บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 258 พันธมิตร
ตอนที่ 258: พันธมิตร
ตอนที่ 258: พันธมิตร
ในมหานครกุ่นโจว เรื่องที่ตระกูลซูแห่งมหานครหลวงอวี้จิงต้องการจัดการกับซูอี้ไม่เป็นความลับอีกแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังสูงสุดเหล่านั้น หรือเหล่าชนชั้นอื่น ๆ ที่แฝงกายในมหานครกุ่นโจว ล้วนมีความเห็นเดียวกัน
ซูอี้จะต้องถูกกดขี่แน่!
ความจริงก็ชัดเจนแล้ว อย่างแรกเจิ้งเทียนเหอ ผู้นำตระกูลเจิ้งถูกช่วงชิงตำแหน่ง ต่อมามู่จงถิง เจ้าแคว้นคนใหม่ก็ถูกคุมขังไว้
แม้แต่กองกำลังและคนที่มีความเกี่ยวข้องกับซูอี้ ต่างก็ถูกกองกำลังของตระกูลใหญ่โตคุมเอาไว้ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสองวัน
เรื่องเหล่านี้ทำให้ทุกคนแน่ใจ ซูอี้คงมิอาจรอดจากหายนะนี้แน่
ทว่าในสถานการณ์ยามนี้ หลังจากข่าวการต่อสู้ในจวนเจ้าแคว้นแพร่ออกไป ถึงขนาดทำให้ทั้งเมืองเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้อง
ไม่รู้ว่ามีคนตะลึง ตื่นตกใจ และยากที่จะเชื่อไปมากเท่าใด
ชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีผู้หนึ่ง กลับทำลายล้างกำลังของตระกูลซูได้ แม้แต่คนใหญ่คนโตที่ยืนอยู่ข้างตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงครั้งนี้ ก็พ่ายแพ้ย่อยยับไปทั้งหมด!
ใครจะกล้าเชื่อ?
ผู้แข็งแกร่งอย่างราชาคิ้วขาว ราชาปราการเพลิง ต่างก็ล้มตายในการต่อสู้ครั้งนี้!
คนอื่น ๆ อย่างจวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน จวิ้นอ๋องเทียนหย่ง และเหล่าคนใหญ่คนโตในต้าโจวล้วนเป็นศพอยู่ในสนาม!
ไม่แปลกใจเลยที่เรื่องเหล่านี้จะน่าสะพรึงกลัวมาก
เมื่อข่าวนี้กระจายออกไป เหล่ากำลังน้อยใหญ่ภายในมหานครกุ่นโจวต่างก็มึนงง คนทั้งหมดไม่เคยนึกฝันว่าซูอี้จะทำถึงขั้นนี้ได้
และกลุ่มแรกที่โดนโจมตีคือสี่ตระกูลชั้นนำอย่างตระกูลอวี๋ จ้าว ไป๋ และเสวีย
เมื่อเอ่ยแล้วก็น่าขัน ไม่นานมานี้ งานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิมในแคว้นกุ่น ผู้นำตระกูลสี่ตระกูลชั้นนำต่างก็ถูกซูอี้สังหาร เมื่อกลุ่มมังกรไร้หัว ก็พลันเกิดการต่อสู้ภายในตระกูลหนักขึ้น
หลังจากผ่านการขัดแข้งขัดขาเข่นฆ่ามากมายแล้ว ไม่ง่ายนักทั้งสี่ตระกูลชั้นนำก็ได้เลือกผู้นำคนใหม่ออกมา
สุดท้ายวันนี้ผู้นำตระกูลคนใหม่ทั้งสี่กลับถูกซูอี้สังหารอีกครั้งในจวนเจ้าแคว้นแห่งนี้!
