บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 247 ร่วมยินดี
ตอนที่ 247: ร่วมยินดี
ตอนที่ 247: ร่วมยินดี
ผูอี้ รองเจ้าตำหนักซิงหยาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งคำพูดเอ่ยถามไปยังมู่ซีผ่านคลื่นปราณวิญญาณ “ท่านมู่ ท่านคิดเห็นอย่างไรกับซูอี้ผู้นี้”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการที่เขาลอบถามผ่านคลื่นปราณเช่นนี้เป็นเพราะไม่ต้องการให้คนอื่น ๆ ได้ยินมัน
มู่ซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงยินยอม “แม้ข้าจะรู้สึกไม่เต็มใจนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาลึกล้ำยิ่ง และตัวข้านั้นไม่อาจเทียบกับเขาได้…”
เขาพูดด้วยอารมณ์ “ท่านลองคิดดูเอาก็แล้วกันว่าทั้งชีวิตของท่านที่เคยพบเจอผู้คนมามากมาย มีผู้ใดบ้างที่สามารถเทียบได้กับซูอี้ผู้นี้…”
ผูอี้เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถามอีกครั้งผ่านคลื่นปราณวิญญาณ “เช่นนั้นแล้วท่านมู่คิดว่าตำหนักซิงหยา สามารถใช้โอกาสนี้ผูกสัมพันธ์ต่อซูอี้เพื่อสร้างมิตรภาพได้หรือไม่?”
มู่ซีเหลือบมองอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “ถ้าท่านทำได้มันย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐนัก แต่ทว่าเรื่องราวอาจไม่ง่ายดังเช่นที่ท่านหวัง เว้นแต่ท่านผูอี้จะสามารถเป็นตัวแทนของตำหนักซิงหยาได้ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นแล้วซูอี้ผู้นี้คงไม่เห็นท่านอยู่ในสายตา”
ผูอี้พยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก
ขณะนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าต้องใช้ความพยายามมากกว่าที่เคยคิดในการสร้างความสัมพันธ์กับซูอี้
และมีความเป็นไปได้สูงที่ซูอี้จะไม่รับไมตรีของเขาในท้ายที่สุด
แม้ว่าซูอี้จะดูเยาว์ แต่กลับมีบุคลิกหยิ่งทะนงจนฝังกระดูก ถ้าต้องการได้รับมิตรภาพจากซูอี้ เขาต้องมีโอกาสที่เหมาะสมด้วย
ไม่นานหลังจากนั้น ร่างของซูอี้ก็โผล่ออกมาจากรอยแยก
ทุกคนหยุดพูดและลุกขึ้นโดยไม่รู้ตัวก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
“ข้าบอกพวกท่านไปแล้วไม่ใช่หรือไร ผู้เลิศล้ำเช่นคุณชายซูย่อมปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนแน่นอน”
เชินจิ่วซงกล่าวด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น
“สหายเต๋า นี่ท่านทะลวงขอบเขตได้แล้วงั้นหรือ?”
เมื่อนางเห็นรัศมีบนร่างกายของซูอี้ หนิงซือฮวาจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
ซูอี้ยังคงมีสีหน้าเฉยเมยเช่นเดิม เนื่องจากหนิงซือฮวามีประสาทสัมผัสอันเฉียบคมเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไป นางจึงสามารถสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของซูอี้ในปัจจุบันกับก่อนหน้านี้ แต่ถ้าหากเป็นคนธรรมดาทั่วไปแล้วนั้น ไม่มีทางเลยที่จะตรวจจับได้ว่ามีสิ่งใดที่แปลกแตกต่างออกไปบ้างในตัวของซูอี้…
ทะลวงขอบเขต?
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่ซี ผูอี้ และคนอื่น ๆ ต่างก็สั่นไหว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้หมายความว่าคนหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีตรงหน้าได้ทลายกำแพงขอบเขตรวบรวมลมปราณและเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์เรียบร้อยแล้ว!
และเมื่อพวกเขาคิดถึงความแข็งแกร่งอันน่าตื่นตะลึงเมื่อยามที่ซูอี้อยู่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันน่าขนลุก …เพราะตอนนี้ซูอี้ได้ก้าวเข้าขอบเขตปรมาจารย์แล้ว!
