บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 252 เปลี่ยนใจอย่างง่ายดาย
ตอนที่ 252: เปลี่ยนใจอย่างง่ายดาย
ตอนที่ 252: เปลี่ยนใจอย่างง่ายดาย
หลังจากเงียบไปนานมาก เชินจิ่งซงก็ยังไม่เปิดจดหมายนั่น
เขาเอ่ยด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง “หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับลูกชายข้า ในฐานะที่เป็นบิดา จะทวงความยุติธรรมให้แก่เขา แต่หากทุกท่านยังใช้เรื่องนี้มาบีบบังคับให้เชินผู้นี้ยอมจำนน ก็ฝันไปเถอะ!”
สี่คำสุดท้ายนั้นทรงพลังมาก
ทุกคนต่างก็แปลกใจ บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัดขึ้นไม่น้อย
“จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง เจ้าไม่ลองดูหน่อยรึ ว่าจดหมายนั่นเขียนอะไรบ้าง?”
เล่อชิงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
แคว่ก!
เชินจิ่วซงฉีกจดหมายนั้น พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “หากตระกูลซูของพวกเจ้าสามารถสังหารลูกชายข้าได้ ข้ารับปากเลยว่า ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นแทนเขาแน่!”
ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง และตกใจกับท่าทางที่เด็ดขาดของเชินจิ่วซง
ต้องมีสภาพจิตใจอย่างไร ถึงทำให้เขาไม่สนใจความปลอดภัยของลูกชายตน และมุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงข้างซูอี้ในยามนี้?
“เจ้ามิจำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ซูอี้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“ข้ามิกลัวคุณชายซูจะหัวเราะเยาะ เชินผู้นี้เผชิญกับความทุกข์ยากต่าง ๆ ในโลกนี้มาหลายปีแล้ว ความสามารถอื่นนั้นไม่มี ทว่าในใจนั้นกลับถือเอาความมุ่งมั่นยืนหยัดเป็นบรรทัดฐานมาโดยตลอด”
เชินจิ่วซงเอ่ยเสียงเบา “เรื่องบางเรื่อง สามารถยอมให้ได้ ทว่าบางเรื่อง ถึงตายก็มิอาจถอยให้แม้แต่ครึ่งก้าว”
“ฮ่า ๆๆ”
เล่อชิงหัวเราะเสียงดังออกมา “เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินว่า จวิ้นอ๋องผู้ควบคุมดินแดนแห่งหนึ่ง ริอาจเอาจริงกับตระกูลซูของพวกข้า และไอ้ความยืนหยัดของเจ้า เป็นความโง่เขลาที่ช่างน่าขันยิ่งนัก!”
ทันใดนั้น เขาก็ถอนหายใจยาวขึ้นมา “ทำเช่นนี้ ไม่เพียงแค่ตัวเจ้าที่จะถูกทำร้ายจนตาย แม้แต่ลูกชายเจ้าก็จะถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คุ้มแล้วรึที่จะทำเช่นนี้?”
ซูอี้ชำเลืองมองจวิ้นอ๋องแห่งเทียนหย่งที่ประกาศให้ผู้อื่นรู้อย่างไม่เจียมตัว จึงเอ่ยขึ้น “หากลูกชายเขาตาย ข้าจะทำลายล้างตระกูลเจ้าทั้งหมด”
เล่อชิงนิ่งอิ้งไปครู่หนึ่ง
ไม่รอให้เขาได้เอ่ยสิ่งใด เซี่ยโหวหลินก็เริ่มเอ่ยด้วยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณชายสามยับยั้งความโกรธด้วย เรื่องเพิ่งจะเริ่มไปเมื่อครู่นี้เอง”
ขณะที่เอ่ยอยู่ เขาก็โบกมือ
ทันใดนั้น ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากห้องโถงด้านข้างตำหนักใหญ่
คนที่นำมาคือฟู่ซาน เจ้าเมืองกว่างหลิง และที่อยู่ข้าง ๆ เขา ยังมีเนี่ยเป่ยหู่ รวมถึงชายชราแปลกหน้าผู้หนึ่ง
รูม่านตาซูอี้หดลงเล็กน้อย ชั่วครู่หนึ่งก็กลับไปเป็นปกติเหมือนเดิม
“คุณชายซู ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ฟู่ซานยกมือคารวะ สีหน้ามีความยุ่งเหยิง
ซูอี้เอ่ยถาม “เจ้าถูกขู่บังคับหรือไม่?”
