บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 249 ความยโสโอหังของจวิ้นอ๋องเทียนหย่ง
ตอนที่ 249: ความยโสโอหังของจวิ้นอ๋องเทียนหย่ง
ตอนที่ 249: ความยโสโอหังของจวิ้นอ๋องเทียนหย่ง
เคร้ง!
หลังจากสองชั่วยามเต็ม จู่ ๆ กลางค่ายกองทัพเกราะเขียวก็บังเกิดเสียงดาบกู่ร้องก้องกังวานไปไกลนับสิบลี้
ซูอี้ถือดาบวิญญาณไว้ข้างหน้าเขา
ดาบเล่มนี้ใบดาบกว้างราวสามชุ่น ยาวสามฉื่อ
ขณะที่ซูอี้โคจรปราณวิญญาณเข้าสู่ดาบ อักขระลึกลับอันทรงพลังปรากฏขึ้นออกจากใบดาบสีดำอันลึกลับประหนึ่งความมืดมิดในยามราตรีอันไร้แสงจันทร์
บัญญัติกลืนวิญญาณ!
นี่เป็นบัญญัติแห่งมรรคาเผ่าอสูร ซึ่งบันทึกไว้ใน ‘แท่นศิลาฝืนบัญญัติฟ้า’ ของหนึ่งในสามสำนักอันทรงพลังที่สุดแห่งเผ่ามหาอสูรในเก้ามหาแดนดิน ‘แดนอสูรปรีดี’
แท่นศิลาฝืนบัญญัติฟ้านับได้ว่าเป็นสมบัติสำคัญที่สุดแห่ง ‘แดนอสูรปรีดี’ มันมีบัญญัติเก้าแบบถูกจารึกไว้โดยผู้ก่อตั้งสำนัก ‘จักรพรรดิอสูรสวรรค์’
ในชีวิตก่อนหน้า ซูอี้เคยเหยียบย่างเข้าสู่แดนอสูรปรีดีพร้อมกับดาบในมือ เฝ้าดูจดจำบัญญัติทั้งเก้าที่จารึกบนแท่นศิลาฝืนบัญญัติฟ้า ท่ามกลางการจ้องมองของเหล่ามหาอสูรยักษ์ที่ไม่กล้าเอ่ยทัดทานแม้แต่เพียงครึ่งคำ
ทว่าด้วยระดับการบ่มเพาะอันต่ำเตี้ยของเขาในตอนนี้ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงจารึกบัญญัติกลืนวิญญาณในแบบที่ปรับแต่งลดทอนอำนาจของมันลงอย่างมาก หลงเหลือแต่เพียงเจตจำนงที่เรียบง่ายที่สุดของมันไว้เท่านั้น ซึ่งส่งผลให้อำนาจของบัญญัติกลืนวิญญาณในดาบเล่มใหม่ของซูอี้นี้มีอำนาจแค่เพียงหนึ่งในหมื่นส่วนจากอำนาจของบัญญัติกลืนวิญญาณฉบับสมบูรณ์
หากซูอี้ต้องการจารึกบัญญัติกลืนวิญญาณอย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยเขาต้องมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าวิถีวิญญาณ
“พลังของดาบเล่มนี้ไม่ต่างจากศาสตราวิญญาณอันแท้จริง เพียงพอให้ข้าสำแดงอำนาจแห่งขอบเขตปรมาจารย์ขั้นหนึ่งได้อย่างเต็มที่”
หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นเวลานาน ซูอี้พยักหน้ากับตนเอง “ในเมื่อเจ้าถูกสร้างมาจากไม้ดำศักดิ์สิทธิ์และถูกจารึกบัญญัติแห่งการกลืนกิน เช่นนั้นข้าขอเรียกเจ้าว่า ‘ดาบนิลกาฬกลืนฟ้า’ แล้วกัน!”