นับจากนี้เขาจะน่ากลัวได้อีกขนาดไหนกัน?
“สำหรับข้า การทะลวงขอบเขตหาใช่ยากเย็นไม่ แต่สิ่งที่ยากคือการขัดเกลารากฐานให้มั่นคง” ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
ความหมายในคำตอบของเขาคือ เขายอมรับว่าทะลวงขอบเขตจริงดังเช่นที่หนิงซือฮวาเอ่ยทัก
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของทุกคนปั่นป่วนอีกครั้ง
หนิงซือฮวาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพลิกฝ่ามือเรียกลูกปัดสีน้ำเงินสดใสขึ้นมาอยู่ในฝ่ามือ ยื่นให้ซูอี้พร้อมกับกล่าวว่า
“นี่คือลูกปัดบำเพ็ญวิญญาณ มีผลยอดเยี่ยมในการขัดเกลาอวัยวะภายในและจิตวิญญาณ ของสิ่งนี้ข้ามั่นใจว่าจะเป็นของขวัญแสดงความยินดีชิ้นเยี่ยมให้แก่สหายเต๋าในช่วงที่เพิ่งฝ่าด่านเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์เช่นนี้แล้ว”
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก
ของสิ่งนี้นับว่ามีค่ามหาศาล!
ลูกปัดบำเพ็ญวิญญาณเป็นสมบัติที่หายากอย่างยิ่งยวด สามารถนับได้ว่ามันคือวัตถุวิญญาณระดับสี่ลำดับต้น ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะอวัยวะภายในทั้งหลายในระหว่างการฝึกฝนขอบเขตปรมาจารย์อย่างยิ่ง
ซูอี้สีหน้าแปรเปลี่ยน เขาหรี่ตามองเพ่งไปที่หนิงซือฮวาและกล่าวว่า “ตกลง ข้ารับของขวัญชิ้นนี้ ขอบคุณเจ้ามาก”
หลังจากพูดจบ เขารับลูกปัดสีน้ำเงินมาและเก็บมันลงในจี้หยกข้างเอว
การครอบครองสมบัตินี้เพียงพอที่จะช่วยเขาประหยัดเวลาในการบ่มเพาะได้มากเมื่อเขาอยู่ในขั้นแรกของปรมาจารย์!
เมื่อเห็นซูอี้ยอมรับ หนิงซือฮวาก็อดยิ้มไม่ได้
เมื่อตอนที่นางอยู่ที่มหานครกุ่นโจว นางตระหนักได้อยู่แล้วว่าซูอี้อยู่ห่างจากการเป็นปรมาจารย์เพียงก้าวเดียว ดังนั้นนางจึงเตรียมสมบัติชิ้นนี้เอาไว้ล่วงหน้ามาตั้งแต่เมื่อตอนนั้น
เมื่อเห็นว่าซูอี้รับสมบัติชิ้นนี้อย่างยินดี หนิงซือฮวาจึงรู้สึกว่าการเตรียมการล่วงหน้าของนางไม่เสียเปล่าแล้ว
“คุณชายซู นี่คือสมุนไพรวิญญาณระดับสี่ที่เชินผู้นี้ได้รับมาโดยบังเอิญเมื่อไม่กี่ปีก่อน สรรพคุณของมันนั้นวิเศษนัก มันช่วยให้รากฐานของผู้บ่มเพาะขอบเขตปรมาจารย์มั่นคงยิ่งขึ้น ของสิ่งนี้ถือว่ามาจากใจของเชินที่อยากจะแสดงความยินดีกับคุณชายที่ประสบความสำเร็จในการทะลวงผ่านขอบเขต โปรดคุณชายยอมรับน้ำใจเล็กน้อยนี้ของเชินด้วยเถิด!”
