บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 25 เคล็ดวิชาหยกวิญญาณธาตุลึกล้ำ
ตอนที่ 25 เคล็ดวิชาหยกวิญญาณธาตุลึกล้ำ
อาทิตย์อัสดง ราวกับอัคคีโชติช่วง
ต้นพุทราภายในสวนดังกรอบแกรบไปกับสายลม
“พี่เขย อันที่จริงแล้วตลอดมาข้ามีเรื่องในใจคิดอยากบอกต่อท่าน” ทันทีที่เดินเข้ามายังลานสวนแห่งนี้ เหวินหลิงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะเอ่ยคำขึ้น ด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มและหวานฉ่ำ
ในวันนี้ นางสวมใส่ชุดกระโปรงยาวงดงาม เรือนร่างอันเพรียวบางที่เปี่ยมด้วยชีวิตของนางราวกับแสงอรุณรุ่ง บริสุทธิ์และเจิดจ้า เป็นความงามอันจริงแท้
ซูอี้เกิดประหลาดใจ เอ่ยคำถามตอบรับเสียงเบา “อะไรหรือ?”
เหวินหลิงเสวี่ยกระอักกระอ่วนก่อนจะกล่าว “พี่เขย ท่านพ่อและท่านแม่ของข้าส่งตัวพี่สาวไปเมื่อเจ็ดวันก่อน”
“เดิมนั้น ข้าคิดบอกต่อท่าน แต่ท่านแม่ไม่ให้…”
สุดท้ายแล้ว นางก้มศีรษะลงต่ำ ราวกับสำนึกผิดรุนแรง
เพียงเท่านี้ ซูอี้ก็เข้าใจ
เจ็ดวันก่อน เหวินหลิงเจาเดินทางไกลสู่ตำหนักเทียนหยวน ซึ่งทั้งตระกูลเหวินมองข้ามเรื่องนี้ต่อเขาที่เป็นบุตรเขยโดยไม่บอกกล่าว
กระนั้น ซูอี้ก็ไม่คิดประหลาดใจ
สัมพันธ์ระหว่างเขาและเหวินหลิงเจา มันอาจบรรยายว่าเป็นคนแปลกหน้าต่อกันด้วยซ้ำ
วันพิธีสมรส นั่นคือครั้งแรกที่ได้พบกัน
ครั้งที่สอง คือเมื่อค่ำนั้นที่เว่ยเจิงหยางมาป่าวประกาศกลางโถงตระกูลว่าจะแย่งเหวินหลิงเจาไป ซึ่งนั่นมันคือวันที่พวกเขาไม่ได้เจอกันมานานถึงหนึ่งปีเต็ม
แม้ว่าจะเป็นสามีและภรรยากันแล้วนับตั้งแต่พิธีสมรส แต่ระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่เคยกล่าววาจาใดดี ๆ ต่อกัน
ไม่มีแม้เพียงหนึ่งคำด้วยซ้ำ
ราวกับคนแปลกหน้า
ทว่าซูอี้ก็ไม่เคยคาดคิด ว่าเหวินหลิงเสวี่ยจะเก็บเรื่องราวนี้ไว้ในใจมาโดยตลอด
เหวินหลิงเสวี่ยขมวดคิ้วก่อนจะกล่าว “ยังมี ข้าได้ยินว่าเว่ยเจิงหยางทั้งเกลียดชังและกล่าวคำเย้ยหยันหลากหลาย พี่เขย ท่านจะต้องไม่ทำตัวเป็นอย่างวายร้ายที่น่ารังเกียจผู้นั้น”
“และอีกอย่าง ข้ารู้จักพี่สาวของตนเองดี แม้นางเย็นชาไปบ้าง แต่นางไม่เคยกระทำอะไรที่เกินเลย”
ถ้อยคำเด็กสาวตรงหน้า ทั้งกังวล รวมทั้งกล่าวปลอบ
ซูอี้จับจ้องใบหน้างดงามของเด็กสาวตรงหน้า ชะงักงันไปครู่ ก่อนจะถอนหายใจ
“ตัวข้าเคยได้พบพุทธองค์และโพธิสัตว์มากมายในโลกนี้ แต่ไม่เคยมีผู้ใดที่จิตใจดีเหมือนดังเจ้า”
ความรู้สึกอบอุ่นที่ขาดหายไปนานปรากฏขึ้นในใจเขา
เมื่อชีวิตก่อนหน้านี้ เขาคือผู้มีปณิธานเด็ดเดี่ยว ยินดีก้าวย่ำเหยียบภูเขาซากศพและทะเลเลือด เพื่อขึ้นไปให้ถึงยอดของเก้ามหาแดนดิน …กระทั่งศิษย์ทั้งเก้า ก็ยังทั้งนับถือและหวาดเกรงต่อตัวเขา
และในชีวิตนี้ ด้วยฐานะบุตรอนุภรรยาตระกูลซู ตัวเขาจึงถูกทอดทิ้งตั้งแต่ยังเด็ก โดดเดี่ยว และเศร้าหมอง
แม้กระทั่งในช่วงสามปีแห่งการฝึกฝนที่สำนักดาบชิงเหอ เพราะความมืดมนและคั่งแค้น ตัวเขาจึงยากที่จะมีมิตรสหาย
จากนั้นเรื่องราวกลายเป็นยิ่งจมดิ่งเมื่อตัวเขาสูญสิ้นการบ่มเพาะ และเข้าร่วมกับตระกูลเหวิน แต่แล้วภายใต้สถานการณ์เหล่านั้น เหวินหลิงเสวี่ยกลับเป็นผู้เดียวจากในทั้งตระกูลเหวินที่กระทำกับเขาอย่างจริงใจ!
