บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 250 สยบ
ตอนที่ 250: สยบ
ตอนที่ 250: สยบ
จวิ้นอ๋องแห่งเทียนหย่งเล่อชิงกลับไปแล้ว
ใบหน้าของหนิงซือฮวา เชินจิ่วซง เฉินเจิ้งทั้งสามคนต่างเผยความมืดครึ้มออกมา
เป็นไปตามที่คาดไว้ กองกำลังตระกูลซูในมหานครหลวงอวี๋จิงได้เคลื่อนไหวก่อนแล้ว!
เมื่อได้ฟังคำพูดของเล่อชิงเมื่อครู่ จึงทราบว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับซูอี้ต่างถูกกองกำลังของตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงควบคุมไว้แล้ว และยังทำให้ซูอี้ตกอยู่ในสถานะ ‘ญาติมิตรตีตัวออกห่าง’
กลิ่นอายในคำพูดนี้ ใครจะไม่รู้กัน?
เห็นได้ชัดว่าตระกูลซูใช้อำนาจของตัวเอง เพื่อกดขี่ผู้แข็งแกร่งและผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องกับซูอี้ บีบบังคับให้คนเหล่านั้นจำเป็นต้องขีดเส้นความสัมพันธ์กับซูอี้!
“ตระกูลซูทำเช่นนี้ ช่างเลวทรามเกินไปหน่อยแล้ว”
สีหน้าเฉินเจิ้งมืดครึ้ม
ก่อนหน้านี้เขาได้รับจดหมายจากเซี่ยโหวหลิน ราชาปราการเพลิง บอกให้เขาตัดขาดความสัมพันธ์กับซูอี้ ไม่เช่นนั้น จะถูกมองว่าเป็นศัตรูกับตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง
เมื่อคาดเดาว่าเป็นเช่นนี้ ก็มิต้องคิดสิ่งใดให้มากความ ตระกูลซูก็คงจัดการกับคนอื่น ๆ เช่นนี้เหมือนกัน!
“โชคดีที่พวกเขายังไม่ลงมือเต็มกำลัง คงพูดได้ว่าพวกเขาเพียงแค่อยากยืมโอกาสสั่งสอนสหายเต๋าซู”
หนิงซือฮวาเอ่ยอย่างลังเล “กล่าวอีกอย่างหนึ่ง คนเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องกับสหายเต๋าซู ในยามนี้อาจจะยังไม่มีอันตรายถึงชีวิต”
“ทว่าหากวันพรุ่งนี้ซูอี้ไปจวนเจ้าแคว้นในตอนเช้าตรู่ ตระกูลซูจะไม่คุกคามเอาชีวิตคนเหล่านั้นได้อย่างไรกัน?”
เชินจิ่วซงเอ่ยอย่างอดไม่ได้
“นี่…”
หนิงซือฮวาเงียบไป
หากเกิดเรื่องเช่นนี้จริง ๆ ในสถานการณ์ห่วงหน้าพะวงหลัง ซูอี้ควรจะทำอย่างไรดี?
จะอดทนยอมก้มหัวเพื่อที่จะรักษาชีวิตคนเหล่านั้นไว้?
หรือ เปิดการสังหารครั้งใหญ่?
หนิงซือฮวาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางซูอี้ “สหายเต๋า เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”
เชินจิ่วซงและเฉินเจิ้งต่างก็มองไปที่ซูอี้
ทว่าเห็นสีหน้าซูอี้นิ่งเหมือนปกติ ปราศจากความเครียดและความกังวล ดูสงบนิ่งเป็นอย่างมาก
“หากตระกูลซูเพียงแค่จะจัดการข้า ไม่ว่าจะใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือกลอุบายใด ข้าก็ไม่สนที่จะโกรธต่อเรื่องนี้ ทว่ายามนี้พวกเขากลับเอาชีวิตผู้อื่นมาบีบข้าให้ก้มหัว นี่ไม่ใช่ความต่ำช้า แต่เป็นการล้ำเส้นข้า”
ส่วนลึกนัยน์ตาซูอี้เป็นประกายความเย็นชาออกมา และเอ่ยด้วยน้ำเสียงธรรมดา “ครั้งนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะฆ่าคนหรือไม่ เมื่อเลือกที่จะกระทำเช่นนี้ ก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ”
เพียงท่าทางและน้ำเสียงที่ปรากฏออกมานั้น มิอาจบอกได้ว่าซูอี้โกรธหรือไม่
ทว่าในใจหนิงซือฮวา เชินจิ่วซง และเฉินเจิ้งกลับรู้สึกหนาวเหน็บอย่างอธิบายไม่ได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูอี้แสดงออกมาอย่างชัดเจน ว่าการกระทำของตระกูลซูในครั้งนี้ ได้ล้ำเส้นเขาแล้ว!