เชินจิ่วซงกล่าวพร้อมกับหยิบกล่องหยกขนาดเท่าฝ่ามือออกจากแขนเสื้อคลุมของเขา ส่งต่อให้ซูอี้ด้วยมือทั้งสองข้าง
ซูอี้ประหลาดใจ และแน่นอนว่าเขาตระหนักได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นหนิงซือฮวาหรือเชินจิ่วซง ทั้งสองคนนี้ได้เตรียมของขวัญเหล่านี้เอาไว้ตั้งนานแล้ว
เมื่อรับกล่องหยกมาและเปิดออก ซูอี้ก็เห็นเห็ดสีหมึกชิ้นหนึ่งขนาดเท่านิ้วหัวแม่มืออยู่ในนั้น กลิ่นของมันฟุ้งตลบอบอวลไปด้วยสรรพคุณทางยาเข้มข้น
นี่คือเห็ดหยกสีหมึกซึ่งมีอายุอย่างน้อยหนึ่งร้อยปี
“ขอบคุณเจ้ามาก”
ซูอี้เก็บกล่องหยกและพยักหน้าไปทางเชินจิ่วซง
เชินจิ่วซงหัวเราะทันที พูดว่า “เชินยินดียิ่งที่คุณชายซูชอบ”
ผูอี้ เฉินเจิ้ง และคนอื่น ๆ เฝ้าดูด้วยความงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ใครจะไม่เห็นบ้างว่าของขวัญแสดงความยินดีเหล่านี้ที่หนิงซือฮวาและเชินจิ่วซงส่งมอบไปนั้นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันคือการวางแผนมาล่วงหน้าแล้ว!
ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาพลันตระหนักได้ว่าแม้จะเป็นผู้ที่มีอำนาจอย่างหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซง คนเหล่านี้ก็ยังต้องการได้รับการยอมรับและมิตรไมตรีจากซูอี้!
ผูอี้กัดฟันอย่างลับ ๆ ก่อนจะหยิบสมบัติที่เขาเก็บไว้หลายปีออกมา และยื่นมันออกมาข้างหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า
“คุณชายซู ผูผู้นี้ไม่ได้นำสมบัติดี ๆ ติดตัวมาด้วยในการเดินทางออกมาครั้งนี้ ตอนนี้ผูมีแต่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เก็บเอาไว้นานแล้วซึ่งค่อนข้างดี หวังว่าคุณชายคงจะชอบมัน”
มันคือขวดหยกขาวขนาดเล็ก สูงเพียงหนึ่งคืบ ผิวใสดุจผลึกแก้ว
ดวงตาของซูอี้เป็นประกายอย่างประหลาดและเขาก็กล่าวว่า “นี่ดูเหมือนจะเป็นศาสตราวิญญาณ?”
ผูอี้ยิ้มและกล่าวว่า “สายตาคุณชายช่างเฉียบแหลม ขวดหยกนี้ข้าตั้งชื่อให้มันว่า ‘เหยือกเลี้ยงวิญญาณ’ เมื่อตอนที่ข้ากำลังสำรวจหุบเขาเถาวัลย์อาถรรพ์ ข้าบังเอิญได้เจอมันในซากปรักหักพังแห่งหนึ่ง ขวดหยกนี้มีพื้นที่มิติในตัวของมันเองและยังสามารถกักเก็บภูตผีหรือดวงวิญญาณและหล่อเลี้ยงพวกมันได้ไปในตัว”
ทุกคนตกตะลึงนี่เป็นสมบัติที่หายากอีกชิ้นหนึ่ง!
ทว่าซูอี้กลับส่ายศีรษะและกล่าวว่า “ไร้ผลงานไม่ควรได้รางวัล ข้าไม่อาจรับไว้ได้ เจ้าเก็บสมบัตินี้ไว้กับตัวเช่นเดิมเสีย”
ผูอี้รู้สึกกังวลทันทีและกล่าวว่า “คุณชายช่วยข้าไว้ก่อนหน้านี้จากภัยพิบัติซึ่งเปรียบได้กับอุ้มข้าออกจากกองเพลิงฉุดข้าจากแม่น้ำเชี่ยว บุญคุณอันมากล้นเช่นนี้สมบัติในมือข้าไม่นับเป็นสิ่งใดได้เลย โปรดคุณชายยอมรับมัน ยอมรับความซาบซึ้งใจของผูด้วย!”