ครั้งหนึ่งนางเคยปลูกดอกทานตะวันในสวน คาดหวังว่านางจะทำให้เขาได้เห็นและอารมณ์ดีในทุกวันที่ดอกไม้สีทองเบ่งบานรับแสงอาทิตย์
และนางยังยอมสิ้นเปลืองเวลาตั้งใจทำอาหารอร่อยสารพัดชนิด นำมาส่งมอบให้ด้วยตนเอง แก่ตัวเขาผู้ซึ่งถูกเหยียดหยันจนแทบจะอยู่บ้านโดยตลอด
…อย่างไรก็ตาม เมื่อตอนนั้น เขากลับไม่เคยใส่ใจถึงเรื่องราวความดีของนางสักเท่าไหร่
แต่แล้วตอนนี้ ด้วยการตื่นรู้ความทรงจำในชีวิตก่อนหน้า เมื่อครุ่นคิดถึงสิ่งที่เหวินหลิงเสวี่ยกระทำให้ตนมาหลายปี มีหรือเขาจะไม่หวั่นไหว?
เด็กสาวตรงหน้าทั้งมีเสน่ห์และเปล่งประกาย แสดงถึงความจริงใจอันถึงที่สุด!
“พี่เขย ท่าน… เรื่องนี้คงไม่โกรธข้ากระมัง?” เหวินหลิงเสวี่ยเงยใบหน้าอันงดงามขึ้น สองดวงตาอันกระจ่างจ้องมองยังซูอี้ น้ำเสียงเจือปนความไม่มั่นใจ
“เจ้าน่ะ คิดมากเกินไปแล้ว พี่สาวเจ้าดื้อรั้นปฏิเสธการสมรส นั่นเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ส่วนความคิดเห็นของผู้อื่น หากข้าใส่ใจหมด ก็เกรงว่าคงต้องเป็นบ้าไปแล้ว” ซูอี้กล่าวคำพร้อมยิ้มตอบรับ
เหวินหลิงเสวี่ยค่อยโล่งใจ นางหรี่ดวงตาจนหยีพร้อมเผยยิ้มชื่นชม “พี่เขย ท่านช่างใจกว้างยิ่งนัก!”
ใจกว้างงั้นหรือ?
ดวงตาซูอี้เผยซึ่งความแปลกประหลาด ครั้งตอนอยู่เก้ามหาแดนดิน ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าซูเสวียนจวินนั้นคือผู้ที่ไม่เคยยอมให้ใครเอาเปรียบเลยสักครา เขาจะ ‘คิดบัญชี’ กับผู้ที่ติดค้างเขาเสมอ!
อย่างไรก็ตาม น้องภรรยาของเขาช่างน่ารักโดยแท้จริง!
เขาอดไม่ได้ที่จะถาม “หลิงเสวี่ย ข้าเองก็มีเรื่องคิดอยากถาม นับตั้งแต่ข้าเข้าร่วมตระกูลเหวิน ทุกคนในตระกูลต่างปรามาสเหยียดหยามข้า ยกเว้นเจ้า ทำไมเจ้ากลับไม่ทำเช่นนั้น? เพราะอะไรกัน? เหตุใดจึงห่วงข้า?”