จากนั้นซูอี้จึงหันหลังกลับและออกจากโรงหลอม
…
ทันทีที่ซูอี้กลับไปถึงกระโจมของตนเอง เขาก็เห็นว่าหนิงซือฮวา เชินจิ่วซงและเฉินเจิ้ง รออยู่ที่นั่นแล้ว
“คุณชายซู มีบางอย่างไม่สู้ดีเกิดขึ้น”
เฉินเจิ้งก้าวมาข้างหน้า และรีบอธิบายเนื้อความภายในจดหมายจากราชาปราการเพลิง เซี่ยโหวหลิน
หลังจากฟังเรื่องนี้ ซูอี้จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วมองไปที่หนิงซือฮวาและกล่าวว่า “อำนาจอิทธิพลของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงสามารถคุกคามตำหนักเทียนหยวนของเจ้าได้หรือไม่”
หนิงซือฮวารู้ดีว่าซูอี้กังวลเรื่องอะไร นางจึงเอ่ยตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อาจเกิดความปั่นป่วนได้บ้าง แต่สหายเต๋าโปรดมั่นใจได้ ตราบใดที่เหล่าผู้อาวุโสตำหนักข้ายังอยู่ที่นั่น แม่นางหลิงเสวี่ยและแม่นางฉาจิ่นย่อมปลอดภัยดี”
คิ้วที่ขมวดคิ้วของซูอี้คลายลงทันที “ดี”
“สหายเต๋า อันที่จริงเรื่องนี้ท่านคงไม่อาจวางใจได้มากนัก ข้ามั่นใจว่าขณะนี้ตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงคงกำลังเริ่มโจมตีผู้ที่เกี่ยวข้องกับท่านทั้งหมดในทุก ๆ ทางที่เป็นไปได้”
หนิงซือฮวาขมวดคิ้ว กล่าวเตือน “ท่านมีแค่สองมือสองขา การจะปกป้องทุกคนที่รู้จักท่านทั้งหมดนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก”
แววตาของซูอี้เปลี่ยนเป็นเย็นชา แล้วกล่าวว่า “ขนาดตัวข้า ตระกูลซูยังไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่าม ดังนั้นการกระทำต่อผู้บริสุทธิ์คนอื่น ๆ คงไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงจะเท่ากับเป็นการบั่นทอนชื่อเสียงของซูหงหลี่”
หลังจากหยุดชั่วคราวเขาก็กล่าวต่อ “แต่แน่นอน หากตระกุลซูกล้าทำเช่นนั้นจริง พวกเขาจะต้องแบกรับกับราคาแห่งการกระทำของตนเอง”
คำพูดนั้นเรียบง่ายและเฉยเมย
แต่หนิงซือฮวา เชินจิ่วซง และเฉินเจิ้ง… พวกเขาสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าที่เย็นเฉียบราวเหมันตฤดูมาเยือน!!
ในวันเดียวกันโดยไม่ชักช้า ซูอี้และพรรคพวกของเขาก็ออกเดินทางออกจากค่ายกองทัพเกราะเขียวโดยขึ้นขี่นกอินทรีเกล็ดเขียวไป
แต่ทว่าคราวนี้จวิ้นอ๋องอู่หลิงเฉินเจิ้งก็เดินทางไปพร้อมกับกลุ่มของซูอี้เช่นกัน
ซูอี้สัญญาว่าจะสอนทักษะลับขัดเกลาจิตวิญญาณให้เขาและชี้แนะวิธีการดูดกลืนดวงวิญญาณที่อยู่ในร่างให้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อยากพลาดโอกาสสำคัญนี้
…
มหานครกุ่นโจว
แสงตะวันยามอัสดงยังคงร้อนแรง ท้องถนนและตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยผู้คน การสัญจรคับคั่งเผยให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรือง
เรือนพำนักหินศิลา
เมื่อซูอี้และพรรคพวกของเขาลงมาจากฟากฟ้าด้วยนกอินทรีตัวมหึมา พวกเขาก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ริมทะเลสาบนั่งตกปลาอย่างเกียจคร้าน
ชายหนุ่มผู้นี้แต่งกายด้วยชุดคลุมสีขาว มีมงกุฎสวมบนศีรษะ ใบหน้าหล่อเหลาแต่ทว่าดวงตากลับดูดุดันและเปี่ยมไปด้วยอำนาจสะกดข่มผู้คน
เมื่อคนผู้นั้นเห็นซูอี้และคนอื่น ๆ เขาก็ยิ้มก่อนลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายแล้วพูดด้วยรอยยิ้มขบขันว่า “นายน้อยสาม ในที่สุดท่านก็มาจนได้”
รูม่านตาของเชินจิ่วซงแคบลงเล็กน้อย เอ่ยทัก “จวิ้นอ๋องเทียนหย่ง ท่านมาที่นี่ทำไม?”
