บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 256 เขียนจดหมายให้ซูหงหลี่
ตอนที่ 256: เขียนจดหมายให้ซูหงหลี่
ตอนที่ 256: เขียนจดหมายให้ซูหงหลี่
ก่อนที่จะเกิดการต่อสู้ขึ้น หากซูอี้เอ่ยประโยคนี้ไป จะต้องถูกเซี่ยโหวหลินและคนอื่น ๆ มองเป็นเรื่องตลกและหัวเราะเยาะแน่
ทว่ายามนี้ หลังจากที่ได้เห็นพลังของซูอี้แล้ว ใครจะยังกล้าไม่สนใจคำพูดของซูอี้กัน?
ความจริง คำพูดนี้ของซูอี้มีความหมายเรียบง่ายมาก หากไม่ปล่อยคนไป… เช่นนั้นข้ารับรองว่าไม่ใช่เพียงเจ้าผู้เดียวที่ตาย ทั้งตระกูล แต่เจ้าต้องตายด้วย!
นี่คือการข่มขู่
แต่ใครจะกล้าเมินเฉยกัน?
ด้วยพลังของซูอี้ หนึ่งดาบสามารถสังหารบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ หนึ่งหมัดสามารถปราบปรามบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ เมื่อมองทั้งโลกหล้าในต้าโจว ก็เท่ากับว่าเขายืนอยู่บนยอดสูงสุดของผู้ฝึกตนบำเพ็ญแล้ว!
นอกเสียจากว่าเทพเซียนเดินดินจะลงมือเอง ไม่เช่นนั้น เกรงว่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ท่านอื่นคงยากที่จะต้านซูอี้ไว้ได้
คนเช่นนี้ ในเมื่อกล้าที่จะใช้อำนาจบังคับ ก็กล้าที่จะทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน!
แม้เซี่ยโหวหลินและคนอื่น ๆ จะเป็นคนของตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง ทว่าแต่ละคนต่างก็มีสหายสนิทของตัวเอง หากถูกซูอี้ตั้งใจแก้แค้น…
ผลลัพธ์ที่ตามมาจะต้องเลวร้ายจนมิอาจคิดได้แน่!
“คุณชายสาม พวกเราปล่อยคนไปได้ ทว่าจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจ เหตุใดท่านถึงยืนกรานที่จะไม่ก้มหัว? นายท่านคือบิดาผู้ให้กำเนิดท่านนะ”
น้ำเสียงเซี่ยโหวหลินอ่อนลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่แยแส “เหตุใดพวกเจ้าไม่ถามว่าในอดีต ซูหงหลี่ปฏิบัติต่อมารดาข้าอย่างไร และปฏิบัติต่อข้าอย่างไร?”
เซี่ยโหวหลินและคนอื่น ๆ ต่างก็เงียบงันไป
“ยามนี้ ข้ามีกำลังพอที่จะสังหารพวกเจ้าได้ ทว่ากลับมาถามข้าเหตุใดถึงไม่ก้มหัว ไม่รู้สึกว่ามันตลกไปหน่อยรึ?”
ซูอี้เอ่ยอย่างเฉยเมย “แน่นอนว่า ในสายตาพวกเจ้า ไม่ว่าซูหงหลี่จะทำสิ่งใดล้วนถูกไปเสียหมด และข้าที่ถูกเขาประณามว่าเป็นลูกทรพี ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ก็ผิดไปเสียหมด ดังนั้นคุยเรื่องเหล่านี้กับพวกเจ้า ช่างไม่มีความหมายจริง ๆ”
เซี่ยโหวหลินและคนอื่น ๆ ยิ่งเงียบขึ้นไปอีก
ซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงธรรมดา “ข้าหมดคำจะพูดแล้ว รีบลงมือเถอะ ข้าไม่อยากเสียเวลาไปกับพวกเจ้า”
เซี่ยโหวหลินถอนหายใจออกมา พลันส่งสายตาไปทางเพ่ยเหวินซาน “ปล่อยตัวพวกเขาไป”
เพ่ยเหวินซานหยิบกระบอกทรงกลมที่ทำจากทองสัมฤทธิ์ออกมาจากแขนเสื้อ และใช้มือดึงกลไกด้านข้างของกระบอกทรงกลมนั้น
ปัง!
ดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นไปในอากาศ ระเบิดเป็นประกายระยิบระยับบนท้องฟ้าสูงหนึ่งร้อยจั้ง
เพ่ยเหวินซานเอ่ยเสียงต่ำ “เมื่อเห็นดอกไม้ไฟนี้ คนที่ถูกควบคุมไว้ ก็จะถูกปล่อยไป”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ย “แต่ตำหนักเทียนหยวนห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล คนของตำหนักสุ่ยเยว่และตำหนักจี้เซี่ย คงมิอาจเห็นดอกไม้ไฟนี้ได้ ข้าสามารถส่งคนไปที่นั่นและให้พวกเขาถอนตัวออกไปได้”
ซูอี้พยักหน้า “ในพวกเจ้าใครมีกระดาษจดหมายบ้าง?”
“คุณชายซู ข้ามี”
เจียงถานอวิ๋นที่อยู่ไม่ไกลรีบเอ่ยขึ้น ขณะที่เอ่ยนั้น เขาได้เดินขึ้นมาข้างหน้าทันที และนำกระดาษจดหมายออกมา ก่อนจะยื่นออกไป
“เจ้ายังพกของเหล่านี้ติดตัวอยู่อีกรึ?”
ซูอี้เอ่ยอย่างแปลกใจ
เจียงถานอวิ๋นอึดอัดใจเล็กน้อยพลางเกาศีรษะ “ไม่ปิดบังคุณชาย ในตอนที่อารมณ์ไม่ดี เจียงผู้นี้ชอบวาดรูป เพื่อแสดงอารมณ์ภายในออกมา”
ซูอี้เหลือบมองเขาด้วยความแปลกใจ “นี่เป็นความเคยชินที่ดีในการบ่มเพาะจิตใจ ตอนที่ข้าอารมณ์ไม่ดี ข้าก็ชอบเขียนหนังสือ”
ขณะเอ่ยอยู่ เขาก็นำกระดาษจดหมายวางอยู่ด้านหน้าเล่อชิง “ช่วยข้าเขียนจดหมายให้ซูหงหลี่ที”
ครั้นเจียงถานอวิ๋นเห็นเช่นนี้ เขาก็หมุนตัวเดินออกไปอย่างรู้งาน
เล่อชิงหยิบพู่กันขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ เริ่มเขียนจดหมาย แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีน้ำหมึก เขาก็ลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นใช้ปลายแหลมของพู่กันจุ่มเลือดบนร่างตัวเอง
ซูอี้คิดครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “วันที่สี่ต้นเดือนสี่ ข้าจะออกเดินทางไปมหานครหลวงอวี้จิง”
“ข้าให้เวลาตระกูลซูเตรียมตัวหนึ่งเดือน ก่อนวันที่สี่ต้นเดือนห้า ระหว่างนั้นสามารถใช้กำลังทั้งหมดมาจัดการข้าได้”
“เช้าตรู่ในวันที่สี่ต้นเดือนห้า ข้าจะไปเอาของเซ่นไหว้ที่ตระกูลซูด้วยตัวเอง เพื่อปัดกวาดหลุมศพมารดาข้าในวันที่ห้าต้นเดือนห้า”
เล่อชิงร่างแข็งทื่อ มือไม้สั่น เอ่ยอย่างลังเล “คุณชายสาม ท่านแน่ใจว่าจะให้นายท่านเห็นข้อความนี้?”
ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา “เขียน”
เล่อชิงสูดหายใจเข้าลึก และเขียนลงไป คำสีแดงแต่ละตัวปรากฏอยู่บนกระดาษขาวราวหิมะ เป็นภาพที่น่ากลัวมาก
ซูอี้หยิบกระดาษแผ่นนี้ขึ้นมาดู จากนั้นก็ม้วนเก็บ โยนไปให้เชินจิ่วซงที่อยู่ไม่ไกล “เดี๋ยวช่วยข้าหาคนส่งจดหมาย และส่งไปตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง”
เชินจิ่วซงรับคำสั่งด้วยความเคารพ
สายตาซูอี้มองไปทางเล่อชิงอีกครั้ง “เมื่อวานการแสดงของเจ้าในเรือนพำนักหินศิลาน่าสนใจมาก หากยามนี้เจ้าแสดงการกระทำอย่างเมื่อวานออกมา ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ว่าอย่างไร?”
