บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 257 ยืมหัวคน
ตอนที่ 257: ยืมหัวคน
ตอนที่ 257: ยืมหัวคน
เมื่อผ่านเรื่องในวันนี้ ทำให้ทุกคนล้วนตัดสินใจ
ไม่ว่าตำแหน่งและฐานะของเจ้าจะสูงหรือต่ำ เบื้องหลังจะใหญ่หรือเล็ก หากได้รับการยอมรับจากคุณชายซู เขาก็จะให้การช่วยเหลือ!
และไม่รังเกียจที่จะหันคมดาบไปหาเหล่าคนใหญ่คนโตจากตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง!
อาศัยในจุดนี้ ก็ทำให้เชินจิ่วซง เฉินเจิ้งและคนอื่น ๆ ไม่เสียใจต่อการยืนอยู่ฝั่งเดียวกับซูอี้แล้ว
แท้ที่จริง… การเผชิญหน้ากับการข่มขู่ของตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง ใครจะอยากรับความเสี่ยงนี้ จนขนาดทำให้สหายของตนได้รับหายนะด้วย
ทว่าตราบใดที่ซูอี้ไม่ล้มลง ความเสี่ยงทั้งหมดก็จะถูกกำจัดไป!
“พวกเจ้าว่า เหตุใดคุณชายซูถึงตัดสินใจเดินทางไปมหานครหลวงอวี้จิงในวันที่สี่ต้นเดือนสี่ และยังให้เวลาตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงได้เตรียมตัวหนึ่งเดือนอีก?”
เจียงถานอวิ๋นเอ่ยอย่างไตร่ตรอง
เฉินเจิ้งหัวเราะขึ้นมา และเอ่ยอย่างลึกซึ้ง “กำลังของตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงใหญ่เกินไป กองกำลังใต้บังคับบัญชาของคนในตระกูลมีทั่วทั้งต้าโจว หากข้าเดาไม่ผิด การกระทำครั้งนี้ของคุณชายซู ต้องการนำกำลังของตระกูลทั้งหมดมารวมกันภายในมหานครหลวงอวี้จิง และกวาดให้ราบเรียบทั้งหมดในคราวเดียว”
เจียงถานอวิ๋นตกใจ สูดหายใจเข้าถี่ลึกอย่างไม่รู้ตัว “แต่ทำเช่นนี้ จะไม่ยิ่งอันตรายหรอกรึ? นั่นเป็นมหานครหลวงอวี้จิง เมืองของจักรพรรดิแห่งต้าโจวเชียวนะ! ด้วยอำนาจของตระกูลซู ต่อให้ซูหงหลี่จะไม่ออกหน้ามาเอง แต่ก็สามารถโยกย้ายกำลังแต่ละที่ไปจัดการกับคุณชายซูได้”
“หากต้องการประสบความสำเร็จ จะต้องทำเรื่องที่ไม่ธรรมดา”
สายตาของมู่ซีลุ่มลึก พลางเอ่ยอย่างโหยหา “ข้ารอคอยยิ่งนัก ว่าหลังจากที่คุณชายซูไปถึงมหานครหลวงอวี้จิง จะโหมพัดพายุคลื่นอย่างไร!”
จากนั้น ทุกคนก็เริ่มเคลื่อนไหว ช่วยซูอี้เก็บกวาดให้สะอาด
…..