จวิ้นอ๋องเทียนหย่งเล่อชิง!
เขาคือหนึ่งในห้าจวิ้นอ๋องต่างสกุลซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาของตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง
เขาเป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่ยินยอมผู้ใดแต่โดยง่าย อาฆาตมาดร้ายต่อศัตรูอย่างกัดไม่ปล่อย
ทว่าสิ่งนี้ไม่สามารถปิดบังพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขาได้ อายุของเขาขณะนี้ไม่ได้มากนักแต่กลับอยู่ในจุดสูงสุดของปรมาจารย์ขั้นสี่แล้ว และเป็นที่รู้จักในนาม ‘ดาวรุ่ง’ ที่มีชื่อเสียงอย่างยิ่งยวดในทักษะการใช้มีด
เล่อชิงเหลือบมองเชินจิ่วซง แล้วกล่าวเตือนพร้อมกับยิ้ม “ท่านเชินอย่าได้ขัดจังหวะขณะที่ข้ากำลังคุยกับนายน้อยสามของข้า!”
เชินจิ่วซงขมวดคิ้ว
ซูอี้ถามอย่างเฉยเมย “ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าเข้ามา?”
เล่อชิงหยิบโฉนดบ้านจากเสื้อคลุม กางออกในอากาศ ชี้ไปที่ตราประทับและชื่อบนนั้น พูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า
“นายน้อยสาม ในตอนเย็นของเมื่อวานนี้เรือนพำนักหินศิลาแห่งนี้ถูกขายให้ข้าเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นโฉนดที่ข้าได้รับมา หากท่านไม่เชื่อจงนำไปดูได้”
ท่าทีของเขาช่างภาคภูมิใจ ราวกับได้วางแผนไว้และทุกอย่างสำเร็จผลอย่างงดงาม
หนิงซือฮวา เชินจิ่วซงและเฉินเจิ้งมองหน้ากัน ต่างตระหนักว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดี!
สีหน้าของซูอี้สงบเหมือนเช่นเคย กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้จ่ายค่าเช่าให้กับเจ้าของเรือนแห่งนี้เป็นเวลาหนึ่งปี…”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ เล่อชิงกลับยิ้มและเอ่ยขัดขึ้นว่า “นายน้อยสามท่านกำลังหมายถึงเฉินจินหลงใช่หรือไม่?”
หลังจากพูดจบประโยคเขาปรบมือ “นำเฉินจินหลงเข้ามา!”
ในเรือนที่อยู่ไกลออกไป ชายสองคนซึ่งดูไม่ธรรมดาพาเฉินจินหลงออกมาจนถึงทะเลสาบ
พลั่ก!
เฉินจินหลงถูกโยนลงไปที่พื้น
ผมเผ้าของเขาขณะนี้ยุ่งเหยิง สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัวและวิตกกังวล เขาตะโกนด้วยเสียงสั่นเทาว่า
“อย่าฆ่าข้า! โปรดอย่าฆ่าข้าเลย! ท่านเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าถ้าหากข้าขายบ้านนี้ให้ท่าน ท่านจะไม่ฆ่าข้า!”
