บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 251 ติดเครื่องหมายขายชีวิต
ตอนที่ 251: ติดเครื่องหมายขายชีวิต
ตอนที่ 251: ติดเครื่องหมายขายชีวิต
ค่ำคืนอันมืดมิดราวกับสีหมึก
จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะที่เร่งรีบดังขึ้นมาจากนอกลานบ้าน
“ท่านอาซูอี้ ท่านกลับมาแล้วรึ?”
น้ำเสียงที่ร้อนรนของเจิ้งมู่เหยาดังเข้ามา
เมื่อเห็นซูอี้ลุกขึ้น เชินจิ่วซงก็ไปเปิดประตูทันที
ไม่นาน เจิ้งมู่เหยาที่สวมชุดกระโปรงสีดำ มีรูปร่างที่งดงามร้อนแรงก็เดินเข้ามากับเชินจิ่วซง
ใบหน้าที่งดงามของสาวน้อยเต็มไปด้วยความซีดเซียวและอ่อนแรง
เมื่อเห็นซูอี้ เจิ้งมู่เหยาพลันน้ำตาคลอทันที เอ่ยอย่างตื่นตัว “ท่านอาซูอี้ ข้าขอร้องท่าน ช่วยบิดาข้าด้วยเถอะ!”
ขณะที่เอ่ยอยู่ นางก็จะคุกเข่าลงพื้น ทว่าถูกเชินจิ่วซงขวางไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอ่ยด้วยความนุ่มนวล “แม่สาวน้อย เจ้าใจเย็นลงก่อน มีเรื่องอันใดก็ค่อย ๆ พูด”
“เกิดเรื่องสิ่งใดขึ้น?” ซูอี้ถาม
เจิ้งมู่เหยาสูดหายใจเข้าลึกสองสามครั้ง ถึงได้ควบคุมความรู้สึกผันผวนที่อยู่ในใจได้ และเอ่ยขึ้น
“เมื่อวันก่อน มีคนจากตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงมาเป็นแขกตระกูลเจิ้ง บอกว่าจะเปลี่ยนแปลงตำแหน่งในตระกูลเจิ้งของพวกเรา และให้ขีดเส้นความสัมพันธ์กับท่านให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้น จะทำให้ทั้งตระกูลเจิ้งปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ…”
“บิดาข้าไม่ยินยอมทำเช่นนี้ จึงถูกท่านปู่เล็กที่พาผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งจับตัวไป และคุมขังไว้ในคุกใต้ดินของตระกูล แม้แต่ตำแหน่งผู้นำตระกูลของพ่อข้าก็ถูกช่วงชิงไป”
“ท่านปู่เล็กและคนอื่น ๆ ต่างก็ป่าวประกาศเป็นศัตรูกับท่านในนามตระกูลเจิ้ง…”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ซูอี้ก็เอ่ยด้วยท่าทางที่คิดสิ่งใดอยู่ “จะบอกว่า บิดาเจ้าเพียงแค่ถูกช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล ทว่าไม่มีอัตรายถึงชีวิต? ”
เจิ้งมู่เหยาเอ่ยอย่างน่าสงสาร “ถูกต้อง ทว่าข้ากังวลคนผู้อื่นภายในตระกูลที่อยากได้ตำแหน่งผู้นำตระกูล จะหักหลังและทำร้ายบิดาข้า”
ซูอี้คิดครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าวางใจเถอะ ผ่านพรุ่งนี้ไปก็ไม่มีสิ่งใดแล้ว ที่ยามนี้คนพวกนั้นเผยตัวออกมาพยายามแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลเจิ้ง ก็เป็นเพียงแค่ตัวตลกกลุ่มหนึ่งก็เท่านั้น รอบิดาเจ้าหลุดพ้นเมื่อไร ค่อยชำระความแค้นนี้ด้วยกัน”
เจิ้งมู่เหยานิ่งไปครู่หนึ่ง “ท่านอาซูอี้ ท่าน… แน่ใจว่าบิดาข้าจะไม่เป็นอันใดหรือ?”