พูดจบ เขาโค้งคำนับและยื่นขวดหยกขาวด้วยมือทั้งสองข้าง
“คุณชายซู นี่เป็นความตั้งใจของผู้เฒ่าผูอี้เช่นกัน หากท่านไม่ยอมรับ เขาอาจจะมีปัญหาในการนอนหลับและดื่มกินในอนาคต”
มู่ซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดว่า “เมื่อข้าช่วยชีวิตผู้คน ข้าไม่เคยต้องการให้ผู้ใดรู้สึกซาบซึ้งหรือเป็นบุญคุณต้องทดแทน ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข้าเอาสมบัตินี้ไป มันจะยิ่งเป็นเหมือนข้าหาประโยชน์เข้าใส่ตัวโดยจงใจ เรื่องนี้จงพอเพียงเท่านี้อย่าได้พูดถึงอีกเก็บมันกลับไปเสีย”
จากนั้นซูอี้ก็เดินไปยังแท่นบูชาที่อยู่ไม่ไกลและพูดว่า “ทุกคนรอข้าสักครู่ ข้าจะต้องผนึกค่ายกลนี้ใหม่ก่อนเราจะจากไป”
หลังจากพูดจบ ซูอี้ก็ลอยร่างขึ้นไปบนอากาศก่อนจะสะบัดนิ้วราวกับขีดเขียนบางสิ่งซึ่งไม่มีผู้ใดเข้าใจความหมาย แต่รับรู้ได้ว่ามันน่าจะเป็นการจัดการค่ายกลต้องห้ามนี้เสียใหม่
เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของผูอี้เปลี่ยนไปเป็นขมขื่นในทันที เขาไม่คิดเลยว่าแผนการมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับซูอี้ครั้งแรกจะถูกปฏิเสธเช่นนี้…
และเมื่อเจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิง สองคนผู้ซึ่งวางแผนที่จะมอบของขวัญให้ซูอี้ด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นสิ่งนี้พวกเขาก็ดับความคิดของตนในทันทีและมองหน้ากันอย่างรู้สึกหมดหนทาง…
ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองดูถูกซูอี้ ดังนั้นมันจึงเป็นการยากยิ่งกว่าที่จะสานสัมพันธ์เพราะอันดับแรกพวกเขาต้องชดเชยความผิดของตนเองก่อน!
มู่ซีก้าวมาข้างหน้า พูดคุยกับผูอี้ด้วยคลื่นปราณวิญญาณ “ข้าพูดก่อนหน้านี้แล้วว่าการผูกมิตรกับคนที่หยิ่งทะนงถึงกระดูกเช่นซูอี้นั้นยากยิ่งนัก โดยเฉพาะการมอบของล้ำค่าให้อย่างหลับหูหลับตาเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่”
“อันที่จริงแล้วเหตุผลหลักที่ซูอี้ยอมรับสินน้ำใจจากหนิงซือฮวาและเชินจิ่วซง หาใช่เพราะสมบัติเหล่านั้นล้ำค่าไม่ แต่มันเป็นเพราะพวกเขาทั้งสองคนได้รับการยอมรับจากซูอี้แล้ว ”
“ส่วนตัวท่านเล่า? ท่านไม่เคยเป็นสหายกับเขามาก่อน แต่กลับคิดมอบของให้แก่เขาอย่างไร้เหตุผล ราวกับว่าเขาเป็นคนมักมากในวัตถุ ท่านคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าเขาจะยอมรับท่านได้อย่างไร?”
มู่ซีถอนหายใจเบา ๆ “ยิ่งไปกว่านั้น ท่านคิดว่าสมบัติซึ่งเอาไว้กักเก็บเลี้ยงดูเหล่าภูตผีอันเล็กจ้อยของท่านมีค่าพอจะเอาชนะใจเขาได้จริง ๆ งั้นหรือ”
ผูอี้ตะลึงและอดหัวเราะกับตัวเองไม่ได้ “บทเรียนนี้ของท่านมู่นั้นถูกต้องแล้ว เป็นข้าเองที่บุ่มบ่ามจนเสียงาน”
มู่ซีส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าแค่พูดไปตามสิ่งที่เห็นเท่านั้นเอง”
อันที่จริง ในใจของมู่ซีตอนนี้ปั่นป่วนอย่างมาก
ในอดีต ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนเขาจะเป็นจุดสนใจเสมอ
แต่ตอนนี้ ด้วยการปรากฏตัวของซูอี้ และมีอีกฝ่ายอยู่ร่วมกลุ่ม มันกลับกลายเป็นว่าเขากลายเป็นตัวประกอบไปโดยไม่อาจขัดขืน
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ขัดแย้งที่สุดคือตอนนี้เขากำลังคิดว่าจะส่งของขวัญให้ซูอี้ด้วยดีหรือไม่…
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความคิดนี้บังเกิดขึ้นก็เพราะในจิตใต้สำนึกของเขานั้นอยากจะผูกมิตรกับซูอี้มากเช่นกัน
เมื่อตระหนักรู้ตัวเองได้เช่นนี้ มู่ซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจ
ตูม!