“สงบสติอารมณ์เสีย”
เล่อชิงนั่งยอง ๆ ก่อนจะยื่นมือไปเชยคางของเฉินจินหลงด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดว่า “ข้าถามเจ้าสักหน่อย ใครเป็นเจ้าของเรือนนี้คนปัจจุบัน?”
“ป… เป็นท่าน ท่านคือเจ้าของเรือนแห่งนี้!” เฉินจินหลงเอ่ยตอบด้วยเสียงสั่น
เล่อชิงถามอีกครั้งด้วยเสียงเบา “ถามอีกสักข้อ ข้ามีสิทธิ์ที่จะไล่คนเช่าคนก่อนออกจากเรือนพำนักหินศิลาหรือไม่?”
“แน่นอน!” เฉินจินหลงตะโกนด้วยความกลัว
เล่อชิงยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม มองที่ซูอี้ “นายน้อยสาม ท่านคงได้ยินแล้ว แม้ว่าท่านจะเช่าเรือนแห่งนี้ไปแล้ว แต่ข้าก็ยังสามารถเอามันกลับมาได้ในทุกเวลาที่ข้าต้องการ”
“แต่ข้าหาใช่คนใจดำนัก ข้าจะคืนค่าเช่าที่ท่านจ่ายไปก่อนหน้าก็แล้วกัน”
หลังจากเอ่ยจบ เล่อชิงก็หยิบเหรียญทองคำกำมือหนึ่งจากเสื้อคลุมแขน โปรยลงบนพื้นอย่างเย้ยหยัน
จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างสดใสและเอ่ยว่า “นายน้อยสาม ทองคำเหล่านี้น่าจะเกินพอที่จะชดเชยให้กับค่าเช่าของท่านจริงใช่ไหม?”
การกระทำและคำพูดนี้แสดงให้เห็นถึงการดูถูกเหยียดหยามอย่างยิ่งยวด
ในเวลานี้ เมื่อเฉินจินหลงสังเกตเห็นซูอี้ ด้วยความตกตะลึงและหวาดกลัว เขาจึงรีบตะโกนร้องโหยหวนราวกับวิญญาณใกล้จะแตกสลาย
“พี่ซู! ข้าถูกบังคับ ถ้าข้าไม่ยินยอมพวกเขาจะฆ่าข้า!”
“ข้าไม่ถือสาเจ้า”
จากนั้นซูอี้ก็มองเล่อชิงและพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “นึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าจวิ้นอ๋องเช่นเจ้ามีรสนิยมชมชอบรังแกผู้คนที่อ่อนแอกว่าเช่นนี้ เจ้านี่ช่างน่าสนใจ”
เล่อชิงลูบจมูกของตัวเองและพูดอย่างระอาใจ “ช่วยไม่ได้ นี่เป็นวิธีที่ข้าจะได้พบนายน้อยสามโดยเร็วที่สุด ซึ่งก็คือการรอท่านที่กลางเรือนพำนักหินศิลา แต่ถ้าข้าไม่ซื้อมันไว้ก่อน ข้าคงจะดูเป็นเหมือนโจรซึ่งมันจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์จวิ้นอ๋องของข้า”
เชินจิ่วซงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “จวิ้นอ๋องเทียนหย่ง ท่านคิดว่าการกระทำนี้ของท่านมันไม่น่ารังเกียจไปหน่อยหรือ?”
เล่อชิงยังยิ้มและพูดอย่างมั่นใจ “จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง เรือนนี้เป็นของข้าแล้ว ขณะนี้มันเป็นท่านไม่ใช่หรือที่น่ารังเกียจบุกเข้ามาในเรือนข้าโดยไม่ขออนุญาต?”
