บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 26 โชคลาภ
ตอนที่ 26 โชคลาภ
กลางดึก
ซูอี้นั่งขัดสมาธิ พลังวิญญาณโคจรไหลเวียนไปบำรุงหล่อเลี้ยงเสริมพลังแก่กายเนื้อและโลหิต
นี่คือวิธีการบ่มเพาะสำหรับขอบเขตโคจรโลหิตขั้นที่สอง ขั้นขัดเกลาภายในของเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่อง
“เห็นได้ชัดว่าการบ่มเพาะขณะนี้ไม่ได้ดีเท่าตอนบ่มเพาะ ‘ขั้นขัดเกลาภายนอก’ มาก…”
ผ่านไปนาน ซูอี้ค่อยลืมตาขึ้น ก่อนจะคิ้วขมวด
มันไม่ใช่ว่าเขาคิดเรื่องความเร็วการบ่มเพาะที่เชื่องช้า แต่ผลที่ได้รับจากการบ่มเพาะนี้ไม่ดีทัดเทียมก่อนหน้า
หนึ่งเป็นเพราะวัตถุดิบโอสถที่เขาใช้ฝึกฝนทั้งวันและคืน มันล้วนเป็นของดาษดื่น
สองเป็นเพราะ ‘ขั้นขัดเกลาภายใน’ ซึ่งเป็นขั้นที่สองของขอบเขตโคจรโลหิต มันฝึกฝนยากยิ่งกว่าช่วงขัดเกลาภายนอก
“หากคิดพิเคราะห์จากความคืบหน้าเช่นนี้ กว่าจะบ่มเพาะ ‘ขั้นขัดเกลาภายใน’ จนถึงจุดสมบูรณ์ได้ เกรงว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน”
ซูอี้ครุ่นคิด
ครึ่งเดือน ไม่ใช่เวลาที่นาน
แต่หากประหยัดเวลาการบ่มเพาะได้ มันย่อมดีกว่า
“ของขวัญที่หวงอวิ๋นชงมอบให้เช่นโสมราชันเก้าใบนั้น หากนำมาใช้ได้ล่ะก็…”
ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ ซูอี้ส่ายศีรษะ
เขาทราบถึงนิสัยสันดานแม่ยายของตนเป็นอย่างดี สมบัติล้ำค่าเช่นนั้น นางย่อมไม่เผยออกจากมือ
แต่แล้วในขณะที่กำลังครุ่นคิด ประตูลานหน้าบ้านของเขาก็ถูกผลักเปิดออกจากภายนอก พร้อมเสียงฉินชิ่งดังเรียก
“เจ้าตัวเปลืองข้าวสุก ออกมาพบข้า!” เสียงของนางเย่อหยิ่งยิ่งยวด
ซูอี้นึกประหลาดใจ และพบว่าช่างบังเอิญ
เขาพลันลุกขึ้น ก่อนจะก้าวเดินออกจากห้อง
ภายใต้แสงจันทรา ฉินชิ่งปรากฏตัวด้วยร่างอันสูงสง่าและผ่าเผยในชุดสีเขียวเข้ม
แม้ว่านางจะอยู่ในวัยกลางคน ทว่าใบหน้ากลับกระจ่างหมดจด งดงามสมวัย ผิวกายขาวราวได้รับการดูแลอย่างดี ไม่แปลกเลยที่บุตรีทั้งสองของนางจะงดงามเลิศล้ำ
“มีอันใดงั้นหรือ?” ซูอี้ก้าวเดินเข้าไป ระหว่างช่วงปีที่เขาอยู่กับตระกูลเหวิน เขาไม่เคยเรียกเหวินฉางไท่และฉินชิ่งเป็นพ่อหรือแม่แต่อย่างใด
ฉินชิ่งเองก็หาได้ใส่ใจไม่ วันนี้ที่งานเลี้ยงวันเกิด การมาถึงของฟู่ซาน หวงอวิ๋นชง และผู้อื่นต่างทำให้นางเกิดความภาคภูมิที่ได้อวดโอ่ต่อหน้าผู้คนมากมาย เป็นผลทำให้อารมณ์ดี
ขณะนี้แม้ว่าพบเจอซูอี้ ความยินดีอันเจือจางก่อนหน้านี้ของนางก็ยังคงมีอยู่
นางพูดกล่าวตามตรง “เจ้าคงทราบว่าหวงอวิ๋นชงมอบโสมราชันเก้าใบให้แก่ครอบครัวพวกเราถึงสองต้น และนายท่านฟู่ซานยังมอบกล่องของขวัญให้อีก ข้าจึงคิดถาม ว่าเจ้าคิดนำพวกมันไปทำสิ่งใด?”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะนึกประหลาดใจ ว่าคนเห็นแก่ตัวเช่นแม่ยาย จะถึงขั้นมาหารือเรื่องราวนี้กับตน?