เชินจิ่วซงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อคุณชายซูเอ่ยเช่นนี้ ย่อมมีความเชื่อถือได้ แม่สาวน้อย สำหรับบิดาเจ้าแล้ว มันคือการกวาดล้างพวกนอกคอก และเป็นโอกาสเสริมความแข็งแกร่งให้กับตระกูล ยามนี้เจ้ายังไม่เข้าใจ รอผ่านพรุ่งนี้ไปเมื่อไร เจ้าก็จะเข้าใจเอง”
เฉินเจิ้งก็พยักหน้า “ถูกต้อง ยิ่งตั๊กแตนกระโดดโลดเต้นด้วยความสุขมากเท่าใด เมื่อตายไปก็ยิ่งน่าเวทนามากเท่านั้น”
สำหรับจวิ้นอ๋องที่ควบคุมดินแดนต่าง ๆ อย่างพวกเขา ชั่วพริบตาหนึ่งก็เข้าใจความหมายในคำพูดของซูอี้ในทันที
เพียงแต่ ทั้งหมดนี้ต้องมีเงื่อนไขอย่างหนึ่ง นั่นก็คือหากซูอี้สามารถต้านทานวิกฤตนี้ ตีกองกำลังที่ตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงส่งมาให้หมอบลงในคราเดียว
ทว่าเฉินเจิ้งกับเชินจิ่วซงไม่กังวลสิ่งใดกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย
ในตอนที่ยังไม่ก้าวไปสู่ขอบเขตปรมาจารย์ ซูอี้ก็สามารถสังหารปรมาจารย์ขั้นห้าอย่างฉินฉางซานได้อย่างสบาย ๆ แม้แต่ปีศาจเฒ่าฮวาหลิวเยว่ก็ยังถูกฆ่าตายด้วยดาบเดียว
แล้วจะนับประสาอะไรกับตอนนี้?
“ท่านอาซูอี้ ขอบคุณท่านมาก!”
บนใบหน้าเล็กของเจิ้งมู่เหยาเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ “รอบิดาข้าหลุดพ้นออกมาได้เมื่อใด ข้า… ข้าจะต้องตอบแทนท่านอย่างดีแน่นอน”
ก่อนหน้านี้สาวน้อยยังตื่นตระหนกประหนึ่งกวางน้อย ทว่ายามนี้กลับสงบลงไปไม่น้อยเลย
เพียงแต่ นางขอบตาแดงก่ำ บนใบหน้ากลมรีที่งดงามนั่นเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและซีดเซียว
ซูอี้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้หวาย เดินขึ้นไปข้างหน้า พลางยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เบา ๆ
“เมื่อพูดถึง บิดาเจ้าก็นับได้ว่าเกี่ยวข้องกับข้า ดังนั้นเรื่องนี้ข้าจะไม่นิ่งดูดายแน่ ฉะนั้น เจ้าค่อย ๆ เก็บความรู้สึก และกลับไปรอข่าวที่บ้านเสีย”
เจิ้งมู่เหยาพยักหน้าอย่างหนักแน่น “อืม!”
ในใจนางสั่นเทาเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าซูอี้จะช่วยเช็ดน้ำตาให้ และยังใช้น้ำเสียงอ่อนโยนปลอบประโลมอีก
ปลอบใจนาง จนทำให้นางรู้สึกอบอุ่น
เฉกเช่นลูกกวางน้อยตัวหนึ่งที่อยู่ในความสับสนพบที่พึ่งพิงอันแข็งแกร่งมั่นคง
“ท่านอาซูอี้”
เมื่อคิดครู่หนึ่ง เจิ้งมู่เหยาพลันก้มหน้าพลางเอ่ยด้วยเสียงที่เบาดั่งยุงบิน “ข้า… ข้ารอข่าวอยู่ที่นี่ได้หรือไม่?”
ซูอี้พยักหน้าตอบกลับ
ในใจเขามีไอสังหารพรั่งพรูออกมาเล็กน้อย
เริ่มจากจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงเฉินเจิ้ง ถูกคุกคามให้ขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับเขา จนมาถึงยามนี้ และยังมีเฉินจินหลงที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยว มีตำหนักเทียนหยวนที่ถูกคุกคาม และมีเจิ้งเทียนเหอผู้นำตระกูลเจิ้งถูกคุมขัง
เรื่องที่เกิดขึ้นติดต่อกันนี้ พอจะดูออกว่าสิ่งที่ตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงต้องการจะโจมตี ก็คือคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเขา และใช้สิ่งนี้มาบีบบังคับให้เขาก้มหัวให้
แต่สำหรับซูอี้แล้ว การกระทำเช่นนี้ เป็นการทดสอบและยั่วยุความอดทนของเขาอย่างไม่ขาด!