ตำหนักเทียนหยวน
ณ ตำหนักซงเฮ่อ
หนิงซือฮวานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง นางดื่มชาไปด้วยพลางมองทะเลเมฆที่อยู่ไกลตำหนักใหญ่ไปด้วย
นางสวมชุดกระโปรงลายเมฆสีขาว หน้าตาอ่อนเยาว์ ผมมัดขึ้นสูง นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างผ่อนคลาย เงียบสงบดั่งต้นไผ่ สง่างามดั่งกล้วยไม้
ภายในตำหนักใหญ่ ยังมีเถาเจิ้ง รองเจ้าตำหนักจี้เซี่ยและโม่ฮวาเชวีย รองเจ้าตำหนักสุ่ยเยว่นั่งอยู่
“เจ้าตำหนักหนิงเรียกพวกเราทั้งสองมาพบในเช้าตรู่วันนี้ มิใช่เพียงเพื่อดื่มชาอย่างเดียวใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นหนิงซือฮวาเงียบไปนาน เถาเจิ้งจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
เขาแต่งกายเรียบง่าย หน้าตาอ่อนโยน ดูเหมือนกับชายชรา ทว่าจิตใจนั้นกลับแข็งแกร่งมาก
หนิงซือฮวาละสายตาที่มองออกไปไกลและหันกลับมา “หากข้าไม่อยู่ที่นี่ ในใจของท่านทั้งสองคงจะไม่สงบลงสินะ”
เถาเจิ้งและโม่ฮวาเชวียเหลือบมองหน้ากัน และต่างก็เงียบไปครู่หนึ่ง
ไม่นาน เถาเจิ้งเอ่ยถามหยั่งเชิง “เช้าตรู่วันนี้ ซูอี้คุณชายสามแห่งตระกูลซูได้เดินทางไปจวนเจ้าแคว้น ดูเหมือนเจ้าตำหนักหนิงจะไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย?”
หนิงซือฮวาถามกลับ “มีสิ่งใดให้ต้องกังวล?”
เถาเจิ้งพูดไม่ออก ยามนี้ไม่รู้ว่าควรถามสิ่งใดถึงจะดี
ทว่าโม่ฮวาเชวียกลับหลุดหัวเราะออกมา “พี่เถา ท่านยังมองไม่ออกรึ ที่เจ้าตำหนักหนิงทำเช่นนี้ ก็แสดงว่า นางตั้งใจจะไม่เข้าร่วมกับเรื่องวุ่นวายในตระกูลซูครั้งนี้ นี่คือวิธีที่ฉลาดที่สุด หากเป็นข้า คงจะขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับซูอี้ไปนานแล้ว”
เขามีใบหน้าราวกับหยก สวมชุดสีเงิน ดูสง่างาม
ในฐานะเป็นรองเจ้าตำหนักสุ่ยเยว่ แม้จะดูเหมือนเขาอายุยังน้อย แต่จริง ๆ แล้วคือปรมาจารย์ขั้นสี่ที่แข็งแกร่งผู้หนึ่ง
ไม่ว่าจะฐานะ หรืออำนาจ ต่างก็ไม่อยู่ภายใต้รองเจ้าตำหนักจี้เซี่ยอย่างเถาเจิ้ง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หนิงซือฮวาก็มองไปที่โม่ฮวาเชวีย เอ่ยว่า “ใครบอกว่าข้าจะขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์กับซูอี้?”
โม่ฮวาเชวียนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “หรือว่าไม่ใช่?”
ท่าทีของหนิงซือฮวาในยามนี้แปลกมาก ทำให้เขาและเถาเจิ้งรู้สึกว่าไม่ปกติเล็กน้อย
แต่หนิงซือฮวากลับเพียงยิ้มออกมาเล็กน้อย “แน่นอนว่าไม่ใช่ เชิญทั้งสองดื่มชา เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสน้ำชาแล้ว”
“เจ้าตำหนักหนิงกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
เถาเจิ้งขมวดคิ้ว
หนิงซือฮวาวางถ้วยชาลง เอ่ยอย่างเฉยเมย “จุดประสงค์ที่พวกเจ้ามาในครั้งนี้ ทุกคนต่างรู้อยู่แก่ใจดี แต่ในความคิดข้า การต่อสู้ในครานี้ กองกำลังที่ตระกูลซูส่งออกไป จักต้องพ่ายแพ้ย่อยยับแน่”
เถาเจิ้งและโม่ฮวาเชวียเหลือบมองหน้ากัน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะออกมาอย่างไม่เชื่อ
“เจ้าตำหนักหนิง หรือเจ้าคิดว่า เจ้าเด็กอย่างซูอี้จะสามารถทนแรงกดขี่จากกำลังของตระกูลซูได้?”
