บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 246 เข้าสู่ขอบเขตแห่งปรมาจารย์
ตอนที่ 246: เข้าสู่ขอบเขตแห่งปรมาจารย์
ตอนที่ 246: เข้าสู่ขอบเขตแห่งปรมาจารย์
ก่อนที่จะเข้าหุบเขามารบุปผาโลหิต เต๋ากังที่ซูอี้ฝึกฝนได้มีเพียงแค่หนึ่งส่วนเท่านั้น
ทว่าตอนนี้ เขาฝึกฝนธาตุแท้ทั้งหมดในตัวจนเป็นเต๋ากังแล้ว
นี่ก็คือ ‘การแปรสภาพ’
เมื่อบรรลุสมบูรณ์ก็หมายความว่าผลการฝึกตนขอบเขตรวบรวมลมปราณบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว!
“ในที่สุดก็สามารถฝึกฝนขอบเขตหลอมกำเนิด…”
ขณะที่ครุ่นคิด ซูอี้ก็หยิบท้อไฟหยางบริสุทธิ์ที่เก็บรักษามานานออกมาสองผลโดยไม่ลังเล
นี่คือโอสถวิญญาณระดับสี่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยตัวสกัดธาตุไฟหยางบริสุทธิ์ มีคุณประโยชน์อย่างมากต่อการรวมชีพจรขอบเขตหลอมกำเนิด
หลังจากที่กลืนท้อไฟหยางบริสุทธิ์สองผลไปแล้ว ซูอี้จึงรู้สึกว่ากระแสร้อนเดือดปุดพลุ่งพล่านไปทั่วทั้งตัว
เขาขับเคลื่อนเคล็ดลับเดินพลังที่เกี่ยวข้องกับบทหลอมกำเนิดซึ่งอยู่ในเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงเริ่มนั่งสมาธิ
ขอบเขตหลอมกำเนิด คือการฝึกฝนอวัยวะทั้งห้าซึ่งประกอบด้วยหัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไต เปรียบได้กับเตาหลอมห้าจุด ด้วยเหตุนี้จึงถูกตั้งชื่อว่าขอบเขตหลอมกำเนิด
ฝึกตนจนถึงขั้นสุดยอด อวัยวะภายในจะแข็งแกร่งประดุจเตาหลอม กลืนหินทองคำเข้าไปก็สามารถหลอมละลายได้
วิชาฝึกที่ต่างกัน ตำแหน่งอวัยวะภายในที่ฝึกฝนขั้นที่หนึ่งของปรมาจารย์ก็ต่างกันไปด้วย
ดังเช่นเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง การฝึกฝนขั้นที่หนึ่งคือหัวใจ
หัวใจ เป็นธาตุไฟ
ผู้มีหัวใจแกร่งกล้า เปรียบประดุจเตาหลอมที่แผดเผา บ่มเพาะวิญญาณโลหิต ฝึกฝนจิตใจ
สำหรับซูอี้แล้ว ในขอบเขตเดียวกันหากต้องการล้ำหน้าเกินกว่าเมื่อชาติที่แล้ว ต้องฝึกฝนจนเกิดพื้นฐาน ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ เท่านั้น!
เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณดังกล่าวก็คือการฝึกฝนจนเกิด ‘แสงเบญจธาตุ’ อันได้แก่ ธาตุไม้ ธาตุทอง ธาตุไฟ ธาตุน้ำ และธาตุดินในเตาหลอมอวัยวะทั้งห้า
ธาตุไม้ มีแสงประจำคือสีเขียว เพาะเลี้ยงเตาหลอมแห่งตับ
ธาตุทอง มีแสงประจำสีทอง เพาะเลี้ยงเตาหลอมแห่งปอด
นับเช่นนี้ไปตามลำดับ
อวัยวะทั้งห้าประดุจเตาหลอม เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ จึงก่อรูปเป็นพลังมหาสมบูรณ์ นี่ก็คือความเร้นลับสุดท้ายของปรมาจารย์ขั้นที่ห้า
ตามการศึกษาสังเกตของซูอี้ ในโลกสามัญต้าโจวแห่งนี้ ผู้ยิ่งใหญ่อย่างหนิงซือฮวากับมู่ซีล้วนแล้วไม่ได้ฝึกฝน ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ จนสำเร็จอย่างแท้จริง
หากว่าเป็นที่เก้ามหาแดนดินเมื่อชาติก่อน ผู้มีพื้นฐานคนใดก็ตามที่มี ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ ล้วนเป็นบุคคลเก่งแห่งฟ้าดิน หมื่นปีพันปีก็ยังยากจะได้พบ!
