บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 248 หลอมดาบ
ตอนที่ 248: หลอมดาบ
ตอนที่ 248: หลอมดาบ
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้พูดยาก แต่ที่แน่ชัดคือทวีปคังชิงแห่งนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่ผู้คนทั่วไปเข้าใจกัน”
อันที่จริง เขาเดาคำตอบได้บางอย่างในใจแล้ว
แต่คำตอบที่เขาเดาเป็นเพียงการคาดเดาที่คลุมเครือ และน่าตกใจเกินกว่าจะตัดสินได้ว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่
หากพูดออกไปตอนนี้มันรังแต่จะทำให้ผู้คนตื่นตระหนกกันโดยใช่เหตุ
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ แม้จะผิดหวังเล็กน้อย แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกสั่นไหวในใจ
หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ใครจะกล้าพูดได้อีกว่าทวีปคังชิงเป็นเพียงโลกแห้งแล้งหาดีไม่ได้?
พลบค่ำ
ซูอี้และพรรคพวกออกจากหุบเขามารบุปผาโลหิต และกลับไปที่ค่ายกองทัพเกราะเขียว
คืนนั้น จวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งได้จัดงานเลี้ยงเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ซูอี้ หนิงซือฮวา เชินจิ่วซง มู่ซี และคนอื่น ๆ
ในงานเลี้ยง ซูอี้กลายเป็นเป้าหมายของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูอี้หาได้ชอบงานเลี้ยงรื่นเริงเช่นนี้ แต่ยามเมื่อถูกท้าดวลให้ร่ำสุรา เขาดื่มคล้ายเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
แต่ทว่าเมื่อเขากำลังจะเมา ซูอี้ก็ลุกออกจากโต๊ะไปอย่างมีสติ
หลังจากกลับไปที่กระโจมพักของตนเอง เขาก็รีบโคจรลมปราณเพื่อขับฤทธิ์ของสุราที่รุ่มร้อนจนแทบทนไม่ไหว
“หากฉาจิ่นอยู่ที่นี่คงจะดีไม่น้อย อย่างน้อยนางก็สามารถทำน้ำแกงให้ข้าสร่างเมาหลังจากร่ำสุราได้”
ซูอี้ขึ้นไปนั่งบนเตียงและหยิบโครงดาบออกมาเพ่งมอง
“หลังจากหลอมดาบใหม่เสร็จเรียบร้อยในวันพรุ่งนี้ ข้าจะออกเดินทางกลับมหานครกุ่นโจวในทันที”
ในงานเลี้ยงคืนนี้ ซูอี้ยังได้รู้มาว่าในค่ายทหารแห่งนี้มี ‘โรงหลอมสรรพาวุธ’ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้สร้างอาวุธและยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ สำหรับกองทัพโดยเฉพาะ
แน่นอนว่ามันมีส่วนงานที่เอาไว้ตีดาบอย่างไม่ต้องสงสัย
ก่อนที่ซูอี้จะออกเดินทาง เขาต้องจัดการเรื่องการหลอมสร้างดาบใหม่ให้เรียบร้อยก่อน
ในไม่ช้า เขาก็ส่ายหัว ละทิ้งความคิดที่ฟุ้งซ่านและเริ่มนั่งสมาธิและฝึกฝน
เช้าวันรุ่งขึ้น
มู่ซี ผูอี้ เจียงถานอวิ๋นและหลูฉางเฟิง จากไปพร้อมกัน
ก่อนจะจากไป มู่ซีได้เข้าพบกับซูอี้โดยตั้งใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่าเขาเชื่อว่าอีกไม่นานพวกเขาจะได้พบกันอีกครั้ง
ซูอี้ไม่ได้ใส่ใจ เพียงพยักหน้าอย่างเฉยเมย
จนกระทั่งมู่ซีและกลุ่มคนจากไป ซูอี้จึงไปที่ ‘โรงหลอมสรรพาวุธ’ ของกองทัพเกราะเขียวโดยการนำของเฉินเจิ้ง
ภายใต้การจัดการของเฉินเจิ้ง สถานที่สำหรับหลอมสร้างดาบได้ถูกจัดเตรียมไว้เป็นพิเศษสำหรับซูอี้