เล่อชิงนิ่งไปครู่หนึ่ง พลันใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย เอ่ยเสียงลอดไรฟัน “คุณชายสาม ทำเกินไปแล้ว เหตุใดถึงต้องทำให้ข้าอับอายเช่นนี้?”
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่แยแส “คนที่ชอบทำให้ผู้อื่นขายหน้า ย่อมถูกผู้อื่นทำให้ขายหน้าเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเจ้าชอบขายที่ดิน ชอบทิ้งทองไว้บนพื้น ชอบแสร้งทำเป็นหวาดกลัวและสร้างความสุขให้ตัวเอง จากนั้นก็หัวเราะอย่างมีความสุขรึ? ข้าช่วยเจ้าแล้ว และยังให้โอกาสเจ้ามีชีวิตอยู่ มีสิ่งใดที่ไม่เหมาะสมกัน?”
เล่อชิงใบหน้าแดงก่ำ อับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก
“ไม่สนุก ไม่สนุกเลยจริง ๆ”
ซูอี้ถอนหายใจออกมา และสะบัดมือเบา ๆ
ฟึบ!
หัวเล่อชิงตกลงสู่พื้น ใบหน้าก่อนตายเต็มไปด้วยความอับอายยิ่ง…
“พวกเจ้ามีสิ่งใดจะเอ่ยอีกหรือไม่?”
สายตาซูอี้มองไปทางเซี่ยโหวหลินและเพ่ยเหวินซาน
“คุณชายสาม ข้ารอคอยวันที่ท่านได้พบกับนายท่านนัก หากสามารถเห็นท่านถูกนายท่านฆ่าตาย ก็จะยิ่งดีมาก…”
เซี่ยโหวหลินเอ่ยพึมพำ
“ช่างน่าเสียดายที่เจ้าจะไม่ได้เห็น”
ซูอี้ถอนหายใจออกมาเบา ๆ พลางสะบัดมือออกไป หัวของเซี่ยโหวหลินก็กลิ้งตกลงมา
ภาพการเข่นฆ่านี้ ราวกับไปกระตุ้นเพ่ยเหวินซาน พลันใบหน้าเขาเกิดความลังเล และเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“คุณชายสาม แม้ท่านจะไม่กลัวการข่มขู่ ทว่าก่อนตาย ข้าอยากจะกล่าวประโยคหนึ่ง หากเป็นศัตรูกับตระกูลซู ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับทั้งต้าโจว ผลที่ตามมาเช่นนี้ ท่านควรจะคิดให้ดี”
ซูอี้หลุดหัวเราะก่อนเอ่ย “ในเมื่อเจ้ามีความจริงใจเช่นนี้ เช่นนั้นก่อนเจ้าตาย ข้าจะไม่ขัดที่จะบอกเจ้า อย่าว่าแต่ต้าโจวเลย ต่อให้เป็นศัตรูกับทั้งมหาทวีปคังชิง ตัวข้าก็ไม่มีทางทุกข์ระทมหรอก”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็สะบัดมือออกไป
ฟึบ!
หัวของเพ่ยเหวินซานกลิ้งตกลงมา
ยามนี้ จวิ้นอ๋องต่างสกุลสองคนกับราชาต่างสกุลหนึ่งคนของตระกูลซู ต่างก็ถูกสังหารอยู่ที่นี่!
เมื่อเห็นภาพนี้กับตา มู่ซีและคนอื่น ๆ ต่างก็เงียบไป
ทุกคนต่างตระหนักได้ การตายของเซี่ยโหวหลินและคนอื่น ๆ เท่ากับว่าซูอี้ได้แตกหักกับตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงแล้ว!