เหวินหลิงเสวี่ยกล่าวตอบโดยไม่ลังเล “ข้าไม่เคยคิดว่าบุรุษที่พี่หญิงแต่งงานด้วยจะเป็นคนไร้ค่า”
“และข้า…ข้าก็ไม่เชื่อว่าพี่เขยเป็นคนไร้ค่า!” กล่าวถึงตรงนี้ ใบหน้าอันละเอียดอ่อนและงดงามของเด็กสาวเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
ซูอี้หัวเราะตอบรับ “เหตุใดจึงไม่เชื่อล่ะ?”
ดวงตาคู่งามของเหวินหลิงเสวี่ยเผยความกระจ่างมองยังซูอี้ครู่หนึ่ง ถัดจากนั้นจึงหัวเราะออก พร้อมกล่าวคำอันแน่วแน่
“ท่านที่ดูดีเพียงนี้ มีหรือจะเป็นคนไร้ค่าได้?”
เมื่อได้รับคำตอบที่เหนือความคาดหมาย ซูอี้อดไม่ได้ที่จะเกิดประหลาดใจขึ้นมา สุดท้ายหัวเราะออก พร้อมยกนิ้วโป้ง กล่าวคำชื่นชม
“นับว่าเจ้ามีสายตาที่ดี!”
เหวินหลิงเสวี่ยหัวเราะ พยักหน้ารับคำชมด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ซูอี้กล่าวต่อ “หลิงเสวี่ย ข้าได้ยินมาว่าอีกเดือนหนึ่ง สำนักดาบซ่งอวิ๋นของเจ้าจะจัดงานทดสอบยุทธท้ายปีขึ้นใช่หรือไม่?”
“ใช่…”
เหวินหลิงเสวี่ยพยักหน้ารับ รอยยิ้มอันงดงามที่ใบหน้าเลือนหาย คำทุกข์ใจกล่าวออก “แต่ด้วยระดับการบ่มเพาะของข้าตอนนี้ เกรงว่ายากจะเข้าถึงสิบอันดับแรก ข้าเพิ่งเข้าร่วมสำนักดาบซ่งอวิ๋นฝึกฝนได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น”
ผู้ใดสามารถเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดในการทดสอบยุทธสิ้นปี ผู้นั้นจะสามารถเข้า ‘ลานหนึ่ง’ แห่งสำนักดาบซ่งอวิ๋นได้
ตราบเท่าที่เป็นศิษย์ของลานหนึ่งได้ เช่นนั้นจะมีคุณสมบัติไปยังสำนักดาบชิงเหอ ที่เขตปกครองอวิ๋นเหอเพื่อฝึกฝน!
สำนักดาบซ่งอวิ๋นมีอิทธิพลเพียงแต่ที่เมืองกว่างหลิง ขณะที่สำนักดาบชิงเหอนั้นมีอิทธิพลทั่วทั้งสิบเก้าเมืองแห่งเขตปกครองอวิ๋นเหอ!
ทั้งสองสำนักนี้หาได้มีระดับที่ทัดเทียมกันไม่
“เมื่อสองวันก่อน ข้าลืมเตรียมของขวัญวันเกิดให้เจ้า ฉะนั้นตอนนี้ข้าจะให้ของขวัญย้อนหลังแก่เจ้า”
ซูอี้นำเอาม้วนตำราออกมาจากอกเสื้อ คำกล่าวบอกเสียงเบา “นี่เป็นเคล็ดวิชาลมหายใจ แม้จะไม่ได้สูงล้ำ แต่เหมาะสมกับการฝึกฝนของเจ้าตอนนี้ที่สุดแล้ว ฝึกฝนมันสักหนึ่งเดือน มันจะมากพอทำให้เจ้าเป็นหนึ่งในสิบการทดสอบยุทธท้ายปีนี้แน่”
เหวินหลิงเสวี่ยเบิกดวงตากว้าง กล่าวคำด้วยอาการประหลาดใจ “จริงงั้นหรือ?”
ซูอี้ยิ้มตอบก่อนจะยื่นตำราส่งมอบ “ข้าหรือจะโกหกเจ้า? กล่าวไปแล้ว อย่าได้บอกผู้อื่นเรื่องนี้ เมื่อใดจดจำเคล็ดวิชาลับนี้ได้ ขอจำเอาไว้ขึ้นใจว่าจงเผาตำราเล่มนี้ทิ้งโดยทันที”
ช่วงประโยคสุดท้าย เขากล่าวบอกด้วยสีหน้าจริงจัง
เคล็ดวิชาลมหายใจที่มอบให้เหวินหลิงเสวี่ย มันถูกเรียกขานว่า ‘เคล็ดวิชาหยกวิญญาณธาตุลึกล้ำ’!