โดยทั่วไปแล้ว มีแต่เพียงสำนักเต๋าเก่าแก่โบราณเท่านั้นจึงมีหวังที่จะบ่มเพาะบุคคลขั้นสุดยอดเช่นนี้ได้
แน่นอนว่าแค่มีหวังเท่านั้น
ในอดีต ซูอี้มีศิษย์ที่ได้รับการสืบทอดจากตนเองเก้าคน ทว่าผู้ที่ฝึกฝน ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ ได้สำเร็จ กลับมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น
คนหนึ่งคือศิษย์เอกผีหมัว คนที่สองคือศิษย์ห้าหวังเชวี่ย และคนที่สามคือศิษย์เล็กชิงถัง
เพียงแต่ว่า พื้นฐานอย่างเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณก็ยังมีการแบ่งลำดับขั้น
ดังเช่นเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณที่ชิงถังฝึกฝนสำเร็จ เวลาที่ปล่อยแสงเบญจธาตุออกมา สามารถพุ่งสูงถึงร้อยจั้ง สว่างเจิดจ้าราวกับสายรุ้งเทพห้าสี
เมื่อเทียบกับแสงเบญจธาตุแปดสิบจั้งของศิษย์เอกผีหมัวกับแสงเบญจธาตุหกสิบจั้งของศิษย์ห้าหวังเชวี่ยแล้ว แสงเบญจธาตุของศิษย์เล็กของชิงถังสูงยิ่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
สำหรับโลกแห่งนี้ ซูอี้ฝึกฝนพื้นฐานยิ่งใหญ่สามประเภท อันได้แก่ ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ‘ชีพจรลับ’ และ ‘เต๋ากัง’ จนสำเร็จตั้งแต่อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณแล้ว เพียงพอที่จะทำให้เขาฝึกฝนเบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการฝึกตนขอบเขตหลอมกำเนิด!
ทว่ายังเร็วเกินไปนักที่จะพูดสิ่งเหล่านี้ในเวลานี้
เพราะอย่างไรเสีย ตอนนี้ เวลานี้ เขาเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตหลอมกำเนิดเท่านั้น…
ครืน!
พลังเลือดลมอันแข็งแกร่งถาโถมในร่างของซูอี้ราวกับภูเขาทลายคลื่นใหญ่ซัด พลังปราณในร่างราวกับกำลังโหมกระหน่ำ ทั่วทั้งร่าง อาบชโลมอยู่ท่ามกลางแสงเรืองรองแห่งธาตุแท้
และที่หัวใจของเขา มันได้เกิดจังหวะลี้ลับอันมีเอกลักษณ์คล้ายกับเตาหลอมที่กำลังแผดเผา เสียงดังประดุจอัสนีวายุ รุนแรงเดือดดาล
ชั่วขณะที่คลุมเครือ ประกายแสงเบญจธาตุเริ่มแผ่ซ่านครอบคลุมหัวใจแล้ว
จนกระทั่งหลังจากครึ่งวันผ่านไป
ซูอี้ลืมตาขึ้นช้า ๆ
ชั่วขณะนี้ ณ ทรวงอกอันเป็นจุดที่ตั้งของหัวใจ แสงสีแดงเป็นประกายพุ่งออกมา ยิงทะลุขึ้นสู่ท้องฟ้า
ชั่วพริบตาเดียวก็พุ่งสูงถึงร้อยจั้ง!
ฉับพลัน ประกายแสงสีแดงนี้ก็หายไป
“ข้าเพิ่งย่างเข้าสู่ขอบเขตหลอมกำเนิด ก็สามารถฝึกฝนแสงเบญจธาตุอันเป็นที่ตั้งของหัวใจสูงถึงร้อยจั้งได้ หากฝึกตนในขั้นนี้จนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมเป็นแน่!”
รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของซูอี้
ขอบเขตหลอมกำเนิด หรือเรียกอีกอย่างว่าขอบเขตปรมาจารย์ สำหรับโลกสามัญแล้ว เป็นการดำรงอยู่ราวกับเทพมังกรบนสวรรค์
บรรลุถึงขั้นนี้ก็สามารถฆ่าศัตรูในระยะไกลได้ สามารถบินได้ในช่วงเวลาอันสั้น เลือดลมทั่วร่างไม่หวาดหวั่นต่อการกัดกร่อนของน้ำและไฟ สามารถไปในที่ ๆ ห่างไกลนับร้อยจั้งเพียงชั่วครู่เดียว
ยิ่งไปกว่านั้นผู้มีพื้นฐานที่มี ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’ ยังสามารถใช้ยุทธ์บงการวิญญาณ ใช้กำลังสลายเคล็ดวิชาได้!
กล่าวอีกอย่างก็คือใช้ผลการฝึกขอบเขตหลอมกำเนิดมาบงการปราณวิญญาณและกำลังแห่งฟ้าดิน จากนั้นผันแปรเป็นพลังอานุภาพอันเปรียบได้กับกฎเคล็ดวิชา!
ในครั้งที่ประลองเพื่อศึกษากับซูอี้ หนิงซือฮวาก็เคยแสดงพลังเช่นนี้
ถึงแม้หนิงซือฮวาจะแกร่งกล้ามาก ทว่ากลับไม่ได้ฝึกฝนแสงเบญจธาตุ ณ จุดที่ตั้งของอวัยวะภายในทั้งห้าอย่างแท้จริง
ตามการสันนิษฐานของซูอี้ สตรีลึกลับนางนี้คงจะฝึกฝนแสงเบญจธาตุเพียงสองอย่างเท่านั้น ไม่ใช่ห้าอย่าง
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงน่าสะพรึงกลัวอยู่ดี
เพราะอย่างไรเสีย ที่นี่ก็คือโลกสามัญ
สงบใจรับรู้ความเปลี่ยนแปลงของกำลังและพลังปราณในร่างเสร็จแล้ว ซูอี้ก็ลุกขึ้นยืน
เขาในตอนนี้ เป็นปรมาจารย์อย่างแท้จริงแล้ว!
พอพลิกฝ่ามือ หยกวิญญาณชิ้นหนึ่งก็ปรากฏในมือของซูอี้
เขาแหงนหน้ามองดูเกลียวคลื่นสีเลือดพันจั้งใต้ท้องฟ้านั้น ในใจเกิดความเสียดายน้อย ๆ
ในการเดินทางมาครั้งนี้ เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะค้นหาปริศนาเรื่องชาติกำเนิดของชิงหว่าน
ทว่าดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เป็นไปได้ยาก ทว่าซูอี้ก็พอจะคาดเดาออกบ้างแล้ว เกรงว่าหยกวิญญาณชิ้นนี้คงจะมาจากโลกที่อยู่อีกฝั่งของผนังมิติ!
หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า ชิงหว่านอาจจะไม่ใช่คนในมหาทวีปคังชิง!
“ด้วยลวดลายและริ้วรอยที่หลอมประทับบนหยกวิญญาณชิ้นนี้ หากใช้วิชาลับบางอย่างมาผลักดัน ก็จะสามารถข้ามทะลุผนังโลกนี้ได้โดยตรง แต่เสียดาย พลังแห่งหยกวิญญาณถูกทำลายลงจนไม่เหลือแล้ว จึงไม่อาจแยกแยะความเร้นลับอื่น ๆ ได้อีก…”
ซูอี้คิดสักครู่ จากนั้นจึงเก็บหยกวิญญาณ หมุนตัวออกไปจากโลกใต้ดินแห่งนี้
เมื่อจวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งหลอมละลายจิตวิญญาณในห้วงความนึกคิดของเขาแล้ว บางทีอาจสามารถค้นหาข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับโลกนอกผนังมิติจากความทรงจำของจิตวิญญาณนั้นได้บ้าง
ถึงเวลานั้น ก็จะสามารถคาดเดาเบาะแสบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของชิงหว่านได้เป็นธรรมดา
——-
บนพื้นดิน
“ผ่านไปสองวันแล้ว เหตุใดคุณชายซูจึงยังไม่กลับมาอีก หรือว่าจะเกิดเหตุอันใดขึ้น?”
