บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 245 หาเรื่องใส่ตัว
ตอนที่ 245: หาเรื่องใส่ตัว
ตอนที่ 245: หาเรื่องใส่ตัว
การจู่โจมนี้ ซูอี้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณผ่านเคล็ดเขากลายสู่อิสระเป็นรากฐาน ร่ายวิชากักขังจิตวิญญาณ
เพราะไม่ทันตั้งตัว พลังจิตวิญญาณที่สิงสถิตในร่างเฉินเจิ้งตนนั้นจึงได้รับการจู่โจมในฉับพลัน
“สมควรตาย!”
ในห้วงความนึกคิดของเฉินเจิ้ง มีเสียงร้องบันดาลโทสะดังขึ้น
พลังจิตวิญญาณที่คืบคลานถูกกักขัง ไม่ว่าจะกระเสือกกระสนเพียงใดก็ไม่อาจขยับเคลื่อนที่ได้แม้แต่น้อยนิด
“เจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะทำลายจิตวิญญาณของคน ๆ นี้?”
พลังจิตวิญญาณดวงนั้นร้องคำราม
“อ๊าก!”
ซูอี้ไม่สนใจแม้แต่น้อย ในเมื่อตัดสินใจทำก็ต้องทำให้เต็มที่ ใช้ศาสตร์ลับจิตวิญญาณเป็นตัวกักขัง ผนึกลงตราขังจิตวิญญาณดวงนั้นอย่างแน่นหนา
ฉับพลัน จิตวิญญาณของผู้ฝึกตนที่มาจากต่างภูมิดวงนั้นก็ถูกสะกด หมดแรงกำลังที่จะต้านทาน
ซูอี้พ่นลมหายใจออกมาทางปาก ความอ่อนล้าผุดขึ้นทางสีหน้า
ด้วยการฝึกตนบำเพ็ญในตอนนี้ของเขา ใช้วิชากักขังจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนในขั้นวิถีวิญญาณต้องใช้พลังอย่างมากอย่างเห็นได้ชัด
ทว่ายังดี อย่างน้อยก็ถือว่าสำเร็จแล้ว
“ครั้งนี้ เฉินเจิ้งเป็นผู้ได้ประโยชน์ไป ถือได้ว่าได้รับผลดีจากผลร้าย…”
ซูอี้ลอบเอ่ยเบา ๆ
เดิมที เฉินเจิ้งเกือบจะถูกสิงสถิต ซึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก
แต่ตอนนี้ หลังจากจิตวิญญาณของผู้ที่มาจากภายนอกดวงนั้นถูกกักขัง ขอเพียงเฉินเจิ้งฟื้นฟูสภาพร่างกายขึ้นมาแล้ว ก็สามารถใช้สิ่งล้ำค่าหล่อหลอมจิตวิญญาณของผู้มาจากภายนอกนี้ได้
ถึงเวลานั้น จิตวิญญาณของเขาไม่เพียงแต่จะแกร่งกล้าขึ้นมา ยังได้รับความทรงจำและประสบการณ์การฝึกตนส่วนหนึ่งของผู้ที่มาจากภายนอกนี้ได้อีก!
สำหรับเฉินเจิ้งแล้ว เป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่มาก
แน่นอน ซูอี้ก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยผลักดันให้ทุกอย่างดำเนินไปได้ลุล่วงด้วยการถ่ายทอดศาสตร์ลับแห่งการหล่อหลอมจิตวิญญาณให้แก่เฉินเจิ้ง
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขายอมรับในตัวของจวิ้นอ๋องอู่หลิงคนนี้
ขณะที่ครุ่นคิด ซูอี้ก็วางร่างของเฉินเจิ้งลงบนพื้น สายตาเพิ่งมองดูเกลียวคลื่นสีเลือดพันจั้งภายใต้ท้องฟ้านั้นอีกครั้ง
“สหายเต๋า จวิ้นอ๋องอู่หลิงไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” หนิงซือฮวากับมู่ซีก้าวเดินมาข้างหน้า
“ไม่เป็นไร อีกไม่นานก็ฟื้น” ซูอี้เอ่ยขึ้นมา
“คนเมื่อสักครู่ ถูกฆ่าตายแล้วใช่หรือไม่?” มู่ซีอดถามขึ้นมาไม่ได้
ซูอี้กล่าว “ถึงแม้จะยังไม่ตาย แต่ก็ไม่ห่างไกลจากความตายมากนัก”
มู่ซีถึงกับสูดปาก กล่าวด้วยอาการตื่นตะลึง “ผู้แกร่งกล้าซึ่งข้ามผนังกั้นโลกมา มาตายเอาง่าย ๆ เช่นนี้?”
