บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 259 พระพุทธรูปกระดูกวิญญาณ
ตอนที่ 259: พระพุทธรูปกระดูกวิญญาณ
ตอนที่ 259: พระพุทธรูปกระดูกวิญญาณ
เมื่อหนิงซือฮวาขี่อินทรีเกล็ดเขียวจากฟากฟ้าลงมาถึงเรือนพำนักหินศิลา สายตาของทุกคนพลันจับจ้องไปที่ศีรษะทั้งสองในมือของนางโดยไม่รู้ตัว
หลังจากนั้นเชินจิ่วซง เฉินเจิ้ง และคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก
ในสองศีรษะนั้น ศีรษะหนึ่งเป็นของเถาเจิ้งรองเจ้าตำหนักจี้เซี่ย และอีกศีรษะเป็นของโม่ฮวาเชวียรองเจ้าตำหนักสุ่ยเยว่
สถานะของสองคนนี้อาจด้อยกว่าหนิงซือฮวา แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังคงเป็นปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดน
และในเวลานี้ทั้งสองได้เดินทางในนามของตำหนักมาเยี่ยมเยียนตำหนักเทียนหยวน
ทว่าตอนนี้พวกเขากลับถูกหนิงซือฮวาฆ่าตาย!
เช่นนั้นจะไม่น่าแปลกใจได้อย่างไร?
“สหายเต๋า สองศีรษะนี้มีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่?”
หนิงซือฮวาก้าวไปข้างหน้า มองซูอี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายและยิ้มเบา ๆ
ซูอี้กล่าวว่า “พวกเขาไม่ได้มาจากตระกูลซู ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีคุณสมบัติ”
หนิงซือฮวาพยักหน้าและพูดว่า “ข้าก็คิดเช่นนั้น”
ขณะที่พูด เปลวเพลิงจุดติดไหลจากปลายนิ้ว และลุกไหม้ศีรษะทั้งสองในมือของนางกลายเป็นเถ้าธุลีในทันใด
ในเวลานี้ทุกคนตระหนักได้ในทันที
การกระทำเช่นนี้ของหนิงซือฮวาดูเหมือนจะต้องการฉีกหน้าตำหนักจี้เซี่ยและตำหนักสุ่ยเยว่ แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงคือเพื่อแสดงจุดยืนของตนเองให้ซูอี้ได้รู้!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผูอี้ เจียงถานอวิ๋น และหลูฉางเฟิง เมื่อพวกเขาเข้าใจความคิดของหนิงซือฮวา พวกเขาทั้งหมดก็พบว่าโชคดีที่สามารถสร้างพันธมิตรกับซูอี้ในครั้งนี้ได้
คนที่ทรงพลังและลึกลับเช่นหนิงซือฮวา ถึงกับใช้วิธีนี้เพื่อแสดงจุดยืน …ไม่ต้องสงสัยเลย ในสายตาของนางไม่ว่าจะเป็นตำหนักจี้เซี่ย ตำหนักสุ่ยเยว่ หรือแม้แต่ตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิง ต่างก็ไม่สำคัญเท่าได้อยู่ฝ่ายเดียวกับซูอี้!
ในเวลาต่อมา เมื่อหนิงซือฮวารู้เกี่ยวกับการเป็นพันธมิตรระหว่างมู่ซีและซูอี้ นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพลันเข้าใจ!
นางไม่แปลกใจมากนัก
หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่หุบเขามารบุปผาโลหิต และได้เห็นวิธีที่ซูอี้ฟันฮวาหลิวเยว่ด้วยดาบของเขา สังหารสตรีศักดิ์สิทธิ์ของพรรคมารหยิน ย่อมไม่มีใครไม่รู้แจ้งว่าฝีมือของซูอี้นั้นร้ายกาจเพียงใด!?
นี่คือข้อแตกต่างระหว่างผู้ฝึกตนบำเพ็ญที่แท้จริงและผู้ฝึกตนทั่วไป!
ทุกคนทราบดีว่าตราบใดที่ ‘ผนังกั้นมิติ’ ใต้หุบเขามารบุปผาโลหิตยังคงอยู่ อย่างน้อยที่สุดสามปี อย่างมากที่สุดคือห้าปี ผู้ฝึกตนบำเพ็ญจากอีกดินแดนย่อมข้ามมายังต้าโจว!!
เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ต้องพูดถึงต้าโจว เกรงว่าทั้งมหาทวีปคังชิงจะตกอยู่ในความโกลาหลและการนองเลือดครั้งใหญ่
ในเวลานี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทางเลือกที่ฉลาดที่สุดคือการสร้างพันธมิตรกับซูอี้ ที่มองว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น ‘ผู้ฝึกตนจากดินแดนอีกด้าน’ เป็นเหยื่อของเขา
การระวังตัวไว้ก่อนอาจจะเป็นทางที่ดีที่สุด
แน่นอนว่าทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสีย …การเป็นพันธมิตรกับซูอี้ในตอนนี้ ย่อมหมายถึงการเผชิญอันตรายจากการรุกรานของตระกูลซู!!
เห็นได้ชัดว่ามู่ซีและคนอื่น ๆ ได้ตัดสินใจไปแล้ว ด้วยความคิดและประสบการณ์ของพวกเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ทราบว่าการทำเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร
“คิดไม่ถึงว่าผู้ที่หยิ่งจองหองอย่างราชาสะกดขุนเขาจะมีสายตาที่เฉียบคมและความกล้าหาญเพียงนี้ เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดจริง ๆ…”
หนิงซือฮวากวาดสายตามองมู่ซีและคนอื่น ๆ ขณะที่ภายในใจคล้ายเกิดความรู้สึกบางอย่างที่ยากอธิบายขึ้นมา
นางรู้จักซูอี้มากกว่าผู้ใด และนางก็รู้โดยธรรมชาติว่ามู่ซีและคนอื่น ๆ ได้คว้า ‘โอกาส’ ของมหาวิถีสายนี้ไปเสียแล้ว!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ซูอี้ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของ ‘โอกาส’ ในการฝึกฝนบำเพ็ญ ใครก็ตามที่สามารถยืนอยู่ในฝ่ายเดียวกันกับเขาได้ ย่อมเทียบเท่ากับการขึ้นเรือที่นำไปสู่เส้นทางแห่งการฝึกฝนบำเพ็ญที่แท้จริง!
แม้แต่มู่ซีราชาต่างสกุลที่อายุน้อยที่สุดในต้าโจว ก็ยังจำต้องก้มศีรษะให้ซูอี้ในเรื่องนี้
ไม่นานหลังจากนั้น เจิ้งเทียนเหอก็มาถึงเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าเขาผ่ายผอมไปมาก ร่างเดิมที่อวบอ้วนได้สูญเสียไขมันไปพอควร แต่จิตวิญญาณกลับยังเปี่ยมล้นด้วยพลังงาน คิ้วของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและปีติยินดี!
ทันทีที่เห็นซูอี้ เขาไม่สามารถควบคุมความดีใจ เร่งขอบคุณซูอี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ถ้าไม่ใช่เพราะซูอี้โบกมือขัดจังหวะ เจิ้งเทียนเหอคงจะกล่าวขอบคุณอยู่อีกนาน
ในเวลานี้ เจิ้งมู่เหยาเองก็โล่งใจเช่นกัน ใบหน้าเล็ก ๆ ที่บอบบางและมีเสน่ห์ของนางปรากฏรอยยิ้มงดงาม
ซูอี้ไม่เคยชอบความมีชีวิตชีวา หลังจากพูดคุยกันสักพัก เขาจึงลุกขึ้นและตัดสินใจกลับไปฝึกฝนที่ห้อง
เมื่อเห็นเช่นนั้น หนิงซือฮวา มู่ซี เชินจิ่วซงและคนอื่น ๆ ก็ต่างกล่าวคำอำลาก่อนจากไป