ฟู่ซานส่ายหน้า พลางถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ตระกูลซูเชิญให้พวกข้ามา ตอนนั้นบอกว่าให้มาเป็นแขก หากเป็นไปได้ ฟู่ผู้นี้หวังว่าคุณชายซูจะสามารถปล่อยวางอคติที่อยู่ในใจได้ ถึงอย่างไร คุณชายซูก็เป็นทายาทของท่านผู้นำตระกูลซู เหตุใด… เหตุใดถึงเลือกที่จะเป็นศัตรูกับตระกูล?”
ซูอี้ขมวดคิ้วพลางเอ่ยขัด “นึกถึงมิตรไมตรีที่มีต่อกันในตอนนั้น จะดีที่สุดหากเจ้าหุบปากเสีย”
ฟู่ซานนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาฝืนยิ้มพลางส่ายหน้าทันที
“หากเจ้ามีความคิดเช่นเดียวกับฟู่ซาน ข้าขอแนะนำว่าจะดีมากหากเจ้ามิเอ่ยสิ่งใดออกมา”
สายตาของซูอี้มองไปที่เนี่ยเป่ยหู่
เนี่ยเป่ยหู่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ย “คุณชายซู อำนาจของตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง มีมากกว่าที่ท่านคิด หากวันนี้ท่านไม่ก้มหัวให้ พวกเราและเหล่าคนที่เกี่ยวข้องกับท่าน ต้องถูกดึงเข้าไปพัวพันแน่ พวกเรามิกลัวสิ่งเหล่านี้ ทว่ากลัวจะเกี่ยวพันไปถึงลูกภรรยาญาติและมิตรสหาย ท่าน… เหตุใดถึงมิอาจยอมให้สักคราหนึ่ง?”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ทำไม ในสายตาเจ้า ข้ากลายเป็นคนที่ทำให้เกิดหายนะแล้วรึ? กลัวจะถูกดึงเข้าไปพัวพัน ก็แค่ตัดความสัมพันธ์เสีย และยังไม่ละอายใจบอกว่ามาเป็นแขก ใครให้ความกล้าแก่เจ้ากัน? ”
เนี่ยเป่ยหู่พูดไม่ออก ก้มหน้าลงอย่างขมขื่น “คุณชายซู ข้า… ข้าก็แค่ตรึกตรองเพื่อท่าน…”
ซูอี้คร้านที่จะสนใจเขาอีก จากนั้นสายตาก็มองไปทางชายชราแปลกหน้าคนนั้น “แล้วเจ้าเป็นใคร?”
ชายชราคำนับพลางเอ่ย “คุณชายซู ชายแก่ผู้นี้คือหวงโหยวเฉิงเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลหวงในเมืองกว่างหลิง ที่มาในครานี้ ก็เพราะอยากจะคุยกับท่าน ผู้นำกระกูลหวงอวิ๋นชงที่ไม่รู้จักกาลเทศะ ถูกข้าและตระกูลหวงปลดออกจากการเป็นผู้นำตระกูลแล้ว”
เขาหยุดพักไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “อีกอย่าง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหวงของพวกข้ากับท่านไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก”
ซูอี้ส่งเสียงอ๋อออกมา “วางใจเถอะ ข้ารู้จักแค่หวงอวิ๋นชงกับหวงเฉียนจวินแค่สองคนเท่านั้น ตระกูลหวงของพวกเจ้าจะมีท่าทีเช่นไร ก็ไม่ถือว่ามีความเกี่ยวข้องกัน”
เมื่อเห็นทั้งหมดนี้ เซี่ยโหวหลินเอ่ยอย่างเย็นชา “อย่าให้พวกคนธรรมดาเหล่านี้กระโดดโลดเต้นอยู่เลย เอาอาหารที่มีค่ามาให้คุณชายสามของพวกเราหน่อย”
เล่อชิงหัวเราะเสียงดังพร้อมกับตบมือ “พาคนเข้ามา!”