…..
เช้าวันรุ่งขึ้น
ท้องนภาที่เพิ่งจะสว่าง ภายในศาลาที่ทำการ ณ จวนเจ้าแคว้น
เซี่ยโหวหลินที่ยิ่งใหญ่ไร้ความปรานี นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด
เขาสวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้ม แม้จะมีอายุใกล้สี่สิบแล้ว ทว่ารูปโฉมยังหล่อเหลา และมีเสน่ห์ล้ำเลิศ ประหนึ่งต้นสนที่แข็งแกร่ง ช่างยอดเยี่ยมมาก
“หากคุณชายสามมาแล้ว ก็อย่าริอาจทำจนเกินไป นายท่านบอกไว้ แค่ทำให้คุณชายสามได้สติก็พอ”
เซี่ยโหวหลินเอ่ยอย่างเอื่อยเฉือย
ในฐานะที่เป็นราชาปราการเพลิงหนึ่งในเก้าราชาต่างสกุลแห่งต้าโจว เซี่ยโหวหลินเองก็เป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียงสั่นสะเทือนไปทั่วหล้า
แม้จะไม่เคยถีบตัวเองเข้าไปอยู่ในรายนาม ‘สิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่’ ทว่าพื้นฐานและกำลังรบของเขาก็เพียงพอที่จะยืนอยู่บนจุดสูงสุดท่ามกลางผู้คนมากมายในต้าโจว!
“ข้าไม่เข้าใจมาโดยตลอด แท้จริงแล้วอะไรที่เรียกว่าได้สติกัน”
ด้านข้าง จวิ้นอ๋องแห่งเทียนหย่งเล่อชิงที่นั่งไขว่ห้างอยู่ เอ่ยถามด้วยใบหน้าทะเล้น “หากเขายืนกรานที่จะแกล้งหลับหูหลับตาไปตลอด พวกเราก็มิอาจเรียกเขาตื่นได้นะสิ”
เซี่ยโหวหลินเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “หากเรียกไม่ตื่น ก็โจมตีให้ตื่น เมื่อร่างกายตัวเองได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดและไร้ความหมายแล้ว ก็ต้องได้สติและตระหนักได้ว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตระกูลซูของพวกเรา ความสามารถนั้นของเขาช่างน่าขันและน่ารังเกียจมาก”
เล่อชิงหัวเราะเสียงดังพลางเอ่ย “สรุปคือ ก็ยังต้องลงมืออยู่ดี และแน่นอนว่า หากคุณชายสามของพวกเราสามารถได้สติขึ้นมาจริง ๆ เช่นนั้นก็จะยิ่งดีมากที่มิต้องลงมือ”
เซี่ยโหวหลินมองไปทางจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน เพ่ยเหวินซานที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง “ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง?”
เพ่ยเหวินซานพยักหน้า “ครั้งนี้ น่าจะเพียงพอทำให้คุณชายสามได้รู้จักอย่างแท้จริง ว่ากำลังของตระกูลซูมีความน่ากลัวถึงเพียงใด”
ภายในตำหนักใหญ่จวนเจ้าแคว้นนี้ นอกจากพวกเขาทั้งสามคนแล้ว ยังมีคนใหญ่คนโตที่มีตำแหน่งสำคัญอยู่กลุ่มหนึ่ง
มีผู้นำตระกูลคนใหม่ของห้าตระกูลชั้นนำแห่งต้าโจว และมีกลุ่มคนผู้มีฝีมือขึ้นตรงกับราชาปราการเพลิง จวิ้นอ๋องแห่งเทียนหย่ง และจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน
แต่ละคนที่ได้รับการคัดเลือกออกมา ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงด้านใดด้านหนึ่ง และผู้ที่อ่อนแอที่สุดล้วนมีการบำเพ็ญในขอบเขตปรมาจารย์
ในเวลานี้ พวกเขานั่งอย่างสุภาพ และมิกล้าเปล่งเสียงออกมา
ตึง! ตึง! ตึง!