ในไม่ช้า เรือนพำนักหินศิลาก็กลับสู่ความสงบเหมือนในอดีต
ชั้นสองของห้องใต้หลังคา
ซูอี้เปิดกล่องไม้ที่มู่ซีและคนอื่น ๆ ส่งให้
กล่องไม้บรรจุอัฐิของเซี่ยโหวหลิน เล่อชิง เพ่ยเหวินซานและบุคคลสำคัญอื่น ๆ
มีศาสตราวิญญาณ วัตถุวิญญาณ โอสถล้ำค่า และรายการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝน ซึ่งทั้งหมดนั้นมีค่ามาก และไม่ใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไป
ท้ายที่สุด ด้วยตัวตนและขอบเขตการฝึกฝนของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้ สิ่งของที่สามารถตอบสนองการฝึกฝนของพวกเขามันจะไม่เลวร้ายอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับโอสถล้ำค่า ที่มีตั้งแต่ระดับสาม ไปจนถึงระดับห้า ที่ดีที่สุดคือโสมวิญญาณซีอวี่และโป่งรากสนห้าสี ซึ่งมีค่ามากกว่าผลท้อที่ซูอี้เคยได้รับมาก่อนเสียอีก
สรุปแล้วรางวัลครั้งนี้มีค่าไม่น้อย
ซึ่งสำหรับซูอี้ การเก็บเกี่ยวครั้งนี้นับได้ว่ามาถูกช่วงเวลาพอดิบพอดี
ในช่วงสองวันภายในหุบเขามารบุปผาโลหิต เพื่อหล่อหลอมเต๋ากังให้สมบูรณ์ และก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ ซูอี้เกือบจะใช้โอสถที่สะสมไว้จนหมด
ในค่ายกองทัพเกราะเขียว เพื่อหลอมตี ‘ดาบนิลกาฬกลืนฟ้า’ ซูอี้ยังใช้วัตถุวิญญาณทุกชนิดที่มี
อาจกล่าวได้ว่าหลังกลับจากหุบเขามารบุปผาโลหิตมาที่มหานครกุ่นโจว ความมั่งคั่งของซูอี้ก็หมดไปนานแล้ว
แต่ต้องเข้าใจเสียก่อน ว่าตอนนี้ชายหนุ่มเป็นปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง และรากฐานมหาวิถีของเขานั้นเหนือกว่าผู้คนในโลกสามัญนี้มาก ดังนั้นทรัพยากรที่ต้องใช้ในการฝึกฝนก็ย่อมมากตามเช่นกัน
พูดตามสัตย์จริง ในระดับของการฝึกฝนนี้ มีเพียงโอสถวิญญาณที่อยู่เหนือระดับสาม หรือหินวิญญาณที่อยู่เหนือระดับที่สามเท่านั้นที่สามารถตอบสนองความต้องการในการฝึกประจำวันของเขาได้
“ด้วยทรัพยากรสำหรับการฝึกฝนที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ อย่างน้อยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับวัตถุสำหรับการฝึกฝนไปอีกสักระยะ”
“อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะปรับปรุงเขตแดนผลการฝึกในอนาคต แค่สิ่งเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ”
ซูอี้นวดคิ้วของเขา
ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมหนิงซือฮวาและมู่ซีถึงไปแปดมหาขุนเขาปีศาจเพื่อแสวงหาโอกาส
เหตุผลนั้นง่ายมาก ยิ่งระดับการบ่มเพาะสูงเท่าใด ทรัพยากรในโลกนี้ก็ยิ่งหายากขึ้นเท่านั้น วิธีเดียวที่จะรวบรวมทรัพยากรเพื่อฝึกตน คือการแสวงหาโอกาส!
