ๆ จากนั้นก็ได้แต่ส่ายหน้าหัวเราะขึ้นมา “ใครเลยจะคาดคิดว่า คำกล่าวนี้จะเป็นคำกล่าวของเด็กน้อยขอบเขตรวบรวมลมปราณ?”
“ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ?”
ซูอี้ก็หัวเราะเช่นกัน น้ำเสียงราบเรียบยิ่งกว่าเดิม “ในสายตาของเจ้า ขอบเขตจักรพรรดิคงจะสูงมากจนไม่อาจเอื้อม มองแทบไม่เห็น ทว่าสำหรับข้าแล้ว… ไม่เห็นมีอะไรสูงส่ง”
คราวนี้ หนิงซือฮวากับมู่ซีล้วนตกตะลึงนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้น
ขอบเขตจักรพรรดิไม่เห็นมีอะไรสูงส่ง??
หนิงซือฮวารู้ว่าตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิมีความน่ากลัวเพียงใด ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินจึงแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง
ถึงแม้มู่ซีจะไม่รู้ว่าขอบเขตจักรพรรดินั้นเป็นภพภูมิเช่นใด ทว่าก็สามารถเดาออกได้คร่าว ๆ ว่าระดับชั้นเช่นนั้นคงจะห่างไกลจากผู้ฝึกตนบำเพ็ญวิถีวิญญาณอยู่มาก
และก็ด้วยเหตุนี้ เมื่อได้ยินซูอี้กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเบาสบาย จึงทำหน้าไม่ถูกไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
หรือว่าผู้ชายคนนี้… กำลังคุยโม้ เพื่อข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม?
อืม ต้องเป็นเช่นนี้แน่!
หันไปมองดูเฉินเจิ้ง เขาจึงอดเงยหน้าหัวเราะเสียงดังขึ้นมาไม่ได้ “พวกขอบเขตจักรพรรดิ ประดุจดวงตะวันบนดวงดาว ส่องสว่างใต้หล้าเพียงผู้เดียว เพียงพอจะทำให้สรรพสัตว์มากมายต้องเงยหน้ามอง เหตุใดพอเด็กน้อยหน้าละอ่อนปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเจ้าพูดออกมา กลับถูกสบประมาทถึงเพียงนี้ เช่นนี้… ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน!”
“นั่นเป็นเพราะเจ้าโง่เขลา”
สีหน้าของซูอี้ราบเรียบ “ขอบเขตจักรพรรดิ เป็นเพียงแค่ผู้แสวงบนหนทางแห่งวิถีลึกล้ำเท่านั้น ไม่ได้รู้เลยว่าปลายสุดของเส้นทางนี้ ยังมีหนทางที่สูงส่งยิ่งกว่า”
เอ่ยถึงตรงนี้ เขาก็ส่ายหน้า “เหตุใดต้องพูดพล่ามถึงสิ่งเหล่านี้กับหนอนฤดูร้อนที่ไม่อาจอยู่ถึงช่วงเหมันต์เช่นเจ้าด้วย”
เฉินเจิ้งมองซูอี้นิ่ง ๆ ชั่วครู่ มุมปากกระตุกเล็กน้อย พึมพำว่า “ข้ามีชีวิตมานานเก้าพันแปดร้อยปี ชั่วชีวิตนี้เคยเห็นผู้ยิ่งใหญ่แปลกประหลาดพิศดารมามากมายนับไม่ถ้วน แต่เพิ่งเคยเห็นเด็กน้อยที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำอย่างเจ้าเป็นครั้งแรก”
“ผู้ยิ่งใหญ่ในภูมิแห่งโลกสามัญแห่งนี้ ล้วนโง่เขลาไม่รู้ความเช่นนี้ทั้งนั้นเลยหรือ…”
พูดจบ เขาก็มองไปที่ซูอี้อีกครั้ง แล้วกล่าวคำออก “แต่เจ้าอายุยังน้อย สามารถมีชีวิตอยู่ในภูมิแห่งโลกสามัญนี้ได้ สามารถหยิบยืมพลังแห่งค่ายกลต้องห้ามที่ผนึกในที่แห่งนี้ได้ ถือได้ว่าไม่ธรรมดาเลย”
“เอาเช่นนี้ ข้าจะให้โอกาสแก่เจ้า กราบเป็นผู้น้อยของข้าเสียตอนนี้ วันข้างหน้าข้าจะสั่งสอนให้เจ้าเข้าใจ ให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรจึงจะเป็นมหาวิถีการฝึกตนที่แท้จริง!”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เฉินเจิ้งก็เบนสายตามองไปที่หนิงซือฮวากับมู่ซีอีกครั้ง แล้วกล่าวคำออก “ถึงแม้การฝึกตนของพวกเจ้าทั้งสองจะด้อยไปสักหน่อย แต่กลิ่นอายในตัวกลับไม่ธรรมดาเลย เทียบกับตัวตนของพรรคมารหยินเหล่านั้นแล้วนับว่าแกร่งกว่ามาก”
“ขอเพียงพวกเจ้าทำงานรับใช้ข้า ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะชี้แนะหนทางแห่งมหาวิถีให้กับพวกเจ้า อาจไม่ยิ่งใหญ่เท่าเทียมฟ้าดิน และไม่เจิดจำรัสเท่าเทียมเดือนตะวัน แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้พวกเจ้ามีโอกาสได้แสวงหาอายุวัฒนะ หลุดพ้นจากร่างสามัญธรรมดาไปได้!”