ใครกล้าแตะเกล็ดย้อน*[1] มันผู้นั้นย่อมไม่ตายดี!
สำหรับคนอย่างซูอี้แล้ว หากถูกล้ำเส้น ผลลัพธ์ที่ตามมาจะไม่รุนแรงได้อย่างไร?
ซูอี้มองไปทางหนิงซือฮวา “เจ้าตำหนักหนิง ข้าว่าตอนนี้เจ้าควรกลับไปตำหนักเทียนหยวนสักรอบหนึ่ง”
หนิงซือฮวาคล้ายได้สติกลับมา นางพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “สหายเต๋าเตือนสติมาก็ดี ข้าจะได้กลับไปดู”
ขณะที่เอ่ยอยู่ ก็เร่งรีบนั่งอินทรีเกล็ดเขียวบินออกไปทันที
“จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง ตระกูลซูอาจจะเตรียมวิธีการที่จะใช้คุกคามเจ้าไว้แล้ว เจ้าต้องเตรียมตัวไว้ให้ดี”
ซูอี้มองไปทางเชินจิ่วซง
สีหน้าเชินจิ่วซงเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกพลางเอ่ย “คุณชายซูโปรดวางใจ เชินผู้นี้จะไม่ทำเรื่องที่หักหลังต่อท่านแน่นอน!”
ซูอี้ส่ายหน้า “ในตอนที่ถูกขู่บังคับ มักจะไม่ได้ดั่งใจนัก เพียงแค่คนไม่เป็นอันใด ก็มิถือว่าเป็นการทรยศ”
ขณะที่กล่าว เขาก็ลูบท้อง และเอ่ยด้วยความเบื่อหน่ายเล็กน้อย “ยังต้องรบกวนจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง ออกไปซื้อเหล้าและอาหารให้ข้าด้วย”
เชินจิ่วซงนิ่งไปครู่หนึ่ง นี่หิวแล้วรึ?
เพียงแต่ สถานการณ์ร้ายแรงมาถึงเพียงนี้แล้ว ทว่าคุณชายซูยังมีใจคิดถึงเรื่องกินดื่มอยู่อีกรึ?
นี่…นี่มัน!
ไม่ตื่นตระหนกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ช่างเป็นคนไม่ธรรมดาจริง ๆ …
คล้ายกับติดเชื้อความรู้สึกสงบนิ่งและท่าทางที่สบายเช่นเดียวกับซูอี้ เชินจิ่วซงก็ผ่อนคลายไปไม่น้อย พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณชายรอสักครู่ เชินผู้นี้จะไปนำกลับมาให้”
ซูอี้เอ่ยสั่ง “จำไว้ว่าต้องไปซื้อแพะย่างหนึ่งตัวกับปลาหลีฮื้อย่างหนึ่งตัวที่ภัตตาคารเตามัจฉาอชะ”
เชินจิ่วซงตอบรับอย่างมีความสุข พลันเร่งรีบออกไปทันที
“คุณชายซู ควรจัดการคนผู้นี้อย่างไรดี?”