โม่ฮวาเชวียเอ่ยด้วยความขบขัน
หนิงซือฮวาเอ่ย “ไม่ใช่คำถามว่าจะทนรับได้หรือไม่ เมื่อไปแตะเกล็ดย้อนใต้คอมังกร ก็จะต้องตาย และครั้งนี้ตระกูลซูได้ทำพลาด ไม่แปลกใจเท่าใดนัก กองกำลังที่ตระกูลซูส่งออกมาในครานี้จะถูกสังหาร ส่วนพวกเจ้าทั้งสอง ก็คงจะต้องชดใช้ในการกระทำครั้งนี้ ”
เถาเจิ้งและโม่ฮวาเชวียหัวเราะขึ้นมา ไม่สนใจต่อคำพูดนี้
หากตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงลงมือ ภายในอาณาเขตต้าโจวนี้ จะมีผู้ใดสามารถต้านทานได้?
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกำลังสังหารของซูอี้ นั่นเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น!
หนิงซือฮวาชำเลืองมองทั้งสอง และไม่เอ่ยสิ่งใดอีก
ไม่นาน ผู้อาวุโสสูงสุดของตำหนักเทียนหยวน ซ่างเจินก็เดินเข้ามา เอ่ยรายงาน “เจ้าตำหนัก คนของจวิ้นอ๋องแห่งเทียนหย่งเล่อชิงมีเรื่องเร่งด่วนมารายงาน บอกว่าอยากพบเถาเจิ้งและโม่ฮวาเชวียทั้งสองท่าน”
“จะต้องมาบอกข่าวดีเป็นแน่”
พลันโม่ฮวาเชวียหลุดหัวเราะทันที
ทว่าเถาเจิ้งกลับตกใจ และรู้สึกแปลกเล็กน้อย
หนิงซือฮวาเอ่ย “ให้เขาเข้ามา”
ไม่นาน ชายที่ดูฉลาดก็รีบเดินเข้ามาในตำหนัก สีหน้าที่ตื่นตกใจมองไปทางเถาเจิ้งและโม่ฮวาเชวียพลางคำนับ
“นายท่านทั้งสอง เชิญรีบนำคนออกไปจากตำหนักเทียนหยวนเร็ว!”
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของโม่ฮวาเชวียพลันหยุดชะงัก พลางขมวดคิ้ว “เพราะเหตุใดกัน?”
ชายที่ดูฉลาดเอ่ยด้วยความขื่นขม “เมื่อครู่นี้ ซูอี้ที่อยู่ในจวนเจ้าแคว้นได้เปิดฉากต่อสู้ขึ้น…”
น้ำเสียงเขาเจือไปด้วยความหวาดกลัว เล่าเรื่องเซี่ยโหวหลิน เล่อชิง และเพ่ยเหวินซานที่ถูกซูอี้สังหารออกไป
เพล้ง!
เมื่อฟังจบ ถ้วยชาในมือโม่ฮวาเชวียพลันแตก เขานิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น เกิดความตื่นตระหนก
สีหน้าเถาเจิ้งเปลี่ยนไปสุดขีด รีบลุกขึ้นอย่างลนลาน พลางเอ่ยเสียงต่ำ “กลับ กลับเร็ว!”
เขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
เป็นในตอนนี้เอง หนิงซือฮวาก็ลุกขึ้น เอ่ยด้วยสายตาเย็นชา “เมื่อครู่ข้าบอกไปแล้ว พวกเจ้าทั้งสองต้องได้ชดใช้ ทว่าดูเหมือนพวกเจ้าจะไม่เชื่อ แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว”
เถาเจิ้งสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง พลางเอ่ยด้วยความสงสัย “เจ้าตำหนักหนิง ท่านจะทำสิ่งใด?”