จู่ ๆ ก็มีเสียงตีกลองดังเข้ามาจากนอกจวนเจ้าแคว้น ทำให้ผู้คนภายในมีกำลังฮึกเหิมขึ้นมา พลางสอดสายตามองไปนอกจวน
ไม่นาน ในสายตาของทุกคนก็เห็น ซูอี้ เชินจิ่วซง และเฉินเจิ้งเดินเข้ามาจากที่ไกล ๆ
เมื่อเห็นซูอี้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่เผยสีหน้าแปลกใจออกมา นึกถึงงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิมในตอนนั้น ซูอี้เคยอยู่ด้วยกันกับองค์ชายหก และเข้าร่วมงานเลี้ยงนั้น
“และยังมีจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงกับจวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงมาด้วยกันอีก หรือว่าพวกเขาจะยังไม่รู้ ว่าสถานการณ์ในวันนี้อันตรายมากเพียงใด?”
เหล่าคนใหญ่คนโตต่างก็กระสับกระส่าย
ฐานะจวิ้นอ๋องของทั้งสองท่านนี้ไม่ธรรมดา อีกทั้งการบำเพ็ญก็ยิ่งแข็งแกร่งมาก
เพียงแต่ เมื่อเผชิญกับกองกำลังของตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง กลับยังมีพลังไม่มากพอ
แต่พวกเขากลับเดินทางมาพร้อมกับซูอี้ ในความคิดของทุกคนแล้ว ก็เหมือนกับพาตัวเองกระโดดเข้าไปในขุมนรก ช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลย
เซี่ยโหวหลินขมวดคิ้วครู่หนึ่ง พลันสายตาก็มองไปที่เฉินเจิ้งทันที “ข้าให้จดหมายแก่เจ้า หรือว่าเจ้าไม่ได้รับมัน?”
เฉินเจิ้งเอ่ย “ได้รับแล้ว ได้อ่านแล้ว และได้ฉีกจดหมายนั้นทิ้งแล้ว”
“ฉีกทิ้ง?”
เซี่ยโหวหลินนั่งตัวตรง มองซูอี้อยู่ครู่หนึ่ง และก็มองไปที่เฉินเจิ้งครู่หนึ่ง พลางเอ่ย “นึกถึงไมตรีของเจ้ากับข้าในหลาย ๆ อย่างที่แล้วมา ข้าถึงได้เตือนเจ้าดี ๆ ทว่าเจ้ากลับทำเช่นนี้ ตั้งใจแตกหักกับข้าเซี่ยโหวหลินให้ถึงที่สุดใช่หรือไม่? หรือว่า… ตั้งใจจะเป็นศัตรูกับตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง?”
เมื่อเอ่ยมาถึงสุดท้าย น้ำเสียงก็แฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ
เฉินเจิ้งเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ข้าเฉินเจิ้งรู้แค่ว่า หากไม่มีคุณชายซู ข้าคงตายอยู่ในหุบเขามารบุปผาโลหิตแล้ว และตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ชีวิตของข้าเป็นของคุณชายซู”
ผู้คนในตำหนักใหญ่ล้วนตะลึงงัน
“ช่างน่าเสียดายนัก”
เซี่ยโหวหลินถอนหายใจยาวออกมา “วันนี้เจ้าเฉินเจิ้งมาแล้ว ก็มิต่างอะไรกับการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง หากเจ้าหันกลับไป ก็คงเป็นเพียงแค่ตัวตลกที่ถูกผู้อื่นล้อ”
ทว่าเฉินเจิ้งกลับหัวเราะออกมาทันที พลางกวาดสายตามองเหล่าคนมีอำนาจที่นั่งอยู่เต็มตำหนักนี้ “ในความคิดข้า ต่อหน้าคุณชายซู เหล่าอาวุโสที่อยู่ในที่แห่งนี้ เป็นเพียงแค่ผู้ติดเครื่องหมายขายหัวก็เท่านั้น”
ติดเครื่องหมายขายหัวหมายถึงสิ่งใดกัน?
ไปนั่งคุกเข่าในเมือง ติดเครื่องหมายหญ้า*[1]อยู่ด้านหลัง และขายชีวิตของตัวเองซะ!