อย่างไรก็ตาม ซูอี้ไม่ได้คัดลอกเคล็ดวิชาหยกวิญญาณธาตุลึกล้ำฉบับเต็มให้กับเหวินหลิงเสวี่ย เขาคัดลอกแค่ส่วนที่เอาไว้บ่มเพาะ ‘ขอบเขตโคจรโลหิต’ เท่านั้น ถ้าหากเป็นเคล็ดวิชาหยกวิญญาณธาตุลึกล้ำฉบับเต็ม มันถูกนับได้ว่าเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาสิบอันดับแรกขั้นจักรพรรดิแห่งเก้ามหาแดนดิน!
ในกาลก่อน ซูอี้สอนเคล็ดวิชานี้แก่ศิษย์คนเล็กเช่นชิงถัง และเป็นเพราะมัน ฝีมือของชิงถังจึงพุ่งทะยานพรวดบนหนทางการบ่มเพาะ กระทั่งกลายเป็น ‘จักรพรรดินีชิงถัง’ ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเก้ามหาแดนดิน!
หากเคล็ดวิชาลับนี้รั่วไหลออกไป ต่อให้เป็นเพียงฉบับสำหรับบ่มเพาะขอบเขตโคจรโลหิต มันจะนำพามาซึ่งปัญหามากมายแก่เหวินหลิงเสวี่ย
นั่นเป็นสิ่งที่ซูอี้ไม่พึงปรารถนาได้เห็น
ในใจเหวินหลิงเสวี่ยพลันเย็นเยียบ เก็บเอาตำรานี้ไปอย่างระมัดระวัง พร้อมพยักหน้าตอบรับมั่นเหมาะ “พี่เขย ข้าเชื่อฟังคำท่าน”
นางขณะนี้ยังไม่ทราบ ว่าเพิ่งได้รับ ‘โอกาส’ ที่มากพอทำให้เหล่าผู้บ่มเพาะในโลกหล้าพร้อมจะคลุ้มคลั่ง!
หากไม่แล้ว เกรงว่านางคงไม่อาจมีอาการสงบใจเช่นตอนนี้
ซูอี้ไม่คิดอธิบายใดมาก เคล็ดวิชาวิเศษเช่นนี้ เขามีมากมายอยู่แล้ว
ในชีวิตก่อนหน้า ผู้คนทั่วทุกแดนดินล้วนทราบว่าซูเสวียนจวินครอบครอง ‘พันเคล็ดวิชาอัศจรรย์หมื่นวิถีเทวะ’ ซึ่งคำเหล่านี้ไม่ใช่ถ้อยคำอันเกินเลยแม้แต่น้อย
“หากมีเวลา มาพบข้าทุกเจ็ดวัน ข้าจะคอยชี้แนะวิธีบ่มเพาะขอบเขตโคจรโลหิตให้” ซูอี้กล่าวคำบอก
ดวงตาเหวินหลิงเสวี่ยเป็นประกาย กระทั่งยินดีจากใจ “ข้าจะมาหาท่านอย่างแน่นอน!”
นางทราบว่าแม้พี่เขยของตนตอนนี้การบ่มเพาะต่ำเตี้ย แต่ครั้งหนึ่งเขาคือผู้เป็นถึงหัวหน้าศิษย์สายนอกแห่งสำนักดาบชิงเหอ ซึ่งเป็นตัวตนมีชื่อเสียงโด่งดังแห่งเขตปกครองอวิ๋นเหอ
ด้วยพี่เขยชี้แนะ เหตุใดนางจะไม่อาจเข้าถึงสิบอันดับแรกของทดสอบยุทธท้ายปีได้กัน?
“ตอนนี้เจ้ารีบกลับไปก่อนเถอะ ไม่เช่นนั้นหากมารดาเจ้าทราบว่าเจ้าอยู่กับข้า นางคงโกรธเกรี้ยวอีกเป็นแน่แท้” ซูอี้ เอ่ยขึ้นพลางหัวเราะเบา
แม่ยายของเขานั้นมีอารมณ์ดุร้ายกับเขาเสมอ
เหวินหลิงเสวี่ยมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง สุดท้ายแลบลิ้นออกอย่างซุกซนพร้อมกล่าวคำ “พี่เขย เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ!”