“นี่คือ ‘ประกายเพลิงหยางปฐพี’ ซึ่งถูกควบแน่นมาไว้โดยเทพเซียนเดินดินผู้หนึ่ง ข้าเชื่อว่ามันควรจะสามารถสนองต่อความต้องการในการทำดาบของคุณชายซูได้”
เฉินเจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้มต่อหน้าเตาทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่
ภายในเตาหลอม เปลวไฟสีดำกำลังลุกไหม้อย่างรุนแรง ประกายของเปลวไฟพ่นออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เปล่งคลื่นร้อนแผดเผาอย่างน่าอัศจรรย์
“ไม่เลว”
ซูอี้พยักหน้า “ต่อไป อย่าให้ใครมารบกวนข้า”
“รับทราบแล้ว!” เฉินเจิ้งรับคำสั่งและจากไป
เมื่อเหลือแต่เพียงซูอี้ เขาโบกแขนเสื้อและกองวัตถุวิญญาณนานาชนิดปรากฏขึ้น
สิ่งล้ำค่าที่สุดคือแร่เหล็กอุกกาบาตซึ่งเป็นวัตถุวิญญาณระดับห้า พื้นผิวของมันสว่างราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามราตรี อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายอันแหลมคมชวนให้ผู้คนกดดัน
อันที่จริงแล้ว เพียงใช้มันในการหลอมสร้างดาบเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้ดาบเล่มนั้นกลายเป็นศาสตราชั้นเลิศที่คมเลิศล้ำจนสามารถตัดผ่านโลหะได้ราวกับตัดเต้าหู้!
นอกจากแร่เหล็กอุกกาบาตแล้ว วัตถุวิญญาณอื่น ๆ ส่วนใหญ่ที่อยู่ในระดับสามและสี่ซึ่งมีค่ามากเช่นกัน
ทว่าเมื่อเทียบกับสิ่งเหล่านี้ มันก็ยังห่างไกลจากโครงดาบที่สร้างขึ้นจาก ‘ไม้ดำศักดิ์สิทธิ์’
“คราวนี้การหลอมสร้างดาบใหม่หาใช่ยากเย็น แต่เป็นการปิดผนึกพลังโครงดาบเล่มนี้ที่ยุ่งยาก…”
ดวงตาของซูอี้แปรเปลี่ยนเล็กน้อย
อำนาจของโครงดาบนี้ทรงพลังเกินไป ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่ใช่ศาสตราวิญญาณที่แท้จริง แต่พลังที่อัดแน่นอยู่ในนั้นก็เกินกว่าที่ศาสตราวิญญาณทั่ว ๆ ไปจะมีได้ไปหลายขุม
ตามความเข้าใจของซูอี้…
โครงดาบนี้คือ ‘ศาสตราแห่งวิถีต้นกำเนิดอันไร้เทียมทาน’ หากมันอยู่ในมือของผู้บ่มเพาะวิถีต้นกำเนิดที่เหมาะสม มีเพียงอย่างเดียวที่ทำให้มันดูด้อยนั่นก็คือในแง่ของรูปลักษณ์
ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูอี้ หากเขาใช้โครงดาบนี้ในการต่อสู้กับศัตรู ด้วยอำนาจอันเหนือล้ำของมันแม้แต่ตัวเขาเองตอนนี้ก็คงใช้มันได้แค่ประมาณครึ่งชั่วยามเท่านั้นก่อนที่ปราณวิญญาณในร่างของเขาจะเหือดแห้งลง
เหตุผลก็คือการดึงพลังในโครงดาบเล่มนี้มาใช้นั้น ผู้บ่มเพาะจำเป็นต้องใช้พลังของตัวเองมากด้วยเช่นกัน
สำหรับนักดาบ มีเพียงการใช้ดาบวิญญาณที่เหมาะสมที่สุดกับตนเองเท่านั้น เขาจึงจะสามารถรีดเค้นพลังของตนเองออกมาได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ดาบจะต้องไม่แข็งแกร่งกว่าหรืออ่อนแอกว่าผู้ใช้มากเกินไปจนก่อให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างพลัง ดังนั้นแล้วการมีดาบที่แข็งแกร่งกว่าตนเองก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี
เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ซูอี้ต้องทำตอนนี้คือการผนึกพลังของโครงดาบนี้เพื่อให้เข้ากับความแข็งแกร่งของเขา