ทั้งสองข้างของรอยแยก แท่นบูชาหนึ่งร้อยแปดแท่นส่งเสียงระเบิดราวกับฟ้าร้อง และอักขระอันแพรวพราวจำนวนมากก็ปรากฏขึ้น
ภายใต้การจ้องมองที่น่าตกใจของทุกคน พวกเขาเห็นว่ารอยแยกขนาดใหญ่บนพื้นกำลังค่อย ๆ ชิดกันทีละน้อย
และสุดท้ายก็ไม่เหลือร่องรอยของมันเลย
หากมองลงมาจากฟากฟ้า จะพบว่าแท่นบูชาร้อยแปดแท่นซึ่งเดิมจัดวางไว้บนรอยแยกทั้งสองข้างนั้น ได้เปลี่ยนรูปแบบการจัดวางเป็นเรียงตามรูปลักษณ์ของหมู่เจ็ดดาวเหนือที่ซับซ้อน
จากนั้นซูอี้โบกแขนเสื้อ
บูม!
แท่นบูชาหนึ่งร้อยแปดแท่นจมลงดินและหายไป
เมื่อเสร็จสิ้นทุกอย่าง ซูอี้จึงร่อนลงพื้นอย่างนุ่มนวล
“สหายเต๋า ทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร?”
หนิงซือฮวาก้าวไปข้างหน้าและถาม
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “การจัดเรียงค่ายกลใหม่นี้จะทำให้อายุขัยของค่ายกลต้องห้ามนี้สั้นลง แต่ในทางกลับกัน เราจะมั่นใจได้ว่าภายในห้าปีถัดจากนี้ค่ายกลจะไม่มีวันพังทลาย และเพียงพอที่จะยับยั้งผนังกั้นมิติไม่ให้ผู้บ่มเพาะของโลกอื่นข้ามพรมแดนมาได้”
“แค่ห้าปีเท่านั้นเองหรือ?” หนิงซือฮวาตกใจ
ซูอี้กล่าวว่า “หากข้าไม่ทำเช่นนี้ ภายในสามปีผนังกั้นมิติจะพังทลาย และจากนั้นเหล่าตัวตนต่างโลกจะกรูกันเข้ามาในโลกแห่งนี้อย่างไม่หยุดยั้ง”
ซูอี้ยักไหล่ “ข้าไม่ได้กลัวตัวตนจากต่างโลกเหล่านั้นแม้แต่น้อย แต่ดินแดนต้าโจวแห่งนี้จะเป็นที่แรกซึ่งถูกกำหนดให้ตกอยู่ในความวุ่นวายและความโกลาหล”
ทุกคนทั้งตื่นตระหนกและตกใจ ใบหน้าของพวกเขาต่างแปรเปลี่ยน
ตอนนี้เองที่พวกเขาตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา!
พูดสั้น ๆ ก็คือซูอี้ได้ดำเนินการผนึกสถานที่นี้ต่อไปด้วยตัวเอง ซึ่งมันส่งผลให้สามารถชะลอภัยพิบัติดังกล่าวไปอีกเป็นเวลาสองปี
“สหายเต๋า ท่านพอจะคาดเดาได้หรือไม่ว่าเหตุใดผู้บ่มเพาะจากโลกอีกฟากหนึ่งของผนังกั้นมิติถึงต้องการจะมาที่ทวีปคังชิง? พวกเขากำลังพยายามวางแผนอะไรอยู่?”
หนิงซือฮวาอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง
คนอื่น ๆ ต่างก็เงี่ยหูฟังเช่นกัน นี่เป็นสิ่งที่พวกเขาสงสัยไม่น้อยไปกว่าหนิงซือฮวา