สามารถเดาได้เลยว่า สี่ตระกูลชั้นนำจะต้องตกเข้าสู่การขัดแข้งขัดขาต่อสู้ภายในตระกูลอีกครั้ง และไม่รู้จะเกิดการเข่นฆ่าไปมากเท่าใด
สำหรับกองกำลังอื่น การต่อสู้ในจวนเจ้าแคว้นนี้ กลับทำให้พวกเขาตกใจมาก และตระหนักถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา
งานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิมในตอนนั้น เนื่องจากข่าวได้ถูกปิดกั้นไว้ ไม่มีผู้ใดกล้าแน่ใจ คนที่ฆ่าฉินฉางซาน เยว่จางหยวน รวมถึงคนใหญ่คนโตอื่น ๆ คือผู้ใดกันแน่
แม้จะมีหลายเสียงที่สงสัยซูอี้ ทว่าก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันได้
ผนวกกับซูอี้ที่ยังหนุ่มเกินไป เพิ่งมีอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปี และเขาในตอนนั้นก็มีการบำเพ็ญเพียงแค่ขอบเขตรวบรวมลมปราณ
ถึงขนาดที่มีคนมากมายเชื่อมั่นว่า การสังหารในงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิม ไม่ใช่ฝีมือของซูอี้
ทว่ายามนี้ จากการเปิดฉากการต่อสู้ในจวนเจ้าแคว้น และเมื่อข่าวต่าง ๆ ชี้ไปที่ซูอี้เพียงผู้เดียว ถึงทำให้พวกเขาตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่งทันที
ในเมื่อซูอี้สามารถคร่าชีวิตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อย่างราชาคิ้วขาว และราชาปราการเพลิง เหตุใดจะไม่สามารถคร่าชีวิตเหล่าคนใหญ่คนโตในงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิมได้?
เมื่อเดาความจริงออกแล้ว ทั้งแคว้นกุ่นก็ยิ่งสั่นสะเทือน และทำให้ชื่อของซูอี้ดังก้องไปทั่วแคว้น!
หลายเดือนก่อนหน้านี้ ยังเป็นศิษย์ที่ถูกสำนักดาบชิงเหอทอดทิ้ง เป็นลูกเขยที่คนทั้งเมืองกว่างหลิงเยาะเย้ย ทว่าในยามนี้ ชื่อเสียงดังก้องทั้งแคว้นกุ่นดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า!
ซูอี้!
ซูอี้!
ซูอี้!
ในแคว้นกุ่นตอนนี้ ชื่อนี้ก็เหมือนกับเวทมนต์ ถูกพวกผู้ฝึกตนบำเพ็ญเอ่ยถึงไม่น้อย และเกิดการพูดคุยกับความโกลาหลนับไม่ถ้วน
คาดเดาได้เลยว่า ตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ข่าวเช่นนี้จะต้องเผยแพร่ไปทั่ว และผู้ฝึกตนบำเพ็ญภายในอาณาเขตต้าโจวก็จะต้องรู้ไปทั่ว!
ถึงอย่างไร บรรดา ‘เก้าราชาสิบแปดจวิ้นอ๋อง’ ในใต้หล้านี้ มีราชาต่างสกุลสองท่าน จวิ้นอ๋องต่างสกุลสองท่าน ต่างก็สิ้นชีวิตจากการต่อสู้ในจวนเจ้าแคว้นแห่งแคว้นกุ่นนี้
พวกเขาต่างก็…
ถูกซูอี้สังหาร!
เพียงเรื่องนี้ก็ทำให้ทั้งต้าโจวเกิดการสั่นสะเทือน และทำให้เกิดคลื่นพายุขึ้น!
…..
ณ เรือนพำนักหินศิลา
ซูอี้ที่นั่งอยู่ในเก้าอี้หวาย เช็ดดาบสุดแดนดินอย่างระมัดระวัง
แม้ดาบนี้จะไม่ใช่ดาบที่ดีที่สุด ทว่าสำหรับเขา ไม่ว่าจะเป็นชื่อดาบ หรือว่ากระบวนการหลอมสร้าง …ต่างก็มีความหมายที่ไม่ธรรมดา
สุดแดนดินหมายถึงอะไร?
ข้าเข้าสู่โลกมนุษย์ ลับจิตใจให้แหลมคมดั่งคมมีด!
นี่คือคำพรรณนาเกี่ยวกับอุปนิสัยหลังจากความทรงจำชาติก่อนของซูอี้ฟื้นคืน
และเป็นดาบเล่มแรกที่เขาพกติดตัวหลังกลับมาเกิดใหม่ แม้อานุภาพในยามนี้จะไร้ค่า แต่ในใจซูอี้นั้น กลับจดจำตราตรึงเป็นพิเศษ
ชิ้ง!