ย้อนนึกถึงการสนทนาระหว่างซูอี้กับผู้ฝึกตนภูมิอื่นเมื่อสักครู่ รวมถึงฝีมือที่ซูอี้แสดงออกมา ผ่านไปนานหัวใจของเขาก็ยังคงไม่อาจสงบลงได้
การแย่งชิงความเป็นใหญ่ในมหาวิถี ไม่ได้วัดกันด้วยกำลังที่ฝึกเพียงชั่วข้ามคืน
แต่เมื่อมู่ซีรู้ตนว่าตัวเองห่างไกลจากซูอี้มากนัก ยากนักที่จะไม่รู้สึกเศร้าสร้อยสลดหดหู่
‘เดิมทีข้าเข้าใจว่าตนเองเป็นบุตรรักแห่งสวรรค์ผู้มีดวงดี เป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งในแผ่นดินต้าโจว ทว่าบัดนี้ได้เห็นแล้วว่าตนเองยังมีโลกทัศน์ที่คับแคบอีกนัก ในโลกนี้ยังมีผู้ยิ่งใหญ่ไร้ผู้เทียบเทียมอีกมากมายที่ไม่มีใครรู้จัก ยกตัวอย่างเช่น… ผู้ชายคนนี้…’
มู่ซีแอบทอดถอนใจด้วยความเจ็บช้ำเงียบ ๆ
ไม่กลัวสินค้าจะถูกเปรียบ กลัวแต่เพียงดูสินค้าไม่ออก
ไม่กลัวว่าจะถูกเปรียบกับคนอื่น กลัวแต่เพียงดูคนไม่ออก
สำหรับมู่ซีผู้เป็นราชาต่างสกุลอายุน้อยที่สุดในอาณาจักรต้าโจวคนนี้ ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ได้ประสบพบเจอร่วมกับซูอี้ระหว่างอยู่ที่หุบเขามารบุปผาโลหิต ทำให้จิตใจของเขาประดุจดั่งเจอกับมรสุมลูกใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า การรับรู้ทั้งหมดถูกพลิกผันนับครั้งไม่ถ้วน
จนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจสักแค่ไหน ก็ยังต้องยอมรับว่า ถึงแม้เขาจะสูงศักดิ์เป็นถึงราชา มีการฝึกตนขอบเขตปรมาจารย์ อีกทั้งยังมีดวงดีอันเป็นความกรุณาจากสวรรค์ ทว่าเมื่อเทียบกับคนหนุ่มในขอบเขตรวบรวมลมปราณอย่างซูอี้คนนี้แล้ว ทุกอย่างที่มีก็แลดูอับแสงไป
เห็นว่ามู่ซีตกอยู่ในภวังค์ สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่นิ่ง หนิงซือฮวาเกิดความเห็นใจในแบบหัวอกเดียวกันขึ้นมา
นางเข้าใจจิตใจสับสนซับซ้อนของมู่ซีเป็นอย่างดี
เพราะครั้งนั้นหลังจากที่ได้พบกับซูอี้แล้ว การรับรู้ทั้งหมดของนางก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า
นางไม่อาจนึกภาพออกว่าที่แท้แล้วซูอี้เป็นคนเช่นใด ในตัวของเขายังซุกซ่อนความลับอันใดที่คนอื่น ๆ ไม่รู้อีก
และนางก็ไม่เข้าใจด้วยเช่นกัน คนหนุ่มเช่นนี้ เหตุใดจึงเต็มใจซ่อนตัวอยู่ในโลกสามัญที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้
จนกระทั่งตอนนี้ หนิงซือฮวาก็ไม่รู้สึกแปลกใจอีกแล้ว
ดูเหมือนว่า… เรื่องใด ๆ ในโลกใบนี้ที่เกิดขึ้นกับซูอี้ซึ่งกลับตาลปัตรต่อความนึกคิด ล้วนกลายเป็นเรื่องที่สมควร เป็นเรื่องที่ควรจะเป็นไปเสียแล้ว…
ขณะเดียวกันนี้เอง
ครืน!
ประดุจมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นในความมืดมิดไร้ขอบเขต ปลุกสติของเฉินเจิ้งให้ตื่น
ฉับพลันนี้เอง เขารู้สึกราวกับตื่นขึ้นจากความฝันที่ยาวนาน รู้สึกถึงร่างที่คุ้นเคย ได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองที่เต็มไปด้วยจังหวะและพลัง
“ข้า… ยังไม่ตายใช่ไหม…”
เฉินเจิ้งลืมตาขึ้น สีหน้าตื่นตะลึง บนใบหน้ามีแต่คำว่าฉงนงงงวย
หนิงซือฮวาอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ แล้วกล่าว “จวิ้นอ๋องอู่หลิง จงทำใจให้สบาย ครั้งนี้เป็นเพราะสหายเต๋าซูอี้ช่วยไว้ จึงช่วยให้เจ้าแคล้วคลาดจากความตาย”
เฉินเจิ้งนิ่งตะลึง ทันใดลุกพรวดพราดขึ้นนั่ง หยิกแก้มของตัวเอง จากนั้นฉีกยิ้มหัวเราะขึ้นมาราวกับยกหินออกจากอก “ที่แท้ ข้ายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ…”
มู่ซีก็รู้สึกขำในคำพูดเช่นนี้ของเขา หัวเราะพลางกล่าว “หากว่าเจ้าตายไปแล้ว พวกเราที่เจ้าเห็นในตอนนี้ ไม่เป็นผีป่าผู้โดดเดี่ยวหรอกหรือ?”
เฉินเจิ้งลุกขึ้นยืน ประมือคารวะอย่างเคร่งครัด “คารวะราชาสะกดขุนเขา คารวะ…”
ทันใดเขาก็นิ่งเงียบไป สาเหตุเพราะไม่รู้จักหนิงซือฮวา
“ท่านนี้คือหนิงซือฮวา เจ้าตำหนักเทียนหยวน”
เวลานี้ ซูอี้หันหน้ามาถาม “เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินเจิ้งสงบใจรับรู้เงียบ ๆ พลันม่านตาหรี่เล็กลง กล่าว “ในสมองของข้าราวกับ… ราวกับมีอะไรบางอย่างเพิ่มขึ้นมา…”
“นั่นคือจิตวิญญาณที่ถูกกักขังไว้ เขาก็คือผู้ที่ครอบครองร่างของเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้”
ซูอี้เล่าเหตุการณ์เมื่อสักครู่ให้ฟังอย่างคร่าว ๆ
เฉินเจิ้งจึงเข้าใจแล้วว่าก่อนหน้านี้ตนเองได้เจอกับเหตุการณ์ที่น่าหวาดกลัวเพียงใด จึงอดตกใจจนเหงื่อหนาวผุดขึ้นเต็มตัวไม่ได้
เขารีบประสานมือคารวะ “ขอบคุณคุณชายซูมาก! บุญคุณยิ่งใหญ่เพียงนี้ เฉินผู้นี้จะจดจำไว้ในใจ ไม่มีวันลืม!”
ซูอี้โบกมือเล็กน้อย พลางกล่าวคำ “ระหว่างข้ากับเจ้า ไม่จำเป็นต้องเกรงใจถึงเพียงนี้ รอกลับไปแล้ว ข้าจะถ่ายทอดศาสตร์ลับวิชาหนึ่งให้แก่เจ้า จากนั้นเจ้าก็สามารถหล่อหลอมจิตวิญญาณในห้วงความนึกคิดได้”
เงียบไปสักครู่ เขาก็เบนสายตาไปยังผนังกั้นมิติ มองเกลียวคลื่นสีเลือดพันจั้งใต้ท้องฟ้าอีกครั้ง แล้วกล่าว
“เจ้าตำหนักหนิง เจ้ากับราชาสะกดขุนเขาจงพาจวิ้นอ๋องอู่หลิงออกไปจากที่ตรงนี้ก่อน อย่างน้อยสุดหนึ่งวัน หรืออย่างมากสามวัน ข้าจึงจะกลับไป”
ถึงแม้ในใจของหนิงซือฮวาจะสงสัยนักว่าซูอี้ต้องการจะทำอะไร ทว่ายังคงอดกลั้นความอยากรู้เอาไว้และไม่ได้ถามออกมา เมื่อพยักหน้าเสร็จก็พาเฉินเจิ้งเดินไปจากปากทางออกพร้อมกับมู่ซี
อย่างรวดเร็ว บนลานวิถีอันกว้างใหญ่นี้ก็เหลือซูอี้เพียงคนเดียวเท่านั้น
เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นสูดลมหายใจลึก ๆ ครั้งหนึ่ง พลันกระทืบฝ่าเท้า
วิ้ว!