เฉินเจิ้งรู้สึกเป็นห่วง
“หากว่าเขาเกิดเหตุ ต่อให้พวกเราทุกคนเข้าไปช่วยพร้อมกัน เกรงว่าคงไม่มีประโยชน์”
หนิงซือฮวายิ้มน้อย ๆ
เทียบกับคนอื่น ๆ แล้ว นางสงบนิ่งเป็นที่สุด
“พูดขึ้นมา เดิมทีครั้งนี้พวกเรามาเพื่อเสาะหาโอกาสสัมพันธ์ ไม่นึกเลยว่า สิ่งที่ได้เจอะเจอกลับเป็นภัยพิบัติที่คาดไม่ถึง ช่างกลั่นแกล้งกันเหลือเกิน”
ผูอี้ผู้อาวุโสใหญ่ของตำหนักศึกษาซิงหยาถอนใจ
เชินจิ่วซง เจียงถานอวิ๋น หลูฉางเฟิง นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน แล้วได้แต่แอบถอนใจเช่นกัน
จริงตามว่า ใครกันจะคาดคิด ว่าปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในหุบเขามารบุปผาโลหิตจะมีความเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกตนบำเพ็ญจากอีกโลก?
ซึ่งพรรคมารหยินรู้ความลับนี้ตั้งนานแล้ว!
พวกเขายังถึงขั้นออกเดินทางกันก่อนล่วงหน้า เพื่อเตรียมตัวตอบรับสิ่งน่ากลัวที่ข้ามภูมิมา
โชคยังดีที่การตอบรับในครั้งนี้ถูกซูอี้ทำลาย มิเช่นนั้นก็ไม่อาจคาดเดาผลที่จะเกิดขึ้นตามมา
“ปราณวิญญาณในมหาทวีปคังชิงบางเบาถึงเพียงนี้ เหตุใดผู้ฝึกตนแท้จริงอย่างพวกเขาเหล่านั้นต้องข้ามผนังมิติมาด้วย?โลกนี้มีผลประโยชน์อันใดควรค่าแก่พวกเขาข้ามมากัน?”
มู่ซีพึมพำ
เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก
“ลำพังเพียงแค่หุบเขามารทั้งแปดแห่งในดินแดนต้าโจว แต่ละแห่งล้วนซุกซ่อนความเร้นลับอันยิ่งใหญ่ หากมองไกลไปถึงเขตแคว้นนับร้อยทั่วมหาทวีปคังชิง สถานที่ที่ซุกซ่อนความเร้นลับยิ่งใหญ่เช่นนี้คงมีจำนวนไม่น้อยเลย”
หนิงซือฮวากล่าวเคร่งเครียด “บัดนี้ พวกเรารู้เพียงแค่ว่าภายในหุบเขามารบุปผาโลหิตแห่งนี้ ผนึกกั้นผนังมิติ แต่ไม่ได้หมายความว่า ในหุบเขามารอื่น ๆ จะไม่มีผนังมิติเช่นนี้”
ทุกคนต่างพากันหวาดหวั่นขึ้นมาในใจ
“ที่ข้าอยากจะรู้ยิ่งกว่าก็คือ แท่นบูชาหนึ่งร้อยแปดแท่นเช่นนั้นใครกันที่เป็นผู้ตั้ง และเหตุใดต้องผนึกมิติโลกที่อยู่ใต้รอยแยกนั้นด้วย เรื่องนี้จะต้องมีความลับซุกซ่อนเป็นแน่”
มู่ซีกล่าวเคร่งเครียด
พวกเชินจิ่วซงได้ฟังการสนทนาทั้งหมดนี้แล้ว ถึงกับทำให้พวกเขายิ่งกลัดกลุ้มใจมากขึ้น
ในโลกสามัญ พวกเขาคนใดบ้างที่ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ในบรรดายอดยุทธ์? คนใดบ้างที่ไม่มีฐานะสูงส่งหรือไม่มีอำนาจล้นฟ้า?
ทว่า หลังจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับความลับในสถานที่แห่งนี้แล้ว และหลังจากที่ได้รู้ถึงความน่ากลัวของผู้ฝึกตนที่แท้จริงแล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้เกิดความรู้สึกกดดันขึ้นมา
ปรมาจารย์ผู้แกร่งกล้าสามารถ?
เกรงว่าคงจะมีแต่ในโลกสามัญเท่านั้นจึงจะได้รับการยกย่องเช่นนี้
ในสายตาของผู้ฝึกตนบำเพ็ญที่แท้จริง ขอบเขตปรมาจารย์ทั้งหลายก็เป็นเพียงแค่ขอบเขตหลอมกำเนิดขั้นที่สามของวิถียุทธ์เท่านั้น!
ผู้ฝึกตนที่แท้จริง กินลมดื่มน้ำค้าง ไม่แตะธัญพืช ขี่เมฆขับหมอก เป่าลมเป็นสายฟ้า!