ไม่นาน ซูอี้ก็ยกดาบสุดแดนดินที่เช็ดจนสะอาดแล้วขึ้น จ้องอยู่นาน จากนั้นถึงได้เก็บเข้าไปในจี้หยกสีดำ
“ท่านอาซูอี้ ท่านดื่มชาก่อน”
ด้านข้าง เจิ้งมู่เหยาส่งน้ำชาที่เพิ่งจะชงเมื่อครู่ให้อย่างน่าเอ็นดู บนใบหน้าเล็กที่งดงามนั้น เต็มไปด้วยความสุข
หลังจากซูอี้กลับมา ก็บอกกับนางว่าเรื่องของตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงได้จัดการเรียบร้อยแล้ว เป็นไปตามที่คาดไว้ ไม่นานบิดานางเจิ้งเทียนเหอก็ถูกปล่อยตัว และได้กลับคืนอำนาจผู้นำตระกูลอีกครั้ง
เรื่องนี้ทำให้เจิ้งมู่เหยาตื่นเต้นจนเกือบจะโบยบินมา และใช้เวลานานถึงได้ค่อย ๆ สงบความรู้สึกลง
ขณะนี้… ท่าทีของนางที่มีต่อซูอี้ ก็เปลี่ยนเป็นชื่นชมและสนิทสนมยิ่ง หากไม่ใช่เพราะขนบธรรมเนียมประเพณีในยุคสมัยนี้ นางคงอดไม่ได้ที่จะกอดซูอี้ไว้และหอมเขา
ท่านอาซูอี้ผู้นี้ ช่างทำให้คนชื่นชอบจริง ๆ!
“ท่านอาซูอี้ ให้ข้านวดไหล่ให้ท่านนะ?”
เมื่อเห็นซูอี้รับถ้วยชาไป เจิ้งมู่เหยาก็เริ่มเว้าวอนอีกครั้ง พลางยื่นนิ้วขาวเรียวออกมา ช่วยนวดไหล่ให้กับซูอี้
แล้วซูอี้จะปฏิเสธได้อย่างไร
แม้ฉาจิ่นจะไม่อยู่ข้างกายชั่วคราว ทว่ามีสาวน้อยที่มีรอยยิ้มดั่งจิ้งจอก ให้ความรู้สึกร้อนแรงเช่นนี้อยู่ข้างกาย ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี
สิ่งที่เรียกว่าสวยจนอยากกลืนกิน เป็นเช่นนี้นี่เอง
ไม่นานกลุ่มของมู่ซี เชินจิ่วซง เฉินเจิ้งก็มาถึงเรือนพำนักหินศิลา และนำหัวที่ชโลมไปด้วยเลือดสามหัวกลับมาด้วย
แบ่งเป็นหัวของเซี่ยโหวหลิน เพ่ยเหวินซาน และเล่อชิง
นอกจากนี้ ยังมีของล้ำค่าที่ได้มาจากเหล่าคนใหญ่คนโตที่ถูกซูอี้สังหาร ซึ่งถูกนำใส่ไว้ภายในกล่องขนาดใหญ่
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยสั่ง “รบกวนช่วยข้านำหัวทั้งสามเผาเป็นเถ้ากระดูก และใส่ไว้ในไหเดียวกัน”
เชินจิ่วซงก็ทำตามคำสั่งทันที
ซูอี้มองไปทางมู่ซีและคนที่เหลือ “ที่พวกเจ้ามาแคว้นกุ่นครานี้ คงมิได้คาดการณ์ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่แรกสินะ?”
มู่ซีเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “ที่พวกข้ามาครานี้ จริง ๆ แล้วไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เพียงแต่มันคือความบังเอิญเท่านั้น”
ซูอี้พยักหน้า “ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ถือว่าพวกเจ้าช่วยข้าซูผู้นี้ น้ำใจนี้ข้าจะจดจำเอาไว้”
มู่ซีส่ายหน้า “คุณชายซูเข้าใจผิดแล้ว ที่มาครานี้เพราะพวกข้ามีเรื่องอย่างอื่น”
ซูอี้เอ่ย “เรื่องอันใด?”