ในกล่องนี้ นอกจากสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการบ่มเพาะแล้ว ยังมีสิ่งของทั่วไปอีก
ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก
แต่มีของสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของซูอี้
เป็นพระพุทธรูปขนาดเท่าฝ่ามือ ประทับนั่งคุกเข่า มือทั้งสองโอบหน้าท้อง ประกบกันและบีบเข้าหากันคล้ายดอกบัว
ใบหน้าของพระพุทธรูปนั้นเลือนรางยิ่ง เห็นได้ชัดว่าถูกกัดเซาะไปตามกาลเวลา แต่จากโครงร่างยังคงเห็นได้ว่าพระพุทธรูปองค์นี้ถูกแกะสลักให้อยู่ในช่วงอายุเยาว์วัย สวนทางกับท่าทีของพระพุทธรูปที่ดูเคร่งขรึมและตรงไปตรงมา
บนไหล่ของพระพุทธรูปมีมังกรขดตัวอยู่ หัวมังกรอยู่บนไหล่ และหางมังกรขดอยู่ที่ส่วนล่างของแผ่นหลัง
มังกรตัวนี้ก็ดูเลือนรางเช่นกัน มองเห็นเพียงรูปร่าง เกล็ด หนวดหรือเขา ทว่ารายละเอียดอื่น ๆ นั้นไม่สมบูรณ์
“ร่างมังกร ถือดอกบัวไว้ในมือ ลมหายใจเยือกเย็นและน่าเกรงขาม สิ่งนี้คล้ายจะเป็นปางอรหันต์ปราบมังกร…”
เมื่อซูอี้คิดถึงตรงนี้ มือก้มต่ำหมายคว้าจับ หากแต่นิ้วมือกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน พบว่าหยิบขึ้นมาไม่ได้
เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ และหลังจากโคจรปราณทั่วร่าง จึงสามารถถือพระพุทธรูปขึ้นมาได้
“เฮ้อ ไม่น่าแปลกใจเลยที่หนักขนาดนี้ ขนาดเท่าฝ่ามือแต่หนักสามพันชั่ง นี่คือ ‘กระดูกวิญญาณจริงแท้’ ที่ถูกกลั่นออกมา!”
ดวงตาของซูอี้เป็นประกาย
กระดูกวิญญาณจริงแท้ คือสิ่งที่มีเพียงในตัวของสัตว์ในตำนาน เช่น ผีซิว*[1] ปี้อั้น*[2] หยาจื้อ*[3] ฉยงฉี*[4] ปี้ฟาง*[5] จูเชวี่ย*[6] และเสวียนอู่*[7] เป็นต้น
ซึ่งสัตว์ในตำนานเหล่านี้ ถูกเรียกว่า ‘สัตว์วิญญาณแท้จริง’
แม้แต่ในเก้ามหาแดนดินก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่หายาก มีอยู่เพียงในตำนานเล่าขานเท่านั้น
ในชีวิตก่อนหน้านี้ ซูอี้ออกค้นหาทั่วดินแดน กลับสามารถจับได้แค่ ‘วิญญาณแท้จริง’ ของเสวียนอู่ที่อายุน้อยมาก และเลี้ยงดูมันในถ้ำสวรรค์ของตน
ต่อมา หลังจากที่ ‘วิญญาณแท้จริงของเสวียนอู่’ แปลงร่างเป็นมนุษย์ เขาก็ได้กลายเป็นศิษย์ของซูอี้ อยู่ลำดับที่เจ็ดด้วยชื่อ ‘เสวียนหนิง’
อย่างไรก็ตาม ซูอี้ก็ไม่ได้คาดหวังว่า ในโลกนี้ เขาจะได้เห็นพระพุทธรูปที่สร้างจากกระดูกวิญญาณจริงแท้!
สิ่งนี้หายากเกินไป
ซูอี้ครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนพยายามสัมผัสมันด้วยจิตวิญญาณของเขา
ตู้ม!
ทันใดนั้น ในจิตใจของซูอี้ ปรากฏมังกรบินแหวกหมู่เมฆ ทะยานข้ามม่านหมอกมุ่งตรงสู่ท้องนภาที่มากด้วยดาราแพรวระยับ ร่างที่ใหญ่โตของมันทำให้ดวงดาวนับไม่ถ้วนดูเล็กและสลัวลงไป ร่างกายปล่อยลมหายใจหนักแน่น ทำให้เกิดไอหมอกร้อนที่กลิ้งไล้ไปตามเกล็ดหนา
ซูอี้ยังเห็นอีก… ว่าบนมังกรตัวใหญ่นั่น มีร่างที่ดูเลือนรางสวมชุดคลุมสีขาวดั่งนักบวชยืนตระหง่าน
เมื่อสายตาของซูอี้มองจ้องไปยังร่างนั้น คนบนหลังมังกรดูเหมือนจะรับรู้และมองกลับมา
ตู้ม!
โดยไม่รอให้ซูอี้ตอบสนอง ฉากที่งดงาม ลึกลับ และกว้างใหญ่ที่เขาสัมผัสได้ก็ระเบิด แตกสลาย หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
หลวงจีนที่ขี่มังกรท่องไปบนท้องฟ้า?