ระหว่างที่พูด เต็มไปด้วยท่าทีของผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ ในโลกสามัญ เกรงว่าคงเคลิบเคลิ้มตามแล้ว
ทว่าหนิงซือฮวากับมู่ซีมองตากันเสร็จก็พากันหัวเราะขึ้นมา
ถัดจากนั้น กระทั่งซูอี้ก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน
ความหมายแอบแฝงที่เล็ดลอดออกมาจากเสียงหัวเราะเหล่านั้น ทำให้เฉินเจิ้งมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น รู้สึกขัดตาอย่างเหลือทน ราวกับถูกท้าทายอย่างรุนแรง
“เทพเซียนอยู่ตรงหน้า กลับมองเป็นเพียงรองเท้าคู่เก่า โง่เขลายิ่งนัก คาดไม่ผิดเลย ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกสามัญแห่งนี้ ล้วนเป็นคนธรรมดาสามัญ สั่งสอนไม่ได้”
เฉินเจิ้งถอนใจยาว
“อย่างเจ้าก็คู่ควรเป็นเทพเซียน? เอาเช่นนี้ ข้าซูผู้นี้จะแหกกฎสักครั้ง ออกไปจากร่างของเฉินเจิ้งแต่โดยดี แล้วข้าจะให้โอกาสเจ้าได้กลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่ คิดว่าอย่างไร?”
ซูอี้เอ่ยพูดพลางยิ้ม
“อ้อ?”
ในแววตาของเฉินเจิ้งส่อประกายเย็นวาบ ทันใดยื่นมือมาคว้า
ครืน!
ธาตุแท้ที่รวมตัวกันเป็นมือขนาดใหญ่ฟาดลงมา ลักษณะคล้ายกับกรงเล็บมังกร ครอบคลุมทั้งแปดด้าน ปกคลุมรอบสี่ทิศ ประดุจตาข่ายสวรรค์ขนาดใหญ่ ไร้ซึ่งรูรั่ว ให้ความรู้สึกไม่อาจหลบหนี ไร้ที่จะให้หลบ
เพียงแค่การจู่โจมเล็ก ๆ นี้ ไม่ใช่บุคคลระดับปรมาจารย์อย่างจวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งเช่นนี้จะแสดงอานุภาพออกมาได้
จากจุดนี้ก็สามารถมองออกว่า ผู้ฝึกตนที่ข้ามภูมิภพมาสิงสถิตร่างของเฉินเจิ้ง คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจเปรียบได้
แต่เสียดาย ในสายตาของซูอี้ อย่างไรเสียผู้สิงสถิตตนนี้ก็ไม่ใช่ร่างแท้ อีกทั้งถูกจำกัดอยู่ในการฝึกตนของร่างเฉินเจิ้ง กระบวนท่าที่แสดงออกมาถึงแม้จะล้ำเลิศ ทว่าพละกำลังนั้นมีจำกัด
เขาส่ายหน้าน้อย ๆ กล่าว “เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับหาที่ตาย”
ขณะที่เสียงดังขึ้น เขาก็ยื่นมือออกไปคว้าเช่นกัน
ครืน!
มือที่มีลักษณะคล้ายกับกรงเล็บมังกรที่เฉินเจิ้งแสดงอานุภาพออกมาแตกระเบิดในทันใด
ส่วนซูอี้คว้าคอของเฉินเจิ้งผ่านอากาศ หิ้วมาอยู่ต่อหน้าตัวเอง
ไม่รอให้เฉินเจิ้งได้ตอบโต้ นิ้วชี้ข้างซ้ายของซูอี้กดกลางหัวคิ้วของเฉินเจิ้งเบา ๆ แล้วคำรามเสียงดัง
“ขัง!”