เมื่อสูดหายใจเข้าลึก มู่ซีก็เอ่ยขึ้น “ข้าอยากเป็นพันธมิตรกับคุณชาย หากคุณชายตกลง พวกข้าจะเป็นพี่น้องร่วมทุกข์กับคุณชาย จะก้าวหน้าและถดถอยไปด้วยกัน!”
“ข้าขอหนึ่งเหตุผล”
ซูอี้เอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด
มู่ซีเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยอย่างกล้าหาญ “เพื่อการฝึกฝนบำเพ็ญบนเส้นทางสายนี้ และไม่อยากเอาตัวรอดไปวัน ๆ!”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยด้วยความรู้สึกปลง “หลังจากผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นในหุบเขามารบุปผาโลหิต พวกข้าต่างตระหนักได้ว่า หลังจากนี้มหาทวีปคังชิงอาจจะเกิดเรื่องผิดปกติและอันตรายมากขึ้นเรื่อย ๆ หากสามารถเป็นพันธมิตรกับคุณชายได้โดยเร็ว จากนี้ไปเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องเหล่านี้ อย่างน้อยจะได้มิต้องตื่นตระหนกจนทำสิ่งใดไม่ถูก”
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา พลางกวาดสายตามองผูอี้ เจียงถานอวิ๋น หลูฉางเฟิงและคนอื่น ๆ
สุดท้าย สายตาเขาก็มองไปทางมู่ซีอีกครั้ง พลางเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าคิดว่า พวกเจ้ามีดีอะไรถึงทำให้ข้าเป็นพันธมิตรกับพวกเจ้า?”
มู่ซีเอ่ยโดยไม่ต้องคิด “เชื่อว่าคุณชายก็มองออกแล้ว บนร่างข้ามีความลับที่ไม่ธรรมดาอยู่ ในสายตาคนนอก ข้าคือคนที่มาพร้อมกับความโชคดี แต่กลับไม่มีผู้ใดรู้ ความลับต่าง ๆ บนร่างข้า แท้จริงแล้วมาจากขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา มีครั้งหนึ่งในตอนที่ไปสืบหา บังเอิญได้รับของล้ำค่าชิ้นใหญ่มา”
พลันซูอี้แปลกใจทันที
เขาเคยได้ยินหนิงซือฮวาบอกว่าขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาเป็นหนึ่งในแปดหุบเขามาร
ตามตำนานเล่าว่า มีซากเมืองที่แตกหักอยู่ในส่วนลึกของหุบเขานี้ และดูเหมือนว่าจะเป็นลานเจดีย์ที่รกร้างมานานแล้ว
ทุกค่ำคืนที่ย่างกรายมาถึง เงาดอกบัวสีดำมากมายมหาศาลพลิ้วไหวในซากเมืองนั้น และยังมีเสียงสวดเลือนราง ทว่าคล้ายกับเสียงร้องห่มร้องไห้ของผีสางสัตว์ร้าย
หนิงซือฮวามองไปที่ไกล เห็นซากเมืองนั้นในความมืด ไอมารแผ่เต็มท้องฟ้า บางครั้งก็มีร่างเลือนรางเคลื่อนไหวไปมาในความมืด เหมือนกับผีนับร้อยที่เดินในตอนกลางคืน ซึ่งมันแปลกประหลาดมาก
แต่ซูอี้กลับไม่นึกว่า ‘เรื่องแปลก’ ของมู่ซีจะเกี่ยวข้องกับขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนานี้
ซูอี้เอ่ยถาม “เจ้าว่าจี้หยก ‘โลหิตวิญญาณแท้’ บนร่างเจ้าได้รับมาจากขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนารึ?”
“จี้หยกโลหิตวิญญาณแท้?”
มู่ซีตกใจ และเหมือนตอบสนองกลับมาในทันที พลางเอ่ยด้วยแววตาประหลาดใจ “ข้าไม่รู้ความเป็นมาของจี้หยกชิ้นนั้นมาตลอด แต่ดูเหมือนว่าคุณชายจะเห็นเบาะแสบางอย่าง?”
เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย ภายในใจมิอาจสงบลงได้
“เจ้าไม่รู้เรื่องเหล่านี้ก็ไม่แปลกหรอก”
ซูอี้เอ่ยทันที
สายตามู่ซีที่มองซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกเล็กน้อย แล้วเอ่ย “ไม่ปิดบังคุณชาย จี้หยกนั้น จริง ๆ แล้วมาจากส่วนลึกขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา คาดว่าสถานที่นั้นยังซ่อนความลับและของล้ำค่าอย่างอื่นที่ไม่รู้อยู่”
ซูอี้คิดอยู่หนึ่ง แล้วเอ่ยคำออก “ข้าเป็นพันธมิตรกับพวกเจ้าได้ แต่จะต้องให้ข้าเป็นผู้นำ หากตกลง จากนี้ไปเมื่อพวกเจ้าพบเจอเรื่องยุ่งยากอะไร ข้าจะไม่ยืนนิ่งดูดาย”
มู่ซีตกใจอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นเรื่องปกติ ข้าไม่อวดดีถึงขั้นต้องให้คุณชายมารับคำสั่งข้าหรอก”
ผูอี้ เจียงถานอวิ๋น และคนที่เหลือหลุดหัวเราะออกมา เหมือนยกภูเขาออกจากอก พวกเขาไม่มีความเห็นใดต่อเรื่องนี้
เพียงแค่ได้ยืนข้างเดียวกับซูอี้ มันก็เพียงพอแล้ว!
เมื่อเฉินเจิ้งและเชินจิ่งซงเห็นเช่นนี้ ก็แอบดีใจอย่างเงียบ ๆ
พวกเขาได้รับการยอมรับจากซูอี้และถูกมองว่าเป็นคนของซูอี้นานแล้ว
กล่าวได้ว่า การเป็นพันธมิตรกับพวกมู่ซี จริง ๆ แล้วก็เหมือนกับพวกเขา …เท่ากับว่าได้ยืนอยู่บนเรือลำเดียวกันกับซูอี้!
เมื่อมองความแข็งแกร่งของผู้คนในฝั่งซูอี้ เฉินเจิ้งกับเชินจิ่วซงจะไม่ดีใจได้อย่างไร?
ซูอี้เอ่ยด้วยความอยากรู้ “พวกเจ้าก็รู้ว่าข้าเปิดฉากต่อสู้กับตระกูลซูในมหานครหลวงอวี้จิงแล้ว และยังจะเป็นพันธมิตรกับข้า ไม่กังวลเลยสักนิดรึ?”
คำถามนี้ เฉินเจิ้งเคยถามพวกมู่ซีแล้ว ซึ่งเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็ยิ้มและเล่าทัศนคติของมู่ซีและคนอื่น ๆ ออกมา
ซูอี้เข้าใจทันที
เจิ้งมู่เหยาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เห็นเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
ในตอนแรกที่นางรู้จักซูอี้ นางคิดว่าซูอี้คือคนที่อยู่ข้างกายองค์ชายหก ทั้งยังมีฝีมือและกำลังที่น่าเหลือเชื่อ
ทว่ายามนี้ นางถึงได้รู้… เรื่องที่นางคิดตอนนั้นช่างไร้เดียงสาและน่าขันเพียงใด!
เฉกเช่นยามนี้ ราชาต่างสกุลที่อายุน้อยที่สุดแห่งต้าโจว มู่ซี จวิ้นอ๋องอวิ๋นกวง เชินจิ่วซง จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เฉินเจิ้ง ผู้อาวุโสใหญ่ตำหนักคงต้ง เจียงถานอวิ๋นผู้อาวุโสรอง หลูฉางเฟิงผู้อาวุโสใหญ่ตำหนักซิงหยา ผูอี้… เหล่าบุคคลสำคัญกลุ่มนี้ ต่างก็ยืนอยู่ข้างเดียวกับซูอี้!
หากรวมกับเจ้าตำหนักเทียนหยวนหนิงซือฮวา กองกำลังพันธมิตรเช่นนี้ เมื่อมองไปทั่วทั้งต้าโจว จะหาออกมาได้เท่าใดกัน?