ก็มีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากห้องโถงด้านข้างตำหนัก ก็คือท่านแม่เฒ่าตระกูลเหวิน เหวินฉางจิ้งผู้นำตระกูลเหวิน รวมไปถึงเหวินฉางไท่และภรรยาฉินชิ่ง
พวกเขาหวาดกลัวและกังวล ตัวสั่นงกงัน ประหนึ่งเป็นนักโทษที่ถูกคุมตัวเข้ามา
ท่านแม่เฒ่ามีสีหน้าที่ยุ่งเหยิง พลางเอ่ยด้วยเสียงสั่นเทา “คุณชายสาม เทพเทวดาตีกัน มนุษย์โลกรับกรรม ตัวข้านั้นอ่อนแอนัก ช่างโชคร้ายที่ต้องมาพัวพันกับความโกลาหลนี้ หญิงสูงอายุผู้นี้มิกลัวตาย ทว่าท้ายสุดแล้วผู้คนในตระกูลทั้งหมดไม่มีความผิดอันใด…”
ซูอี้โบกมือ “ไม่ต้องเอ่ยสิ่งใดมาก ข้าย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ พวกเขาทำเช่นนี้ เพราะอยากแสดงกำลังของตระกูลซูก็เท่านั้น และให้ข้าก้มหัวอย่างเชื่อฟังก็เท่านั้น”
“เช่นนั้น… ท่านจะก้มหัวให้หรือไม่?”
ฉินชิ่งพูดโพล่งออกมา
ซูอี้เอ่ย “ข้าทำได้เพียงแค่รับปากว่า จะไม่เกิดอันใดขึ้นกับพวกท่านเท่านั้น”
เล่อชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “คุณชายสามช่างโอ้อวดยิ่งนัก เช่นนั้นท่านลองมองดูอีกครั้ง ว่าสิ่งนี้คือสิ่งใด”
ขณะที่เอ่ยอยู่ เขาก็นำดาบเล่มหนึ่งออกมา
ตัวดาบเรียบง่าย ธรรมดา เผยจิตวิญญาณออกมาอย่างคลุมเครือ ในส่วนอื่น ๆ นั้นไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ
ทว่าเมื่อเห็นดาบเล่มนี้ นัยน์ตาซูอี้ก็แข็งขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ
ดาบสุดแดนดิน!
นี่คือดาบที่หลอมขึ้นมาเป็นเล่มแรก มันมีความหมายที่พิเศษมากสำหรับเขา
ตอนนั้นที่อยู่ในมหานครอวิ๋นเหอ ได้ส่งมอบให้กับเฝิงเสี่ยวหรานเก็บรักษาไว้
ทว่ายามนี้ ดาบนี่กลับปรากฏอยู่ในมือเล่อชิง!!
“คุณชายสามน่าจะรู้จักดาบเล่มนี้นะ แต่ท่านมิต้องกังวลไป ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหยวน หรือว่าพี่น้องเฝิงทั้งสองคน ต่างก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต”
เล่อชิงหัวเราะออกมาเสียงดัง “ถึงอย่างไร ท่านผู้นำตระกูลก็เคยกำชับเอาไว้ เพียงแค่อยากจะทำให้คุณชายสามได้สติกลับมา ก็ยังไม่จำเป็นจะต้องลงมืออย่างไร้ความปรานี”
สายตาของซูอี้มองไปที่ดาบสุดแดนดิน และเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยเมย “ยังมีอะไรอีกหรือไม่?”
เซี่ยโหวหลินถอนหายใจออกมาเบา ๆ “คุณชายสาม หากข้าบอกท่านว่า สิ่งที่ท่านพบเจอในยามนี้ เป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งของกำลังตระกูลซู ท่านจะเชื่อหรือไม่?”
ซูอี้เอ่ย “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ยังมีอะไรอีกหรือไม่?”