เฉินเจิ้งชี้ไปที่เฉินจินหลงที่อยู่ไม่ไกลนัก
พลันเฉินจินหลงก็ตกใจจนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เมื่อได้ยิน เขาก็ตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนก “ศิษย์พี่ซู ท่านก็รู้ ข้ามิเคยมีความคิดที่จะเป็นศัตรูกับท่าน ข้า…”
“ไม่ต้องอธิบายแล้ว”
ซูอี้โบกมือหยุดไว้ และเอ่ยอย่างขบขัน “เจ้านี่เป็นชายหนุ่มที่ดวงซวยจริง ๆ ทุกคราที่เจอกัน สถานการณ์ของเจ้าก็ดูเหมือนจะไม่ดีเท่าใดนัก”
เมื่อลองนึกดูแล้ว คราแรกที่เจอกัน ในภัตตาคารกำเนิดสมบูรณ์ ณ มหานครอวิ๋นเหอ เฉินจินหลงและเหล่าศิษย์สำนักดาบชิงเหอบางส่วนที่ยั่วยุเขา สุดท้ายก็ถูกบังคับคุกเข่าลงบนพื้นและตบหน้าตัวเอง
คราที่สองที่เจอกัน คือที่คฤหาสน์ดื่มเหมันต์ เฉินจินหลงเป็นเพียงแค่ตัวประกอบเท่านั้น ทว่าถูกเหยียนอวี่เฟิงศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง เขาตกใจจนอกสั่นขวัญหายไปหมด จะนั่งก็ไม่ได้ จะยืนก็ไม่ได้
คราที่สามที่เจอกัน ก็คือที่เมืองหยางขู่ เขาตกเป็นเป้าหมายโดยตรงของ ‘เหล่าเหวิน’ คนติดตามผู้นำตระกูลอวี๋
และครานี้ที่เจอกัน ชายหนุ่มผู้นี้ก็ถูกกดขี่จากจวิ้นอ๋องแห่งเทียนหย่ง…
ช่างเป็นชายหนุ่มที่ดวงซวยจริง ๆ
เฉินจินหลงเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกมีน้ำตาไหลออกมา
เขาก็รู้สึกว่าตนนั้นดวงซวยจริง ๆ ทุกคราที่เจอกับซูอี้ ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ดีทั้งสิ้น…
“ศิษย์พี่ซู ท่านไม่โทษข้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว”
น้ำเสียงของเฉินจินหลงมีแววสะอื้นไห้ ราวกับใกล้จะร้องไห้ออกมาแล้ว
ซูอี้ดึงเขาขึ้นมาจากบนพื้น พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พอแล้ว เจ้ารีบออกไปจากที่แห่งนี้เถิด จะดีมากหากรีบออกไปจากมหานครกุ่นโจวทันที และจากนี้ไป… จะดีที่สุดหากไม่ต้องมาเจอกับข้าอีก และอย่าได้บอกผู้ใดว่ารู้จักข้า ไม่เช่นนั้น ข้ากลัวว่าเจ้าจะเจอเรื่องที่ซวยอีก”
เฉินจินหลงพยักหน้าอย่างยากลำบาก
ไม่นาน เขาก็รีบออกไปจากที่นี่ทันที ด้วยความรู้สึกที่ห่อเหี่ยว
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกทอดถอนใจอยู่ครู่หนึ่ง คนดวงซวยอย่างเฉินจินหลง ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกเห็นใจไม่ได้
ทันใดนั้น เขามองสีของท้องฟ้าในยามโพล้เพล้ จากนั้นนำเก้าอี้หวายออกมา นั่งอยู่ริมทะเลสาบอย่างเกียจคร้าน
สบายจนร่างกายผ่อนคลาย ซูอี้จึงเอ่ยเสียงเบาขึ้น “จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เวลาว่างนี้ ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับให้แก่เจ้า อาศัยสิ่งนี้ก็มากพอแล้วที่จะหลอมกลั่นจิตวิญญาณต่างแดนในตัว เจ้าตั้งใจฟังให้ดี”
เฉินเจิ้งตกใจ พลันทิ้งความคิดที่ฟุ้งซ่านทันที และตั้งใจฟังอย่างเงียบ ๆ
ในเวลานั้นซูอี้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับที่มีชื่อเรียกว่า ‘เคล็ดหลอมกลืนวิญญาณ’ ให้แก่เฉินเจิ้ง
แม้จะมีเพียงไม่กี่ร้อยคำ ทว่าแต่ละคำดุจบทกวี มันลึกลับราวกับซ่อนบางอย่างอยู่ภายในมากมาย
หลังจากรอให้เฉินเจิ้งจำแต่ละคำได้อย่างขึ้นใจแล้ว ซูอี้ก็ตั้งใจบรรยายให้เขาฟังตั้งแต่ประโยคแรก
เฉินเจิ้งฟังจนเคลิบเคลิ้ม มัวเมาโดยไม่รู้ตัว
จนกระทั่งซูอี้เอ่ยจบ เฉินเจิ้งยังคงจมอยู่ในความรู้สึกที่วิเศษ
ซูอี้ไม่ได้รบกวนเขา ทว่าเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างเงียบ ๆ มองดูดอกบัวที่ปลิวไหวในทะเลสาบภายใต้แสงอัสดง
ครั้งหนึ่งยังจำได้ว่าก่อนหน้านั้น ยังมีฉาจิ่นคอยเคียงข้าง ซักเสื้อผ้า พับที่นอน ยกน้ำชามาให้ ตอนเย็นก็ยังแลกเปลี่ยนวิชาบนเส้นทางการฝึกฝนอยู่ภายในห้อง
ทว่าเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หลังจากกองกำลังของตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงได้เคลื่อนไหว
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ซูอี้รู้สึกอยากจะกำจัด และในใจนั้นก็เกลียดชังอย่างมาก
“รอจัดการเรื่องนี้เสร็จเมื่อใด ข้าจะต้องไปมหานครหลวงอวี้จิงสักรอบหนึ่ง…”
ซูอี้พึมพำในใจ ภายใต้นัยน์ตาลึกสะท้อนภาพแสงอัสดงราวกับเปลวไฟ เขาเย็นชาไปครู่หนึ่ง และไร้ความรู้สึกใดออกมา
“ขอบคุณคุณชายที่ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้!”