“อันดับแรกต้องหลอมละลายดาบคีรีตระหง่านก่อน ดาบนั้นเป็นศาสตราวิญญาณที่หายากเช่นกัน และหลังจากหลอมรวมวัตถุวิญญาณเข้ากันทั้งหมด สุดท้ายก็คือขั้นตอนสลักบัญญัติ ‘กลืนวิญญาณ’… ”
ด้วยบัญญัตินี้ ในอนาคตผู้ใช้ก็ทำเพียงแค่รวบรวมวัตถุวิญญาณมาให้มากที่สุดเท่านั้นเพื่อให้ดาบนี้ดูดซับปราณวิญญาณจากวัตถุวิญญาณเหล่านั้นเพื่อเติมเต็มพลังในดาบที่พร่องไปจากการใช้งาน ผู้ใช้ดาบไม่จำเป็นต้องเสียเวลาซ่อมแซมดาบด้วยตัวเองเลยแม้แต่น้อย…
“…”
“เมื่อใดที่ข้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตที่สี่แห่งวิถียุทธ์ ขอบเขตไร้แพร่งพราย เมื่อนั้นข้าคงสามารถปลดผนึกดาบเล่มนี้ได้ และใช้วิธีลับเพื่อปรับแต่งดาบเล่มนี้จนใช้งานพลังที่แท้จริงของมันอย่างไร้กังวล!”
ขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซูอี้ก็ขยับมือของเขาไปด้วย
…
“หม่าซานเหว่ย ตราบใดที่เจ้าตกลงที่จะล้มเลิกความคิดแก้แค้นในใจของเจ้า ข้าสัญญาว่าเจ้าจะได้อยู่ในกองทัพของข้าต่อไป”
ในกระโจมแห่งหนึ่ง จวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งถอนหายใจ “หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ผลงานของเจ้าในอดีตที่ผ่านมา ข้าคงไม่เสียเวลาเตือนเจ้าเช่นนี้”
รองผู้บัญชาการหม่าซานเหว่ยยืนไม่ไกลนัก สีหน้าของเขาดูไม่เข้าใจ
“ท่านช่วยบอกเหตุผลแก่ข้าสักหน่อยจะได้หรือไม่”
หลังจากผ่านไปนาน หม่าซานเหว่ยพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
เมื่อไม่กี่วันก่อน หม่าซานเหว่ยถูกซูอี้สั่งสอนอย่างรุนแรงต่อหน้าทหารทั้งหลายเนื่องจากเหตุการณ์ของหวงเฉียนจวิน
เรื่องนี้แม้จะดูเหมือนคลี่คลายแล้ว แต่เฉินเจิ้งรู้ดีว่าคนอย่างหม่าซานเหว่ยนั้นเป็นพวกอาฆาตแค้นจนเข้ากระดูก ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีทางที่จะจบลงง่าย ๆ อย่างที่ทุกคนเห็นแน่
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเจิ้งเอ่ยขึ้นว่า “เจ้ารับใช้ในกองทัพเกราะเขียวมาหลายปีแล้ว แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าถือว่าเจ้าเป็นพี่น้องของข้าเสมอมา ดังนั้นข้าจึงไม่อยากเห็นเจ้าตายอย่างโง่เขลา”
“ตาย?” หม่าซานเหว่ยรู้สึกสั่นไหว
เฉินเจิ้งกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าไม่ว่าในอนาคตเจ้าจะพยายามฝึกฝนสักเพียงไหน หรือไม่ว่าเจ้าจะมีผู้หนุนหลังที่ดีสักเท่าไหร่ เจ้าก็ไม่มีวันแก้แค้นได้สำเร็จ! คำพูดนี้ของข้าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็สุดแล้วแต่เจ้า เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าบอกมาได้แล้วว่าเจ้าเลือกทางไหน”
“… ”
หน้าอกของหม่าซานเหว่ยยุบพองตามจังหวะหายใจอันหนักหน่วง เขาใช้เวลานานก่อนที่เขาจะกัดฟันและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้วท่านผู้บัญชาการ! ข้าขอสาบานต่อหน้าท่าน! นับจากนี้ข้าจะไม่ตั้งตนเป็นศัตรูต่อซูอี้อีกในชีวิตนี้!”