ใบหน้าเซี่ยโหวหลินเผยความโกรธออกมาเล็กน้อย และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน เจ้าพูดแล้วกัน”
เพ่ยเหวินซานที่อยู่ข้าง ๆ พยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ “คุณชายสาม มู่จงถิงเจ้าแคว้นกุ่นคนใหม่ ได้ถูกปลดตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว ในยามนี้มีฐานะเป็นนักโทษ และถูกขังอยู่ในคุก”
“องค์ชายหกแม้จะได้รับคำชมจากฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน ทว่ายามนี้ก็ถูกกักขังอยู่ในพระราชวัง มิอาจเข้าร่วมเรื่องภายนอกได้ ซึ่งมันก็หมายความว่า องค์ชายหกมิอาจช่วยท่านได้อีกแล้ว”
เพ่ยเหวินซานพักไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อ “นอกจากนี้ กองกำลังของตำหนักจี้เซี่ยและตำหนักสุ่ยเยว่ ได้เข้าไปที่ตำหนักเทียนหยวนเมื่อวานแล้ว ด้วยความสามารถที่เหนือใครของเจ้าตำหนักหนิง ภายในสถานการณ์เช่นนี้ เกรงว่าคงยากที่จะช่วยคุณชายสามอีก”
เมื่อเอ่ยจบ เพ่ยเหวินซานก็ถอนหายใจยาวออกมา “คุณชายสาม พวกข้ามิได้บังคับท่านก้มหัวให้กับพวกข้า แต่ก้มหัวให้กับบิดาผู้ให้กำเนิดท่าน ซึ่งไม่มีสิ่งใดที่ต้องเสียหน้าเลย”
เซี่ยโหวหลินเอ่ย “ถอยหนึ่งก้าวจะทำให้เราเห็นมุมมองที่กว้างไกลขึ้น!”
เล่อชิงเอ่ย “คุณชายสาม เพียงแค่ท่านเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ต่อแต่นี้ไปเหตุใดท่านจึงจะมิได้การยอมรับจากผู้คนในตระกูลซูล่ะ? เมื่อถึงตอนนั้น ทั่วอาณาจักรต้าโจวนี้จะมีผู้ใดกล้ามาดูแคลนท่านอีก?”
สายตาของทุกคนที่อยู่ในตำหนักใหญ่ ต่างจ้องมองไปที่ซูอี้
บรรยากาศกดดันและเงียบสงัด
ซูอี้ที่มองดาบสุดแดนดินที่อยู่ในมือเล่อชิงอยู่ ก็เอ่ยขึ้นทันที “ข้าแค่อยากรู้ การกระทำในครั้งนี้ คือซูหงหลี่ให้พวกเจ้าทำเช่นนี้ หรือได้รับคำสั่งมาจากผู้อื่น?”
“บังอาจนัก!”
สีหน้าของเซี่ยโหวหลินครึ้มลง “ในฐานะที่เจ้าเป็นลูก จะเรียกบิดาท่านด้วยชื่อที่สูงส่งได้อย่างไรกัน?”
เพ่ยเหวินซานก็ขมวดคิ้ว “คุณชายสาม พวกข้ารู้ว่าในใจท่านไม่มีความสุข ทว่าทางที่ดีท่านควรจะใจเย็นลงหน่อย เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองให้ดี อย่าได้เย่อหยิ่งโอ้อวดเร็วเกินไปนัก ไม่เช่นนั้น อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่แยแส “จะไม่บอกรึ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันหน้าข้าจะไปมหานครหลวงอวี้จิงถามเขาด้วยตัวเอง ว่าท้ายสุดแล้วผู้ใดกันเป็นคนจัดการการกระทำในครานี้ ไม่รู้ว่าบนโลกนี้เรื่องบางเรื่อง เมื่อทำไปแล้ว ก็เป็นคนที่ตายได้?”
“เจ้า…”
เซี่ยโหวหลินโมโห กลิ่นอายทั่วร่างของบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์พรั่งพรูออกมา อานุภาพช่างน่ากลัว “คุณชายสาม ตั้งใจจะไม่ยอมทำตามจริง ๆ สินะ? ”
“ข้าบอกนานแล้ว อาศัยเพียงคำพูด มิอาจปลุกคนแกล้งปิดหูปิดตาให้ตื่นได้ เฉกเช่นยามนี้ หากไม่ทำให้คุณชายสามของพวกเจ้าได้รู้สึกทุกข์ทรมานสักนิด เกรงว่าคงมิอาจปรับปรุงนิสัยเลวทรามที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงได้”
เล่อชิงยิ้มและส่ายหน้า
ชั่วครู่หนึ่ง ในสายตาของพวกคนใหญ่คนโตที่มองไปทางซูอี้ เผยความเห็นอกเห็นใจออกมาเล็กน้อย มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่ยอมก้มหัวอีก ต้องถูกลงโทษสักครู่หนึ่งถึงจะดี?
ฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่ รวมถึงแม่เฒ่าเหวินและคนอื่น ๆ ที่อยู่ไม่ไกลนัก ต่างก็มีสีหน้าที่ยุ่งเหยิง ทนเห็นภาพเช่นนี้ไม่ได้
และในตอนนี้เอง เสียงหัวเราะที่แจ่มใสก็ดังขึ้นมา
“สิ่งใดที่เรียกว่าทุกข์ทรมานกัน? จวิ้นอ๋องแห่งเทียนหย่งตัวน้อยอย่างเจ้า ริอาจกำเริบเสิบสานเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
จากนั้น ก็มีเงาของคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอกตำหนักใหญ่
ผู้ที่นำมาคนแรกมีหน้าตาหล่อเหลาและมีบุคลิกที่มีเสน่ห์ แท้จริงแล้วคือราชาสะกดขุนเขามู่ซี!
เมื่อเห็นเขาปรากฏตัวออกมา เซี่ยโหวหลิน เล่อชิง เพ่ยเหวินซานและคนอื่น ๆ ก็ตกใจ พลันขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
ส่วนกลุ่มผู้มีอำนาจที่อยู่ที่นี่ต่างก็สูดไอเย็นเข้าไป และมิอาจสงบลงได้
ใครจะไม่รู้กันว่า คนผู้นี้คือราชาต่างสกุลที่อายุน้อยที่สุดแห่งต้าโจว
และในตอนนี้ การมาของมู่ซี ก็ชัดเจนว่ามาเพื่อหนุนหลังซูอี้!
“นี่เป็นครั้งแรกของข้าที่ได้เห็นภาพที่น่าขบขันเช่นนี้ แค่ชายแก่กลุ่มหนึ่ง กลับบีบบังคับคุณชายซูก้มหัวอย่างไม่ละอายใจ ช่างน่าขันยิ่งนัก”
ด้านข้างมู่ซี รองเจ้าตำหนักซิงหยาผูอี้ยิ้มเย็นออกมาพลางเอ่ยขึ้น
เมื่อจำฐานะเขาได้ ผู้คนที่อยู่ที่แห่งนี้ก็ยิ่งมิอาจสงบลงได้ ตำหนักซิงหยาก็ตั้งใจเข้าร่วมและยืนอยู่ข้างซูอี้รึ?
“หากคิดต่อสู้กับคุณชายซูอย่างสง่าผ่าเผย ก็นับเป็นการเปิดเผยและโปร่งใส ทว่ายามนี้ ด้วยอำนาจของตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิง กลับทำเรื่องที่เลวทรามเช่นนี้ มิกลัวถูกผู้คนในใต้หล้านี้หัวเราะเยาะรึ?”
อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสใหญ่ตำหนักคงต้ง เจียงถานอวิ๋นก็ส่งเสียงเย็นชาออกมา
และข้าง ๆ เขายังมีหลูฉางเฟิง
เมื่อเห็นภาพนี้ เซี่ยโหวหลินและคนอื่น ๆ จึงอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้ามืดครึ้มลง ส่วนพวกเหล่าคนใหญ่คนโตที่อยู่ที่นี่ ก็เบิกตากว้างอย่างพูดไม่ออก
รู้ดีว่าตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงกำลังทำเรื่องบางอย่างอยู่ ทว่าใครจะกล้าคิดว่า ราชาสะกดขุนเขาจะพาบุคคลที่มีชื่อเสียงแห่งตำหนักซิงหยาและตำหนักคงต้งมาด้วยกัน และแสดงออกอย่างชัดเจนว่ามาเพื่อหนุนหลังซูอี้?
ฟู่ซาน เนี่ยเป่ยหู่ แม่เฒ่าเหวินและคนอื่น ๆ ก็นิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น นี่… นี่มันคือสถานการณ์อะไรกัน?