พูดจบก็หันกลับมามองซูอี้แล้วพูดต่อ “นายน้อยสาม ข้าคิดว่าท่านคงเดาความตั้งใจของข้าได้บ้างแล้ว เอาเป็นว่าข้าขอพูดตามตรงเลยก็แล้วกัน นายท่านคิดว่าท่านยังเยาว์วัยจึงไม่รู้ความ ไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำ ดังนั้นท่านจึงควรได้รับการสั่งสอนโดยบางคนเสียบ้างจะได้ตาสว่าง”
“แค่เจ้าน่ะหรือจะสั่งสอนข้า?” ซูอี้เอ่ยถาม
เล่อชิงยิ้มและส่ายหัว “แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่แค่ข้า นายน้อยสามคงไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านกำลังถูกทุกคนทรยศและสูญเสียการสนับสนุนทั้งหมดที่ท่านมี”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาพูดด้วยแววตาหยอกล้อ “แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เช้า ตราบที่นายน้อยสามไปที่จวนเจ้าแคว้น ท่านจะเข้าใจเองว่าสถานการณ์ปัจจุบันของท่านนั้นตกต่ำถึงเพียงใด บางทีด้วยวิธีนี้ นายน้อยสามจะสามารถเข้าใจความหมายของฟ้าสูงแผ่นดินได้อย่างแท้จริง”
จากนั้นเล่อชิงจึงยกมือขึ้นก่อนจะฉีกโฉนดบ้านในมือ “เรือนนี้ไม่มีค่าสำหรับข้า ข้าจึงขอยกให้นายน้อยสาม ส่วนทองคำบนพื้นนั้นหากนายน้อยสามชอบพวกมันก็จงก้มไปหยิบมันมาใช้เถิดข้าไม่ว่า”
หลังจากพูดจบ เขาหัวเราะและเดินจากไปพร้อมกับลูกน้องของตนเองอีกสองคน
“หยุด!”
เฉินเจิ้งตะโกนอย่างเย็นชา “เจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปง่าย ๆ เช่นนี้งั้นหรือ!”
เล่อชิงผายมือพลางแสร้งทำสีหน้าประหลาดใจ “ทำไม? หรือจวิ้นอ๋องอู่หลิงต้องการต่อสู้กับข้า?”
จากนั้นเขามองกวาดไปที่ซูอี้ หนิงซือฮวา และเชินจิ่วซง แสร้งทำสีหน้าหวาดกลัวพร้อมพูดว่า
“อย่าทำข้าเลย~ ข้าเป็นแค่ตัวตนผู้ส่งสารเล็กจ้อย แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับข้า คนบางคนที่เกี่ยวข้องกับนายน้อยสามอาจจะต้องทุกข์ทรมานไม่ต่างจากข้าก็เป็นได้”
พูดจบเล่อชิงก็หัวเราะเสียงดังลั่น
หนิงซือฮวากัดฟันกรอด พยายามยับยั้งความรู้สึกอยากจะฆ่าอีกฝ่ายสุดฤทธิ์
นางไม่เคยเห็นใครน่ารังเกียจได้ขนาดนี้มาก่อน
มีเพียงซูอี้ที่ดูเฉยเมยเหมือนเช่นเคย พูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ปล่อยเขาไป เอาไว้พรุ่งนี้ที่หน้าจวนเจ้าแคว้น ข้าจะให้เขาได้ซาบซึ้งกับคำพูดของตนเองอย่างแช่มชัด”
“ฮ่า ๆ แน่นอน ๆ นายน้อยสาม ข้าจะตั้งหน้าตั้งตารอว่าพรุ่งนี้ท่านจะทำให้ข้าซาบซึ้งมากขนาดไหนก็แล้วกัน”
เล่อชิงหัวเราะและโบกมือ “ข้าขอตัวลาล่ะ อ้อ ทุกท่านไม่จำเป็นต้องออกไปส่งเล่อผู้นี้หรอกนะ~”
จากนั้นเขาเดินออกไป