หนิงซือฮวายิ้มออกมาเล็กน้อย เอ่ยกระซิบ “ขอยืมหัวพวกเจ้าทั้งสองไปใช้หน่อย”
เถาเจิ้งและโม่ฮวาเชวียล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไป
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง
หนิงซือฮวาเดินออกมาจากตำหนักซงเฮ่อ ด้านหลังนาง มีซ่างเจิน ผู้อาวุโสสูงสุดตำหนักเทียนหยวนถือแผ่นไม้ไว้ในมือ
บนแผ่นไม้นั้นมีหัวที่ชโลมไปด้วยเลือดอยู่สองหัว สองหัวนั้นเบิกตาด้วยความโมโห เจือไปด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าตำหนัก หลังจากท่านทำเช่นนี้ ก็เท่ากับว่ารอวันแตกหักกับตำหนักจี้เซี่ยและตำหนักสุ่ยเยว่ทั้งสองอำนาจใหญ่แล้ว”
ซ่างเจินอดไม่ได้ที่จะเอ่ย
“สหายเต๋าซูกล้าเปิดฉากต่อสู้กับตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิง แล้วเหตุใดข้าจะมิกล้าแตกหักกับทั้งสองตำหนัก?”
หนิงซือฮวาไม่แม้แต่หันกลับไปมอง เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “กล่าวตามจริงแล้ว พวกเขามิควรเข้ามาร่วมมือด้วย และยิ่งมิควรมาสยบตำหนักเทียนหยวนข้า เมื่อทำเรื่องที่พลาดไปแล้ว ก็ต้องชดใช้ในสิ่งที่ทำ ไม่ถูกรึ?”
ซ่างเจินมองหัวทั้งสองที่อยู่บนแผ่นไม้ครู่หนึ่ง และเงียบไปทันที
…..
มหานครกุ่นโจว ตระกูลเจิ้ง
ณ คุกใต้ดิน
ภายในคุก เจิ้งเทียนเหอผมสยาย หน้าตาซีดเซียว
ตั้งแต่ถูกช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตระกูล และถูกคุมขังอยู่ในคุกมืดมิดเปียกชื้น เจิ้งเทียนเหอก็ได้ค่อย ๆ สงบลงจากความโกรธ ความไม่เต็มใจ และความวิตกกังวลในตอนแรกของเขาแล้ว
จากผู้นำตระกูลสูงส่งสู่นักโทษที่รอการพิพากษา การโจมตีนี้มิอาจพูดได้ว่าไม่หนักหน่วง
ทว่าก็ทำให้เจิ้งเทียนเหอเข้าใจเรื่องมากมายได้มากขึ้น
เสียใจหรือไม่?
นี่เป็นคำถามที่เจิ้งเทียนเหอครุ่นคิดมากที่สุด
เขาทบทวนสถานการณ์ก่อนหน้า รายละเอียดทุกอย่าง เรื่องเล็กน้อยทุกเรื่องที่รู้จักกับซูอี้ ทีละเล็กละน้อย
สุดท้าย เจิ้งเทียนเหอก็ได้ข้อสรุปออกมา หากให้โอกาสได้เลือกใหม่อีกครั้ง เขาก็จะทำเช่นนี้
แม้จะไม่มีความกล้าหาญมากมาย แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองคือคนขององค์ชายหก และตราบใดที่คุณชายหกกับซูอี้ร่วมมือกัน เขาเจิ้งเทียนเหอ จะไม่แสดงไมตรีต่อซูอี้ได้อย่างไร
มันเป็นเรื่องของจุดยืนและการเลือกฝั่ง มิใช่เปลี่ยนแปลงเพราะเจตจำนงของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ในงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิม เป็นเพราะซูอี้ลงมือ ถึงได้ทำให้คุณชายหกมีโอกาสชนะได้ และยังทำให้ตระกูลเจิ้งของพวกเขาไม่ได้รับการจู่โจมใด ๆ
“น่าแค้นใจนัก พวกคนในตระกูลสายตาสั้นเหล่านั้นหยิ่งในศักดิ์ศรีเกินไป!”
เจิ้งเทียนเหอแอบถอนหายใจออกมา
ทันใดนั้น ประตูใหญ่คุกใต้ดินก็เปิดออก นำแสงสว่างส่องเข้ามาขจัดความมืดในคุกใต้ดินนี้ไป
“ท่านผู้นำ ชายแก่มาสารภาพผิดกับท่าน!”
ชายชราร่างผอมแห้งผู้หนึ่งเร่งรีบเดินเข้ามา พลันเกิดเสียงร่วงหล่นลงพื้นขึ้น ชายชราทรุดตัวคุกเข่าอยู่ต่อหน้าเจิ้งเทียนเหอ ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอายและไม่สบายใจ
“ท่านลุงสาม?”