เฉินเจิ้งถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะพูดอย่างเย็นชาว่า “หวังว่าเจ้าจะทำตามคำสาบานที่เจ้าเพิ่งเอ่ยได้จริง ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้คุณชายซูไม่สังหารเจ้าทิ้ง มันจะเป็นข้าที่สังหารเจ้าแทน! อ้อ เจ้าอาจจะรู้สึกอยุติธรรมอยู่ในใจ เช่นนั้นแล้วข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้อีกอย่างหนึ่ง เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อฮวาหลิวเยว่รองประมุขพรรคมารหยิน ปีศาจเฒ่าผู้สามารถประมือได้กับราชครูหงเซินชาง ในเวลานี้ไอ้เจ้าปีศาจเฒ่านั่นได้ตายลงแล้วด้วยคมดาบของคุณชายซู! ฟังแล้วก็จงไตร่ตรองให้ดีว่าตัวตนเช่นเจ้านั้นเมื่อเทียบกับฮวาหลิวเยว่ เจ้ามีค่าเท่าใด”
หม่าซานเหว่ยตกตะลึงจนตาเบิกกว้าง “ข…เขามีพลังขนาดนั้นจริง ๆ หรือ”
เฉินเจิ้งกล่าวอย่างเฉยเมย “หากมีคำใดที่ข้าพูดเท็จขอให้ฟ้าดินลงโทษข้าตอนนี้ได้เลย!”
แม้ว่าในความเป็นจริงตอนนั้นซูอี้จะยืมพลังของค่ายกลต้องห้าม
แต่มันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาฆ่าฮวาหลิวเยว่ได้ด้วยเพียงดาบเดียว
หม่าซานเหว่ยสูญเสียจิตวิญญาณของเขา เหงื่อเม็ดใหญ่เริ่มผุดขึ้นบนหน้าผาก ขณะนี้เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อย่ากังวลท่านผู้บัญชาการ ข้าไม่โง่พอที่จะเดินไปหาประตูยมโลก…”
เฉินเจิ้งพยักหน้า และจู่ ๆ ถามขึ้นว่า “เจ้าคุมขังหนานอิ่งแล้วใช่หรือไม่?”
หม่าซานเหว่ยตอบกลับ “เรียบร้อยแล้วท่านผู้บัญชาการ”
เฉินเจิ้งพูดอย่างเฉยมย “เจ้าจงไปฆ่านางเดี๋ยวนี้ ข้าจะไม่ยอมให้ค่ายทหารของข้าต้องปั่นป่วนเพราะหญิงชั่วผู้นี้อีกเป็นครั้งที่สอง!”
ไม่นานหลังจากนั้น จางอี้เหรินก็รีบเข้ามาหาและยื่นจดหมายลับพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านผู้บัญชาการนี่เป็นจดหมายลับที่ส่งมาโดยราชาปราการเพลิง เซี่ยโหวหลิน”
“ราชาปราการเพลิง?”