เขากล่าวตอบราบเรียบ “ก็ไม่มีอะไรให้กล่าว”
ฉินชิ่งแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะพล่ามบ่น “ไม่ทราบจริง ๆ ว่านายหญิงเฒ่าครุ่นคิดสิ่งใด ถึงบังคับให้ข้านำของขวัญทั้งสองนี้มามอบให้แก่ตัวเปลืองข้าวสุกเช่นเจ้า!”
ซูอี้พลันเข้าใจ
นายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินเป็นผู้ซึ่งทราบเรื่องราว รวมถึงทราบว่าของขวัญจากฟู่ซาน รวมถึงหวงอวิ๋นชงนั้น มีไว้มอบให้ตัวเขา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฉินชิ่งจึงไม่อาจละโมบได้อีก หากไม่แล้วฟู่ซานและผู้อื่นอาจทราบเรื่อง พวกเขาก็จะหาทางกล่าวโทษต่อตระกูลเหวิน
ฉินชิ่งจับจ้องซูอี้ “รับฟังให้ดี ของขวัญทั้งสองนี้เป็นของเจ้าและเหวินเจา กล่าวคือ เจ้าจะได้รับเพียงส่วนแบ่งที่ควรได้!”
นางนำเอากล่องของขวัญทั้งสองออกมาเผยในมือ และเปิดกล่องแรกออก
มันคือต้นโสมราชันเก้าใบสีขาวราวหิมะสองต้น หนวดโสม หรือก็คือรากนั้นกระจ่างใสราวผลึกแก้ว กลิ่นของมันฟุ้งกระจายแทบจะทั่วทั้งลานสวน
เพียงสูดดมเข้าไปเฮือกหนึ่ง ก็มากพอเรียกความสดชื่น
ฉินชิ่งลอบกลืนน้ำลาย นางนึกเกลียดชังในใจพร้อมสบถพล่ามบ่น
หากไม่เป็นเพราะนายหญิงเฒ่าแล้ว ของล้ำค่าเช่นนี้ นางคงไม่มีทางมอบให้ซูอี้!
“เจ้าหยิบไปเสียซิ!”
นางกัดฟันแน่น แสร้งทำเป็นสงวนท่าที
ซูอี้ลอบหัวเราะ เพียงมองครั้งหนึ่ง ก็ทราบได้ว่าแม่ยายตนเองนั้นแทบหลั่งโลหิตในหัวใจแล้ว
เขากล่าวตอบ “ท่านเลือกที่ชอบ ที่เหลือเป็นของข้า”
ฉินชิ่งค่อยเผยสีหน้าโอนอ่อนลง “เจ้าหนูยังรู้จักกตัญญูอยู่บ้าง ไม่เสียแรงที่ครอบครัวเราเลี้ยงดูเจ้านับปี!”
กล่าวถึงตรงนี้ ราวกับนางเกรงซูอี้จะถอนคำพูดกลับคืน ดังนั้นจึงคว้าเอาโสมราชันเก้าใบที่ดูขนาดใหญ่กว่าไป และส่งที่เหลือให้ซูอี้ “รับไป นี่ของเจ้า!”
ซูอี้ลอบหัวเราะในใจก่อนจะยื่นมือไปรับ
โสมราชันเก้าใบเรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรวิเศษ คุณภาพของสมุนไพรวิเศษย่อมไม่ขึ้นอยู่กับขนาด
ดังนั้นแล้ว โสมราชันเก้าใบต้นน้อยนี้จึงกลับกลายเป็นมีคุณภาพดีกว่าต้นใหญ่…
แม้ฉินชิ่งมีรูปโฉมงดงาม ทว่าไม่เคยบ่มเพาะ มีหรือจะทราบเรื่องราวเช่นนี้?