เจิ้งเทียนเหอตกใจ แต่ก็เหมือนเข้าใจขึ้นมาได้ทันที นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายเล็กน้อย ในใจที่สะสมความกลัดกลุ้มไว้คล้ายกับถูกปัดเป่าออกไป
“พูดเช่นนี้ แสดงว่าคุณชายซูชนะแล้ว?”เจิ้งเทียนเหอถาม
“ชนะแล้ว! ชนะแล้ว!”
ชายชราพยักหน้ารัว ๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือไปด้วยความวิงวอน “ท่านผู้นำ สถานการณ์ในยามนี้ ต้องการให้ท่านดูแลสถานการณ์โดยรวม เรื่องก่อนหน้านี้ ชายแก่อย่างข้ายินยอมรับโทษ แต่หากตระกูลเจิ้งของพวกเราโกลาหล ผลที่ตามมาก็คงจะร้ายแรง”
เจิ้งเทียนเหอเอ่ยอย่างเฉยเมย “ตระกูลเจิ้งอยู่ภายใต้การบัญชาของท่าน จะโกลาหลได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น เป็นท่านเองที่พาคนมาล้มข้าลงจากตำแหน่งผู้นำตระกูลเมื่อวานนี้ และคนที่นำข้ามาขังคุกอยู่ที่นี่ก็ยังเป็นท่าน แต่ยามนี้คนที่มาคุกเข่าอยู่ที่นี่ก็ยังเป็นท่าน?”
ชายชราถูกเหน็บแนมจนใบหน้าแดงก่ำ พลางเอ่ยด้วยความขมขื่น “ความผิดของข้า ข้าจะรับผิดชอบด้วยตัวเอง ขอเพียงแค่ท่านผู้นำเห็นแก่หน้าเหล่าชายชราในตระกูลเจิ้ง และเห็นแก่ภาพรวมก่อน”
เจิ้งเทียนเหอเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “อยากให้ข้ารักษาภาพรวมก็ได้ แต่ต้องตัดหัวไอ้พวกสารเลวในตระกูลให้หมด ”
ชายชราตกใจ พลางตะโกนออกมา “นี่มัน…. ไร้น้ำใจเกินไปหรือไม่?”
“ไม่มีหัวของพวกเขา ข้าจะไปอธิบายกับคุณชายซูได้อย่างไร? อย่าลืม เป็นพวกเจ้าเองที่ป่าวประกาศออกไปว่าตระกูลเจิ้งจะตัดความสัมพันธ์กับคุณชายซู ยามนี้คุณชายซูชนะแล้ว และพวกเจ้ากังวลว่าจะถูกแก้แค้น ถึงได้นึกถึงข้าขึ้นมา บนโลกนี้จะมีเรื่องที่เอาเปรียบเช่นนี้ได้อย่างไร?”
เจิ้งเทียนเหอเอ่ยอย่างเฉยเมย “แน่นอนว่า ลุงสามท่านจะไม่ตกลงก็ได้”
ชายชราเงียบไปนาน สุดท้ายก็พยักหน้าอย่างยากลำบาก และเอ่ย “อืม”
ในวันเดียวกัน
เกิดภาพเข่นฆ่าภายในตระกูลเจิ้งขึ้น กลุ่มบุคคลที่เคยพยายามแย่งชิงตำแหน่งก่อนหน้านี้ต่างก็ถูกตัดหัว
และหลังจากเจิ้งเทียนเหอที่ถูกคุมขังในคุกใต้ดินหลายวันได้กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำอีกครั้ง ก็ได้นำหัวเหล่านั้นออกไปจากตระกูลเจิ้ง
เขาตัดสินใจไปเยี่ยมเยือนซูอี้
…..
และในวันเดียวกันนั้น ข่าวการเข่นฆ่าที่เกิดในจวนเจ้าแคว้น ก็แพร่กระจายไปทั่วมหานครกุ่นโจวเหมือนกับพายุ ก่อนจะตามมาด้วยความปั่นป่วนโกลาหลครั้งมโหฬาร!