เป็นเวลานานกว่าเฉินเจิ้งจะฟื้นสติกลับมา
ใบหน้าที่มั่นคงเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ และอยากจะคุกเข่าโค้งคำนับ
ซูอี้ที่นั่งอยู่เก้าอี้หวายไม่ขยับไปไหน โบกมือขวาเล็กน้อย พลันร่างของเฉินเจิ้งก็แข็งทื่ออยู่ตรงนั้นทันที และมิอาจคุกเข่าลง
“ใต้เข่าลูกผู้ชายนั้นมีทองคำ สำหรับผู้ฝึกตนบำเพ็ญอย่างข้า ย่อมไม่คุกเข่าบนพื้นดิน ไม่เคารพผีสางเทวดา ไม่กลัวความเป็นความตาย และจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงมิใช่ศิษย์สืบทอดของข้าซูผู้นี้ ดังนั้นมิต้องมีมารยาทขนาดนั้น”
ซูอี้เอ่ยอย่างเฉยเมย
เฉินเจิ้งสูดหายใจเข้าลึก และคำนับ “ขอบคุณคุณชายที่สั่งสอน”
ในเวลานี้เอง เชินจิ่วซงก็ถือกล่องอาหารและเหล้าไหเดินเข้ามา และเมื่อเห็นภาพนี้ เขาก็อดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้
เขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่า เฉินเจิ้งได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาและรับคำแนะนำจากซูอี้แล้ว?
เชินจิ่วซงยิ้มพลางเอ่ยแสดงความยินดี “ขอแสดงความยินดีกับจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง ที่ได้รับคำชี้แนะจากคุณชายซู และมิต้องกังวลว่าจะไม่สามารถก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกบำเพ็ญอย่างแท้จริงอีก”
ใบหน้าเฉินเจิ้งเต็มไปด้วยความปีติยินดี
ครั้งนี้ เขามีความโชคดีในความโชคร้ายจริง ๆ แม้เกือบจะตัดใจทิ้ง ทว่ายามนี้ กลับมีความหวังในการเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดี ภายใต้คำชี้แนะของซูอี้!