เฉินเจิ้งรู้สึกประหลาดใจ
เมื่อครั้งที่เขายังเป็นวัยรุ่น เขาเคยผูกมิตรไมตรีกับเซี่ยโหวหลินราชาปราการเพลิง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่สหายสนิทกันแต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็นับว่าไม่เลว
เพียงแต่ว่าในช่วงปีให้หลังที่ผ่านมา การติดต่อระหว่างพวกเขาทั้งสองมีน้อยมาก และจำนวนครั้งที่พวกเขาพบกันก็น้อยมาก
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เฉินเจิ้งก็เปิดจดหมายลับ
หลังจากอ่านเนื้อหาในจดหมาย ใบหน้าของเฉินเจิ้งก็เปลี่ยนเป็นมืดหม่น
เนื้อหาของจดหมายนั้นเข้าใจง่ายยิ่ง มันระบุเอาไว้ว่าเฉินเจิ้งจะต้องตัดความสัมพันธ์กับซูอี้ ไม่เช่นนั้นตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงจะถือว่าเขาเป็นศัตรู!
“เกิดอะไรขึ้น?”
เฉินเจิ้งขมวดคิ้ว แต่เขารู้ว่าเซี่ยโหวหลินเป็นหนึ่งในสามราชาต่างสกุลซึ่งอยู่ภายใต้ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง
ว่ากันว่าด้วยความช่วยเหลือของซูหงหลี่ผู้ซึ่งเป็นผู้นำของตระกูลซู เซี่ยโหวหลินจึงได้รับโอกาสก้าวเข้าสู่ขอบเขตของบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์
อย่างไรก็ตาม เฉินเจิ้งงงงวยมากว่าเซี่ยโหวหลินรู้ได้อย่างไรว่าเขาและซูอี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน
นอกจากนี้ อีกฝ่ายถึงกับใช้อำนาจอิทธิพลของตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงเพื่อกดดันตัวเขาให้ตัดความสัมพันธ์กับซูอี้!
“ไปกันเถอะ เราไปคุยกับจวิ้นอ๋องเชินกันก่อน!”
เฉินเจิ้งลุกขึ้นและพาจางอี้เหรินไปด้วย เขารีบเดินไปพบเชินจิ่วซง
เชินจิ่วซงกำลังดื่มคนเดียวในกระโจมของตนเอง
เมื่อทราบสาเหตุการมาของเฉินเจิ้ง เชินจิ่วซงก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันก่อนจะเอ่ยออกเสียงดัง “ตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงคิดวางแผนโจมตีคุณชายซู? ฮ่า รนหาที่ตาย!”
เฉินเจิ้งงงงวยมากขึ้นเรื่อย ๆ และกล่าวว่า “พี่เชิน นี่มันเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?”
เชินจิ่วซงยิ้มอย่างเย้ยหยัน ก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ณ งานเลี้ยงน้ำชา รวมไปถึงเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างซูอี้และซูหงหลี่แห่งนครหลวงอวี้จิงโดยไม่มีการปกปิด
หลังจากรับรู้เกี่ยวกับความลับเหล่านี้ เฉินเจิ้งก็ตกตะลึงในทันที ตอนนี้เองที่เขารู้ว่าแม้ซูอี้จะเป็นบุตรของซูหงหลี่ แต่ความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลซูกลับเป็นเหมือนน้ำและไฟ ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้
และได้รู้ว่าที่งานเลี้ยงน้ำชาบนยอดเขาประจิมทิศในมหานครกุ่นโจว ซูอี้ได้สังหารเยว่จางหยวนซึ่งเป็นผู้ตรวจการของตระกูลซูอย่างไม่แยแส!
แม้แต่ปรมาจารย์ขั้นห้าที่องค์ชายรองส่งมาหรือก็คือ ฉินฉางซานก็ถูกฆ่าด้วยมือของซูอี้!
เหตุการณ์เหล่านี้น่าตกตะลึงอย่างไม่ต้องสงสัย
มากเสียจนเฉินเจิ้งไม่สามารถฟื้นคืนสติได้เป็นเวลานาน
ในเวลานี้เชินจิ่วซงขมวดคิ้วและพูดว่า “หากแม้แต่พี่เฉินยังได้รับจดหมายนี้ เช่นนั้นก็แปลว่าคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณชายซูย่อมตกเป็นเป้าหมายที่ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงจะคุกคามด้วยเช่นกัน!”