เมื่อบรรดาคนใหญ่คนโตตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงถูกยั่วยุให้โมโห ผลลัพธ์ที่ตามมานั้นหนักหนามาก เมื่อคิดดูแล้วก็ทำให้ทุกคนต่างตื่นตระหนก
ทว่าสำหรับเรื่องนี้ ซูอี้กลับดูเหมือนไม่เป็นอะไร เขาลุกขึ้นเดินไปเก็บเก้าอี้หวาย
ชายหนุ่มเดินมาหาพวกแม่เฒ่าเหวินก่อน และเอ่ยว่า “ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว หากพวกเจ้ายังกังวลที่จะถูกดึงเข้ามาพัวพันอีก ก็ไปพักที่ตำหนักเทียนหยวนก่อนสักระยะ รอหลังจากวันที่ห้าต้นเดือนห้าผ่านไปเมื่อใด ภายในอาณาเขตต้าโจวนี้ คงจะไม่มีผู้ใดไปรบกวนพวกเจ้าอีก”
ท่านแม่เฒ่ามีสีหน้ายุ่งยาก “คุณชายสาม ท่านจะเปิดฉากต่อสู้กับตระกูลซูจริง ๆ รึ?”
“นี่ไม่เรียกว่าเปิดฉากการต่อสู้แล้วรึ?”
ซูอี้เอ่ย
ท่านแม่เฒ่าเงียบไปทันที
ซูอี้ไม่เอ่ยสิ่งใดอีก หากไม่เห็นแก่หน้าเหวินหลิงเสวี่ย เขาคงคร้านที่จะเอ่ยคำพูดเมื่อครู่
เขาหมุนตัวมองไปทางมู่ซีและคนอื่น ๆ ที่อยู่ไกล
“ทุกท่าน เรื่องเก็บกวาดต่าง ๆ คงต้องรบกวนพวกท่านแล้วล่ะ”
ขณะที่เอ่ยอยู่ ซูอี้ก็เอามือไพล่หลังอย่างรู้สึกเบื่อหน่าย
ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมา เขาก็เดินออกไปไกล
ชายชุดคลุมสีเขียวเดินห่างออกไปเรื่อย ๆ และไม่นานก็หายลับไปในแสงแดดที่สดใสและอ่อนโยน
ตั้งแต่เริ่มจนจบ เขาไม่เหลือบมองฟู่ซาน และเนี่ยเป่ยหู่อีกเลย
“ข้า…ข้าทำพลาดไปแล้วจริง ๆ รึ?”
ฟู่ซานทำปากขมุบขมิบ พึมพำด้วยความรู้สึกขมขื่น ประหนึ่งตัวเองแก่ลงไปมาก
“ตระกูลซูแข็งแกร่งมากก็จริง ทว่าเจ้าก็มิควรช่วยตระกูลซูโน้มน้าวให้คุณชายซูก้มหัว แม้นี่จะไม่เป็นการทรยศ แต่ก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก”
เฉินเจิ้งที่อยู่ไม่ไกลเดินเข้ามา แววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา “แต่ ในเมื่อคุณชายซูไม่ได้เอาความกับพวกเจ้า ข้าก็จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบาก รีบกลับไปเถอะ”
ฟู่ซานนิ่งไปครู่หนึ่ง พลันรู้สึกห่อเหี่ยวลงทันที
นึกกลับไปตอนที่อยู่เมืองกว่างหลิง เขายังเคารพและดีต่อซูอี้มาก ความสัมพันธ์ในตอนนั้นปรองดองกันยิ่ง
ทว่ายามนี้ เพียงเพราะปัญหาจุดยืนนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ถูกตัดขาดลง!
“ก่อนหน้านี้ ข้าจะนึกได้อย่างไร คุณชายซูที่เพิ่งออกจากเมืองกว่างหลิงไปเดือนกว่า จะมีความสามารถในการฆ่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้…”
ฟู่ซานตื่นตระหนก เดินซวนเซออกไป
เขารู้ ทั้งชีวิตนี้ คงมิอาจผูกมิตรภาพกับซูอี้ได้อีก
“เจ้ายืนอึ้งอะไร ยังไม่รีบกลับไปอีก?”