ความมืดมิดย่างกรายมาถึง
ซูอี้ เชินจิ่วซง และเฉินเจิ้งนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านหน้าริมทะเลสาบ กินไปด้วยพลางพูดคุยไปด้วย
ดวงดาวสดใสเต็มท้องนภา แสงจันทร์สว่างไสวไปทั่วหล้า ลมพัดโชยมา นำพาความสดชื่นเข้ามา เงียบสงัดและผ่อนคลาย
เพียงแต่ เมื่อนึกถึงสิ่งที่จวิ้นอ๋องแห่งเทียนหย่งเล่อชิง พูดเอาไว้ในวันนี้ ในใจของเชินจิ่วซงและเฉินเจิ้งก็มิอาจสงบลงได้จริง ๆ
มีเพียงซูอี้ผู้เดียวที่เหมือนปกติ เพลิดเพลินไปกับอาหารรสเลิศ ช่างเป็นสุขเสียนี่กระไร
จนกระทั่งกินอิ่มและดื่มพอแล้ว อินทรีเกล็ดเขียวก็ลดระดับลงมาจากฟ้า และได้นำจดหมายลับที่หนิงซือฮวาเขียนด้วยตัวเองมาส่งให้
ข้อความในจดหมายนั้นธรรมดามาก
เมื่อวานในตอนเช้าตรู่ ‘เถาเจิ้ง’ รองเจ้าตำหนักจี้เซี่ย และ ‘โม่ฮวาเชวีย’ รองเจ้าตำหนักสุ่ยเยว่ ได้นำกลุ่มผู้อาวุโสเดินทางมาเยี่ยมเยือนตำหนักเทียนหยวน
ยามนี้ ได้หยุดพักอยู่ที่ตำหนักเทียนหยวน
ดูเหมือนภายนอก เถาเจิ้งและโม่ฮวาเชวียจะจัดการเรียนรู้วิถียุทธ์ระหว่างศิษย์สามตำหนักใหญ่ เพื่อกระตุ้นการแลกเปลี่ยน
ทว่าหนิงซือฮวากลับมองออก ไม่ว่าจะเป็นเถาเจิ้ง หรือว่าโม่ฮวาเชวีย การมาเยี่ยมเยือนในครั้งนี้ ถือเป็นการมาสยบอย่างชัดเจน
เพราะ ไม่ว่าจะเป็นตำหนักจี้เซี่ย หรือว่าตำหนักสุ่ยเยว่ ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง!
ลูกหลานของตระกูลซู รามถึงลูกหลานกองกำลังหลักภายใต้การบังคับบัญชาจากตระกูลซู ล้วนฝึกบำเพ็ญอยู่ในสองตำหนักนี้
เช่นเดียวกับเถาเจิ้งรองเจ้าตำหนักจี้เซี่ย ซึ่งมีฐานะเป็นผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเถา
และเถาเจิ้งก็เป็นหนึ่งในกองกำลัง ‘เจ็ดตระกูลหลัก’ ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง
เหมือนกับโม่ฮวาเชวีย ที่มีความสัมพันธ์โยงใยไปทั่วกับตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง
พูดได้ว่า การเดินทางมา ‘เยี่ยมเยือน’ ตำหนักเทียนหยวนในครั้งนี้ของตำหนักใหญ่ทั้งสอง เป็นการร่วมมือกันกับกองกำลังตระกูลซูอย่างแน่นอน!
แต่ถึงอย่างไรตำหนักเทียนหยวนก็เป็นหนึ่งในสิบตำหนักใหญ่แห่งต้าโจว
เมื่อรวมกับหนิงซือฮวาที่เป็นเจ้าตำหนักซึ่งลึกลับดั่งมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง ไม่ว่าจะเป็นเถาเจิ้ง หรือว่าโม่ฮวาเชวีย ก็มิอาจกระทำการอย่างบุ่มบ่ามได้
แต่ใครจะไม่รู้ การมาถึงของพวกเขานั้น เป็นการมาสยบโดยปริยาย?
ตามการคาดการณ์ของหนิงซือฮวา หากเกิดการปะทะกันระหว่างซูอี้กับกองกำลังตระกูลซู เถาเจิ้งกับโม่ฮวาเชวียจะต้องลงมืออย่างแน่นอน!
สำหรับเรื่องเหล่านี้ ซูอี้กลับไม่สนใจ หรือจะกล่าวอีกอย่างคือเขาไม่เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นข้อความในจดหมายที่หนิงซือฮวาเขียน ว่าไม่ว่าจะเป็นเหวินหลิงเสวี่ย หรือว่าฉาจิ่น ต่างก็ปลอดภัยไม่ได้อันตรายอันใด ซูอี้ก็คร้านที่จะสนใจเรื่องอื่นที่อยู่ในจดหมาย
พวกเหล่านั้นเป็นแค่สุนัขรับใช้ของตระกูลซูก็เท่านั้น หากริอาจเห่าทำร้ายผู้อื่น ก็แค่สังหารเท่านั้น จะสนใจสิ่งใดอีก?
เกล็ดย้อน*[1] ว่ากันว่ามังกรมีเกล็ดย้อนบริเวณใต้คอ เมื่อมีคนมาสัมผัส มังกรจะโกรธจัดและฆ่าคนผู้นั้น เป็นสำนวนใช้เปรียบเทียบถึงการล่วงเกินทำให้ผู้ทรงอำนาจโกรธ