ร่างเด็กสาวราวทอประกายแสงอันยินดี นางหันกลับและจากไป เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดีไม่ใช่น้อย
รับชมร่างเงาเด็กสาวเลือนหายจากภายนอกลานสวน ซูอี้ค่อยกลับเข้าไปยังห้องตนเอง
แม้ว่าเป็นช่วงพลบค่ำแล้ว งานเลี้ยงวันเกิดของนายหญิงเฒ่าแห่งตระกูลเหวินก็ยังคงคึกคัก
ทว่าก็เท่านั้น มันไม่เกี่ยวข้องใดกับซูอี้
เหวินหลิงเสวี่ยก็หาได้กลับเข้างานเลี้ยงอีกแต่อย่างใด
เมื่อนางกลับถึงห้อง สิ่งแรกคืออาบน้ำชำระกาย ร่างอันเพรียวบางงดงามในชุดคลุมอาบน้ำ นอนคุดคู้เกียจคร้านอยู่บนเตียง ขาสองข้างอันขาวนวลเปล่งประกายบางครั้งยกขึ้น บางครั้งก็ตบลงกับที่นอน เป็นผลให้ได้เห็นต้นขาของนางที่ชุดคลุมอาบน้ำไม่อาจปิดบังมิดได้
เด็กสาวที่เพิ่งอาบน้ำชำระกาย ยังคงความงดงาม มีเสน่ห์ ทว่าเกียจคร้านด้วย
นางอดใจไม่ได้ที่จะเปิดตำราที่ซูอี้มอบให้
ตำราอันบางเฉียบ มีเพียงกว่าสิบหน้า เขียนด้วยลายมือสง่างาม เพียงมองก็สบายตา ทั้งยังชโลมจิตใจ
“ลายมือของพี่เขยงดงามเหมือนดั่งตัวผู้เขียน!”
เหวินหลิงเสวี่ยผ่อนลมหายใจด้วยความนับถือ ลายมืออันงดงามเป็นสิ่งดึงดูดสายตานางยิ่งกว่าเนื้อหา
แม้ว่าตำรานี้เพียงบันทึกเคล็ดวิชาหยกวิญญาณธาตุลึกล้ำของ ‘ขอบเขตโคจรโลหิต’ ทว่ามันคลุมเครือและลึกลับมหาศาล ระหว่างถ้อยคำ ราวกับมีความลึกล้ำอันยิ่งใหญ่
อย่าได้กล่าวถึงเหวินหลิงเสวี่ย แม้จะเป็นผู้บ่มเพาะระดับสูงแห่งต้าโจว ก็ไม่มีทางที่จะทำความเข้าใจถึงความหมายอันลึกล้ำเหล่านี้ในระยะเวลาอันสั้น
นับเป็นโชคดี ที่ข้างเคียงอักษรเคล็ดวิชา มันมีคำอธิบายเพิ่มเติมที่ซูอี้เขียนด้วยตนเอง เป็นผลให้เหวินหลิงเสวี่ยทำความเข้าใจได้โดยไม่ต้องพยายามมากนัก
ถึงช่วงเช้าตรู่ ในที่สุดเหวินหลิงเสวี่ยก็อ่านเคล็ดวิชาฝึกฝนเสร็จสิ้น ท่าทีของนางงัวเงีย ทว่าในใจนั้นแตกตื่น
ต่อให้นางยังเยาว์ ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะไม่ถึงกับเข้าใจเคล็ดวิชา
เหตุใดนางจะไม่ทราบ ว่าเคล็ดวิชาวิเศษที่ซูอี้มอบให้นี้ทรงอำนาจเพียงใด?
หากเทียบกับเคล็ดวิชาฝึกฝนที่ส่งผ่านจากบรรพชนตระกูลเหวิน หรือแม้แต่เคล็ดวิชาที่สำนักดาบซ่งอวิ๋นสอนสั่ง ถ้าเทียบกับเคล็ดวิชานี้แล้ว สิ่งที่นางเคยเรียนรู้มานับว่าเป็นขยะ!
“ไม่แปลกใจที่พี่เขยกล่าวบอกว่าห้ามเผยแพร่เคล็ดวิชาลับนี้ เขาคงกังวลว่าเคล็ดวิชาลับนี้อาจนำพาปัญหามาเยือนตัวข้า…”
เหวินหลิงเสวี่ยถอนหายใจพร้อมตระหนักทราบเจตนาหวังดีของซูอี้ ใจนางพลันอบอุ่น ยินดี และตื้นตัน
ไม่ช้า นางจึงค่อยสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมเผยสีหน้าจริงจัง
คำกล่าวกับตนเองในใจ ‘หลิงเสวี่ยเอ๋ยหลิงเสวี่ย ไม่ว่าภายหน้ายากลำบากเพียงใด ข้าจะต้องช่วยให้พี่เขยหวนคืนสู่หนทางการบ่มเพาะอีกครั้ง พี่เขยในตอนนี้… น่าสงสารจนเกินไปแล้ว’