ชายผู้นั้นคือใคร?!
ทำไมชาติภพก่อนไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับตัวตนเช่นนี้? เป็นผู้ใดกันที่พิชิตมังกรและควบคุมมันให้ทะยานสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
หรือจะเป็นอย่างที่บันทึกไว้ในคัมภีร์สำนักพุทธ …นี่คือตัวตนในตำนาน อรหันต์ปราบมังกรมีจริงงั้นหรือ?
การท่องไปบนท้องนภา แหวกว่ายกลางหมู่ดาวแพรวระยับนับพันหมื่น… นี่คือสิ่งที่ไม่มีใครในแดนดินกล้าลอง!
ความสงสัยมากมายท่วมท้นจิตใจของซูอี้
เขาก้มศีรษะลง มองดูพระพุทธรูปในมือ นั่งคุกเข่า สังเกตมังกรที่ถือดอกบัวอยู่ในมือ ท่วงท่าของมันช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก!
‘นี่ใช่หลวงจีนที่ขี่มังกรท่องไปทั่วท้องนภาผู้นั้นหรือไม่?’ ซูอี้ครุ่นคิด
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณอีกครั้ง
แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องผิดหวังไป คล้ายกับว่าก่อนหน้าเป็นเพียงภาพลวง ภาพเหล่านั้นเหมือนจะหายไปอย่างสมบูรณ์ ซูอี้ไม่สามารถสัมผัสถึงฉากอันน่าเหลือเชื่อที่เขาเพิ่งเห็นได้อีกต่อไป
“ข้าไม่รู้ว่าใครทิ้งพระพุทธรูปองค์นี้ไว้ เอาไว้เมื่อข้าเจอราชาสะกดขุนเขาอีกครั้ง ข้าต้องถามเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง”
ซูอี้กล่าวกับตนเอง
ในดินแดนมหาทวีปคังชิง เขาได้เห็นพระพุทธรูปที่สร้างจากกระดูกวิญญาณจริงแท้ และยังได้เห็นฉาก ‘หลวงจีนขี่มังกรท่องนภา’ ซึ่งดูผิดปกติ
หากสามารถหาที่มาของพระพุทธรูปองค์นี้ได้ บางทีอาจจะรู้ความลึกลับของมันเพิ่มก็เป็นได้!
[1] ผีซิว หรือปี่เซียะ เป็นสัตว์มงคลที่มีหนึ่งเขา มีหน้า หัว และขาคล้ายสิงห์ มีปีกคล้ายนก ส่วนหลังคล้ายปลา มีหางเป็นแมว มีปากทว่าไม่มีทวาร
[2] ปี้อั้น มีรูปร่างเหมือนเสือ เป็นสัตว์ที่รู้จักและแยกแยะความผิดถูก เป็นสัญลักษณ์ของยุติธรรม
[3] หยาจื้อ คือหนึ่งในเก้าบุตรมังกรตามความเชื่อของคนจีน โดยหยาจื้อมีนิสัยชอบต่อสู้ จึงเป็นสัญลักษณ์ของความองอาจกล้าหาญ
[4] ฉยงฉี คือหนึ่งในสี่สัตว์ร้ายบรรพกาล มีร่างกายคล้ายพยัคฆ์มีปีก มีขนเหมือนเม่น ชอบกินมนุษย์ ช่วยเหลือคนพาล และเป็นหนึ่งในสิบสองเทพผู้ขับไล่โรคระบาด มีหน้าที่กลืนกินสิ่งชั่วร้าย
[5] ปี้ฟาง คือสัตว์ในตำนานจีน เป็นเทพแห่งไฟและไม้ มีรูปร่างเหมือนนกกระเรียน มีขาข้างเดียว ตัวสีฟ้า มีสีแดง จงอยปากสีขาว
[6] จูเชวี่ย คือหงส์วิเศษตามความเชื่อของจีน มีธาตุไฟ เป็นตัวแทนแห่งฤดูร้อนและทิศใต้
[7] เสวียนอู่ คือเต่าดำ เป็นสัตว์เทพประจำทิศเหนือ ตัวแทนแห่งฤดูหนาวและธาตุน้ำ มีตัวเป็นเต่า หางเป็นงู