สิ่งนี้เป็นการเหยียดหยามเหล่าคนใหญ่คนโตที่อยู่ในที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก
มากเสียจนคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในนี้รวมถึงเซี่ยโหวหลิน ต่างก็ตกใจ ประหนึ่งได้ฟังเรื่องตลกมาก พลันหัวเราะเสียงดังออกมา
จวิ้นอ๋องแห่งเทียนหย่งหัวเราะจนตัวโยก น้ำตาเกือบไหลลงมา “จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงที่สง่าผ่าเผย นึกไม่ถึงว่าจะพูดเรื่องตลกเช่นนี้ได้ เช่นนั้นเจ้าลองบอกมาสิว่า ข้าเล่อชิงผู้นี้หากติดเครื่องหมายขายหัว จะมีราคาเท่าไดกัน?”
“หนึ่งตำลึงก็ไม่คุ้ม”
คนที่ตอบกลับไปคือซูอี้
เขาสวมชุดเขียว ยืนอยู่ในจวนใหญ่นานแล้ว มองดูไปรอบ ๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส “มิต้องเอ่ยโอ้อวดอย่างรีบร้อน ใครอยากให้ข้าซูผู้นี้ก้มหัว ก็เข้ามาได้เลย”
พลันบรรยากาศในนั้นกลายเป็นกดดันอย่างมาก
สายตาทุกคนจับจ้องไปที่ซูอี้ บ้างก็ขมวดคิ้ว บ้างก็ประหลาดใจ คล้ายกับไม่เข้าใจ เมื่อตนอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เหตุใดซูอี้ชายหนุ่มที่มีอายุสิบเจ็ดปี กลับมิรู้ความยำเกรงเลยสักนิด?
เซี่ยโหวหลินเหลือบมองซูอี้ พลางกล่าวคำออก “ในเมื่อคุณชายสามอยากได้สติเร็ว ๆ ข้าและคนอื่น ๆ จะไม่ให้เจ้าสมความปรารถนาได้อย่างไร?”
ขณะเอ่ยอยู่ สายตาเขามองไปที่เล่อชิง “อยู่ที่เจ้าแล้ว”
เล่อชิงหัวเราะพลางลุกขึ้น คลำจดหมายลับจากในแขนเสื้อออกมา และโยนไปให้เชินจิ่วซง
“จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง นี่เป็นจดหมายที่เชินชูลูกชายเจ้าเขียน หลังจากที่อ่านแล้ว เจ้าค่อยพิจารณาเอาว่าจะเข้าร่วมหรือไม่”
ในสายตาและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความขี้เล่น
เชินจิ่วซงตกใจ เมื่อคืนที่ผ่านมา ซูอี้ก็เคยเตือนเขา ในเมื่อกองกำลังของตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงเคลื่อนไหวแล้ว ก็อาจจะเตรียมมุ่งเป้าไปที่ความสามารถของเขา
ไม่นึกเลยว่า จะเกิดขึ้นจริง ๆ!
เชินชูเป็นลูกชายเพียนคนเดียวของเขา ตอนเด็กถูกส่งไปฝึกบำเพ็ญที่ตำหนักเฟิ่งฉีในมหานครหลวงอวี้จิง ปีนี้มีอายุสิบเก้าปี ความสามารถกำลังงอกงาม ฉลาดเฉลียวเกินใคร
ทว่ายามนี้ ลูกชายเพียงคนเดียวที่เป็นความหวังของเขา ก็คงเป็นเป้าหมายของกองกำลังตระกูลซูแล้ว
หากมิเอ่ยอย่างเกินจริงล่ะก็ นี่เท่ากับว่าจับจุดสำคัญของเชินจิ่วซงไว้ และโจมตีจุดอ่อนที่ใหญ่สุดของเขา!
มากเสียจน หัวใจเขาถูกบีบคั้นอย่างรุนแรง พลันสีหน้าก็มีความลังเล
เมื่อเห็นสีหน้าของเชินจิ่วซงเปลี่ยนไป ผู้คนที่อยู่ในนี้ต่างก็แอบส่ายหน้ากับตัวเอง
เป็นจวิ้นอ๋องควบคุมดินแดนหนึ่งแล้วอย่างไร?
เมื่ออยู่ต่อหน้ากองกำลังของตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง ก็อ่อนแออยู่ดี!
ติดเครื่องหมายหญ้า [1] มีที่มาจากคนสมัยก่อนเวลาค้าขายของจะใช้หญ้าแห้งปักเป็นสัญลักษณ์การขายของสิ่งนั้น ซึ่งหญ้าในที่นี้มีความหมายอีกอย่างคือ ของชิ้นนี้ ‘ไร้ค่า’ จึงปักหญ้าขายทิ้งไปเสีย