เฉินเจิ้งมองไปทางเนี่ยเป่ยหู่ รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
เนี่ยเป่ยหู่สะดุ้งตกใจ เขามีสีหน้าปั้นยาก เป็นเวลานานถึงได้เอ่ยเสียงต่ำขึ้น “จวิ้นอ๋อง ข้า… ข้าสามารถฝากท่านไปบอกคุณชายซูประโยคหนึ่งได้หรือไม่?”
เฉินเจิ้งขมวดคิ้ว สุดท้ายเขากลั้นความรู้สึกที่จะปฏิเสธเอาไว้ พลางเอ่ยขึ้น “เจ้าว่ามา”
“เรื่องในวันนี้ ข้าเนี่ยเป่ยหู่ขอโทษคุณชายซูด้วย แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับลูกชายข้าเนี่ยเถิง ข้าเพียงหวังว่า… หวังว่าคุณชายซูจะไม่ตำหนิลูกชายข้าเพราะเรื่องนี้…”
เนี่ยเป่ยหู่รู้สึกหดหู่ ประหนึ่งกำลังไว้ทุกข์
เฉินเจิ้งโบกมือ “รีบกลับไปเถอะ”
เนี่ยเป่ยหู่ถอนหายใจยาว หมุนตัวเดินออกไป เพียงแต่ร่างเขากลับดูเปล่าเปลี่ยวและอ้างว้าง
ไม่นาน แม่เฒ่าเหวินและคนอื่น ๆ ก็กลับไป
เฉินเจิ้งกวาดสายตามองเหล่าพลทหารภายใต้บังคับบัญชาจวนเจ้าแคว้นที่อยู่ไกล ๆ พลางขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
เขาเดินไปถึงด้านหน้ามู่ซี เชินจิ่วซง เจียงถานอวิ๋นและคนอื่น ๆ
“เรื่องในวันนี้ คงมิอาจปกปิดไว้ได้ เมื่อข่าวแพร่ไปถึงหูตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง และข้อเท็จจริงที่พวกเราเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย จะต้องถูกซูหงหลี่รู้เข้าแน่ ทุกท่าน… เสียใจหรือไม่?”
มู่ซีหัวเราะเยาะออกมา “จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เจ้ามิต้องหยั่งเชิงเรื่องเหล่านี้หรอก ในเมื่อข้ามู่ผู้นี้มาแล้ว ก็ทราบผลที่ตามมาจากการกระทำเช่นนี้ดี จะว่าไป เจ้ายังคิดว่าข้าเกรงกลัวตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงอยู่อีกรึ?”
ในน้ำเสียงเย็นชานั้นเต็มไปด้วยความโอหัง
“ขออภัย เฉินผู้นี้ล่วงเกินท่านอ๋องแล้ว”
เฉินเจิ้งคำนับ
เชินจิ่วซงเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงมิต้องกังวลสิ่งใด เชินผู้นี้ไม่เหมือนกับฟู่ซานและเนี่ยเป่ยหู่ ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่เจอในวันนี้ ข้าจะไม่เข้าใจการปฏิบัติต่อผู้อื่นของคุณชายซูได้อย่างไร? หากเกิดเรื่องขึ้นกับข้า คุณชายซูจะต้องแก้แค้นแทนข้าแน่! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะกลัวสิ่งใดอีก?”
“จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าคิดว่าข้ายังมีโอกาสเสียใจอยู่อีกรึ?”
ผูอี้ยิ้มออกมา
เจียงถานอวิ๋นและหลูฉางเฟิงเหลือบมองหน้ากัน ต่างยิ้มออกมา
ก่อนที่จะมามหานครกุ่นโจว มู่ซีเคยพูดถึงผลที่ตามมาจากการทำเช่นนี้กับพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาก็ยังมา
และยามนี้ จะมาเสียใจทีหลังได้อย่างไร?
สำหรับบุคคลเช่นพวกเขา เมื่อได้เลือก ได้ตัดสินใจแล้ว ก็หมายความว่าได้ผ่านการคิดอย่างถี่ถ้วน เมื่อเข้าใจผลที่จะต้องเผชิญจากการกระทำนี้ พวกเขาจะไม่กลับคำไปมาแน่
นี่ก็เหมือนเป็นการเล่นหมากรุก ที่เมื่อเดินแล้วก็มิอาจหวนกลับได้!