นั่นจึงจะเป็นการดำรงอยู่อย่างเทพเซียน
เหมือนกับผู้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เทพเซียนเดินดิน’ ในโลกสามัญเหล่านั้นจึงจะกล่าวได้ว่าก้าวเข้าสู่ประตูแห่งวิถีการบำเพ็ญอย่างแท้จริง
ทว่า…
ก็เพียงแค่เพิ่งย่างเข้าประตูเท่านั้น
เมื่อทำความเข้าใจความลับที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนเหล่านี้อย่างแท้จริงแล้ว จะไม่ให้ผู้ยิ่งใหญ่ในโลกสามัญที่มีอำนาจล้นฟ้าเหล่านี้เศร้าใจได้เช่นใด?
เข้าใจว่าตัวเองประดุจมังกรเทพบนสวรรค์ แท้จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่กลุ่มคนที่ยังไม่ได้ย่างก้าวเข้าสู่ประตูแห่งการฝึกตนอย่างแท้จริงก็เท่านั้น…
“โชคดีที่ข้าได้รับการชี้แนะจากเจ้าตำหนักหนิงก่อนนานแล้ว รู้ว่าควรจะคว้าโอกาสที่เกี่ยวข้องกับการฝึกตนนั้นอย่างไร!”
เทียบกับคนอื่น ๆ แล้ว เชินจิ่วซงแอบรู้สึกโชคดีในใจ
“ความเร้นลับที่ซ่อนเร้นอยู่ในที่แห่งนี้ สหายเต๋าซูจะต้องรู้มากกว่าพวกเราอย่างแน่นอน ด้วยวิธีการของเขา จะต้องมีวิธีแก้ไขแน่”
หนิงซือฮวากล่าวสบาย ๆ ทว่าเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวซูอี้มาก
มู่ซีชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นพยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด เขายังเคยบอกด้วยว่า อยากจะให้ผู้ฝึกตนข้ามภูมิเหล่านั้นข้ามโลกมาเสียด้วยซ้ำ เช่นนี้จะได้จับเป็นเหยื่อทั้งหมด…”
พูดถึงสุดท้าย สายตาของเขาดูประหลาด สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโลกใต้ดิน เมื่อได้ยินซูอี้มองดูเหยื่อที่มาจากภายนอกและเอ่ยด้วยความดูแคลน มู่ซีรู้สึกว่าช่างเหลวไหลยิ่งนัก ยังคิดไปว่าซูอี้กำลังคุยโม้โอ้อวด
ทว่าตอนนี้ มู่ซีกลับต้องยอมรับแล้วว่า ซูอี้ใช้ความสามารถที่แท้จริงตบหน้าเขาอย่างแรง
ผู้ฝึกตนภูมิอื่นที่สิงสถิตเฉินเจิ้งนั้นถูกซูอี้จับกักขังอย่างง่ายดาย!
ได้ยินคำกล่าวของมู่ซีแล้ว สีหน้าของพวกผูอี้ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน พวกเขาต่างพากันแอบถอนใจ
ในโลกนี้ เกรงว่าคงจะมีแต่ซูอี้ผู้ที่ไม่อาจใช้หลักการทั่วไปมาเป็นเครื่องวัดเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าทำเช่นนี้…
หากเป็นคนอื่น ผู้ใดจะกล้าดูแคลนผู้ฝึกตนภูมิอื่นที่สามารถข้ามผนังมิติเหล่านั้นถึงเพียงนี้ได้?
เฉินเจิ้งกล่าวออกมาว่า “หากว่าเป็นตอนที่ยังหนุ่ม ข้าจะต้องขอร้องคุณชายซูให้รับข้าเป็นศิษย์โดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นเป็นแน่ เช่นนี้ อาจจะสามารถก้าวสู่หนทางแห่งการฝึกตนที่แท้จริงได้ตั้งแต่เริ่มต้นก็เป็นได้ ไม่ต้องเป็นเหมือนดังตอนนี้ที่ได้แต่ลอยเคว้งคว้างอยู่บนหนทางแห่งวิถียุทธ์…”
ผู้พูดไม่ได้มีเจตนา ผู้ฟังกลับคิดจริงจัง
คำกล่าวของเฉินเจิ้งนี้ทำให้ผูอี้กับพวกของเจียงถานอวิ๋นถึงกับสะดุ้งขึ้นมาในใจ