พลังค่ายกลต้องห้ามที่ล้ำลึกกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น รวมตัวกันเป็นก้อนเมฆ พาร่างของซูอี้ลอยขึ้นกลางอากาศ บินออกไปไกล
เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงจุดที่ไม่ไกลจากเกลียวคลื่นพันจั้งใต้ท้องฟ้านั้น
มาถึงที่ตรงนี้ เปรียบเสมือนมาถึงปากถ้ำลึกที่มีขนาดมหึมา รู้สึกราวกับคนเหลือตัวเล็กเพียงนิดเดียว
ตามการหมุนอย่างไม่หยุดยั้งของเกลียวคลื่นพันจั้งก่อให้เกิดกระแสพลังมารโลหิตอันยิ่งใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันกับที่หมุน จะเกิดเสียงดังวิ้ว ๆ แสบแก้วหู
นี่ก็คือผนังกั้นมิติ หลอมประทับด้วยพลังกฎแห่งมิติซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นพลังล้ำเลิศสูงสุด
“ไม่มีคู่ต่อสู้ที่เหมาะสมจะสู้รบ จึงได้แต่ใช้วิธีหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้…”
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ
เขาบังคับเมฆมงคลให้เข้าไปใกล้พลังมารโลหิตที่ก่อให้เกิดเกลียวคลื่นขนาดมหึมารอบสี่ด้านทีละน้อย
ครืน!
ลำพังเพียงแค่เข้าไปใกล้กระแสมารโลหิตที่หมุนวน พลังทำลายล้างอันน่ากลัวก็บีบรัด ร่างของซูอี้สั่นสะท้านขึ้นมา พลังในกายขับเคลื่อนอย่างเต็มกำลัง จึงสามารถต้านทานการจู่โจมของพลังทำลายล้างเช่นนั้นได้
ตราบจนคุ้นเคยกับพลังทำลายล้างเช่นนี้แล้ว ซูอี้จึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ และมุ่งหน้าเข้าไปใกล้อีกครั้ง
ชั่วขณะนี้ เขาเปรียบเสมือนเรือน้อยที่จู่ ๆ ก็ถูกกระแสคลื่นน้ำวนสีเลือดพัดหมุนจนโคลงไปเคลงมา อันตรายจนถึงขั้นพลิกคว่ำ แทบจะถูกเกลียวคลื่นซัดจมหลายครั้ง
โครม!
นัยน์ตาสีดำขลับของซูอี้ลุ่มลึก พลังในตัวถูกนำมาใช้จนแทบสิ้น ร่างสูงตระหง่านประดุจต้นสนที่หยั่งรากลึกบนหน้าผาสำแดงเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องอย่างช้า ๆ
พลังมารโลหิตที่เดือดดาลประดุจดังคลื่นทะเลพัดกระหน่ำในมหาสมุทรบ้าคลั่ง ซัดร่างผอมสูงของเขาไม่ขาด ทุกครั้งที่ถูกคลื่นซัดราวกับถูกค้อนยักษ์ขยี้ร่าง แรงซัดทำให้ผิวหนัง เอ็นกระดูก เลือดลม และอวัยวะภายในล้วนสั่นสะเทือน
รสชาติแห่งความเจ็บปวดนั้นเปรียบดังถูกดาบทู่เล่มหนาสับอย่างแรง ทำให้ซูอี้ถึงกับขมวดคิ้วส่งเสียงร้องออกมา
เหล่านี้ไม่ต่างอะไรไปจากการหาเรื่องใส่ตัว
แต่ช่วยไม่ได้ เพื่อฝึกฝนเต๋ากังให้สมบูรณ์โดยเร็ว วิธีทรมานอันหฤโหดเช่นนี้จึงเป็นวิธีที่ได้ผลดีเป็นที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกทั้ง อยู่ต่อหน้าเกลียวคลื่นสีเลือดที่ยิ่งใหญ่ หากไม่ระวัง อาจจะได้รับภัยพิบัติรุนแรงที่สุดได้ ไม่แตกต่างไปจากการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม
ซูอี้ถอยออกไปโดยไม่ลังเล เขากลับไปสู่พื้นดิน หยิบโอสถออกมากำหนึ่งแล้วเริ่มนั่งสมาธิเพื่อฝึกตน
เขาในเวลานี้มีสีหน้าขาวซีด ทุกพื้นผิวบนตัวเจ็บแสบดังถูกฉีกทึ้ง มือเท้าสั่นสะท้านไม่อาจสั่งให้หยุดได้ ธาตุแท้ในตัวแทบสูญสิ้น ตกอยู่ในภาวะอ่อนล้าอย่างที่สุด
“ยังดีที่ให้คนกลุ่มนั้นกลับไปก่อน หากให้พวกเขามาเห็นสภาพเช่นนี้ เกรงว่าชื่อเสียงอันเกรียงไกรของข้าคงจะไม่มีเหลือ…”
มุมปากของซูอี้กระตุก
เขาสูดหายใจลึก ๆ บังคับตัวเองให้อยู่ในสมาธิอย่างสุดกำลัง
หลังจากผ่านไปสามชั่วยามเต็ม ๆ
เขาลืมตาขึ้นช้า ๆ แล้วลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง มายังกระแสสีเลือดที่ก่อให้เกิดเกลียวคลื่นขนาดมหึมา แสดงพลังแห่งเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ราวกับคนเสียสติที่สงบนิ่งทว่ามุ่งมั่นอดทน ฝึกฝนตัวเองท่ามกลางความเป็นความตาย
การฝึกมหาวิถี ไม่เคยมีวิธีเหนื่อยหนเดียวได้ประโยชน์ตลอดกาล
ต้องการยิ่งใหญ่ไร้ผู้เทียบเทียม ตั้งแต่บรรพกาลมีเพียงวิถีทางเดียว ยอมรับการฝึกฝนที่คนอื่นไม่อาจยอมรับได้!
สำหรับซูอี้แล้ว ถึงแม้ยามปกติเขาจะเกียจคร้านอย่างมาก ทว่าสำหรับการฝึกตนแล้วกลับไม่เคยเพิกเฉยผ่อนปรนเลยแม้ต่อน้อย
ในทางกลับกัน เขาเคร่งครัดต่อตัวเองมากจนถึงขั้นวิตถาร
และก็เป็นเพราะพลังมุ่งมั่นและตั้งใจเช่นนี้ จึงทำให้เขาในชาติก่อนสามารถเป็นใหญ่ในเก้ามหาแดนดินแต่เพียงผู้เดียว
เพื่อวิถีดาบที่ล้ำเลิศยิ่งขึ้น เขาจึงไม่เสียดายฐานะ เกียรติยศ และศักดิ์ศรีที่เคยมีในอดีตชาติ ตัดสินใจแน่วแน่กลับชาติมาฝึกตนใหม่อีกครั้ง!
เจาะลึกถึงแก่น นี่ก็คือเรื่องของจิตใจ
เมื่อจิตใจมุ่งมั่นในวิถีดาบ เรื่องอื่นใดที่นอกเหนือจากการฝึกตนล้วนกลายเป็นสิ่งไร้ค่า
หลังจากนั้นสองวัน
ซูอี้เซถลานั่งลงกับพื้น สีหน้าขาวซีด เหงื่อหนาวเปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง สั่นระริกไปทั้งตัว ร่างกายอ่อนแรงหมดกำลัง
เขาหอบหายใจอย่างแรง ทว่าความปีติยินดีกลับผุดขึ้นบนสีหน้าไม่อาจระงับไว้ได้ จนท้ายสุด มุมปากก็ยังเผยอยิ้มน้อย ๆ
ดวงตาใสสว่างลุ่มลึกคู่นั้นดุจดั่งดวงดาวส่องประกายบนท้องฟ้า
“สำเร็จแล้ว!”
เสียงแห่งความพึงพอใจดังออกมาจากริมฝีปากของซูอี้
ผ่านไปเดือนกว่า การฝึกตนของเขาในวันนี้ก็สำเร็จขั้นขอบเขตรวบรวมลมปราณอย่างสมบูรณ์พร้อม
พลังทั่วทั้งตัวล้วนถูกขัดเกลาจนเต๋ากังกลายเป็นบริสุทธิ์สมบูรณ์!