ฉินชิ่งที่ยินดีพลันรีบเก็บโสมราชันเก้าใบพลางกล่าว “ต้นที่ใหญ่กว่านี้เป็นของเหวินเจา นางขณะนี้ฝึกฝนอยู่ที่ตำหนักเทียนหยวน ดังนั้นจะต้องได้ใช้มันแน่!”
“ยังมีกล่องของขวัญนี้อีก ท่านเจ้าเมืองฟู่กล่าวว่าต้องเป็นเจ้าหรือเหวินเจาเท่านั้นที่เปิดมัน ดังนั้นเจ้าจงเปิดมันด้วยตนเองเสีย!”
นางนำเอากล่องของขวัญใบที่สองออกมา และส่งมอบด้วยสายตาใคร่สงสัย
ที่งานเลี้ยงวันเกิดวันนี้ นางเห็นกระจ่างชัด ในยามที่ตัวตนใหญ่โตทั้งหลายทราบว่าฟู่ซานมอบของขวัญจากผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง พวกเขาล้วนตื่นตะลึง!
ผู้ใดกันสูงศักดิ์ขนาดเรียกใช้งานฟู่ซานได้?
เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนา
ทว่ายิ่งลึกลับ มันก็ยิ่งกระตุ้นความสงสัยของผู้คน
ฉินชิ่งก็หาได้ใช่ข้อยกเว้น
ซูอี้ออกแรงที่ฝ่ามือเล็กน้อย กล่องของขวัญทรงโค้งที่ขัดเงาจนเปรียบดังหยกสีดำอันหาได้ยากจึงเปิดออก แสงทองคำพลันสว่างเจิดจ้าราวหมอกฟุ้ง เปล่งประกายในยามค่ำคืน
ฉินชิ่งเบิกดวงตากว้าง ลมหายใจติดขัด สีหน้าตื่นตะลึง หลงใหล และคลั่งไคล้
แหวนคู่หนึ่งที่สร้างโดยทองคำสีม่วง หน้าแหวนวงทางซ้ายมือแกะสลักไว้ซึ่งรูปวิหคอมตะราวกับมีชีวิต ดวงตาของมันถูกฝังไว้ด้วยเม็ดทับทิมอันงดงาม
หน้าแหวนวงทางขวาคือมังกรที่ขดตัว หัวนั้นเงยขึ้นฟากฟ้า หนวดของมันลอยล่อง ราวกับมีชีวิต
มันเป็นแหวนคู่ แสดงถึงโชคลาภมังกรวิหคอมตะ!
“สวรรค์โปรด นี่ย่อมเป็นสมบัติอันหาได้ยากล้ำในโลกหล้า เป็นของที่ไม่อาจประเมินมูลค่าได้!”
ฉินชิ่งใจเต้นรัวเร็ว ดวงตาของนางทอประกาย ใบหน้าอันงดงามไม่อาจปิดซ่อนความยินดี
แม้ตัวซูอี้ยังอดไม่ได้ที่จะเกิดประหลาดใจขึ้น
แหวนคู่นี้ย่อมไม่ใช่ธรรมดา มันสร้างขึ้นโดย ‘ทองคำสีชาดลายม่วง’ ที่คุณภาพเลิศล้ำ ลำพังตัวมันก็เป็น ‘วัสดุวิญญาณ’ ที่อัดแน่นด้วยพลังปราณ หาได้ใช่สิ่งที่ทองคำหรือเงินทั่วไปจะเทียบเปรียบ
ดวงตาของแหวนวิหคนั้นแกะสลักด้วย ‘เพชรวิญญาณสีชาด’ จากขนาดของเม็ดแล้ว มันสมควรเทียบเท่าทองคำนับหมื่น!
ขณะที่ดวงตาของแหวนมังกรสร้างขึ้นด้วย ‘หินดำผลึกวิญญาณ’ มันคือวัสดุวิญญาณที่อัดแน่นด้วยพลังปราณวิญญาณอันมหาศาล เป็นสมบัติที่ไม่อาจประเมินมูลค่าในโลกปุถุชน เช่นอาณาจักรโจว!
“เซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่น สองปู่หลานช่างมีน้ำใจอันวิเศษนัก” ซูอี้ลอบกล่าวคำ
แหวนคู่นี้ หากเป็นที่เก้ามหาแดนดิน มันไม่ใช่ของหายาก
แต่ที่อาณาจักรโจว ทั้งสองวงนี้คือสมบัติล้ำค่าอย่างไม่มีทางผิดเพี้ยน
ฉินชิ่งกระทั่งกระแอมไอขึ้นมา ดวงตาของนางเป็นประกาย “ซูอี้ เหตุใดจึงไม่ให้ข้าเก็บแหวนสองวงนี้เอาไว้แทนเจ้าก่อน แล้วค่อยคืนให้ยามหลิงเจากลับมาเล่า?”
ซูอี้นึกขัน มีหรือเขาจะไม่เห็นเจตนาในใจของฉินชิ่ง?
เขากล่าวคำตอบ “เอาแบบนั้นก็ได้”
ใบหน้าขาวนวลของฉินชิ่งพลันซีดขาว นางกล่าวคำอะไรไป?
นี่เป็นคำตอบที่นางต้องการ แต่ประเด็นคือมันขัดแย้งกับคำสั่งของนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวิน!
“สมบัติเช่นนี้ เจ้ากลับได้รับโดยเปล่า เสียของยิ่งนัก!”
ฉินชิ่งกัดฟันแน่น คว้าเอาแหวนมังกร และส่งมอบมันอย่างรุนแรง “นี่! รับเอาไป! อย่าได้ทำหาย!”
“เช่นนั้นข้าจะรับไว้”
ซูอี้เพียงยิ้มรับ
เขาทราบดีว่า ฉินชิ่งนั้นคิดอย่างไรในใจ แต่นางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวิน
“ฮึ่ม! นี่จดหมายอีกฉบับหนึ่ง” ฉินชิ่งนำเอาจดหมายปิดผนึกออกจากก้นกล่องของขวัญ
พบเห็นถ้อยคำ ‘ถึงท่านชายซู’ ปรากฏบนจดหมาย นางอดไม่ได้ที่จะชะงักไปครู่ “ท่านชายซู ผู้ใดกัน?”
“เป็นข้า”
ซูอี้คว้ารับจดหมายนั้นมา
“เจ้า? ท่านชายซู?
ฉินชิ่งแค่นเสียง ราวกับได้รับฟังเรื่องราวขบขัน
กระนั้น ทั้งตระกูลเหวินมีเพียงซูอี้ที่ใช้สกุลซู และของขวัญนี้เดิมมอบให้ซูอี้และภรรยา ดังนั้นฉินชิ่งจึงไม่อาจสงสัยใดได้อีก
“หากไม่มีอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวกลับห้อง” ซูอี้ยิ้มบาง เมินเฉยถ้อยคำถากถางของฉินชิ่ง และหันกลับไป
“เมื่อใดหลิงเจากลับมา ข้าจะต้องหาทางได้แหวนนั่นคืน!” ฉินชิ่งลอบกัดฟันแน่น กระทืบเท้ารุนแรง ก่อนจะเดินกลับไป
แต่เมื่อนางกลับถึงที่พัก และมองเห็นของขวัญกองเท่าภูเขาภายในห้อง อารมณ์จึงค่อย ๆ ดีกลับคืนมาบ้าง
ที่งานเลี้ยงวันเกิด นางและเหวินฉางไท่ไม่เพียงได้เฉิดฉาย แต่ยังได้รับการแสดงความรักจากคนใหญ่คนโตมากมาย รวมถึงของขวัญที่มอบให้พวกนางภรรยาสามี
ขณะนี้หันมองของขวัญที่ตั้งเรียงราย รอยยิ้มของฉินชิ่งปรากฏผ่านคิ้ว ของเหล่านี้เป็นสิ่งย้ำเตือนถึงอนาคตอันสดใสของหลิงเจาของนาง!
“ที่รัก ได้เวลาพักแล้วกระมัง?” เหวินฉางไท่เดินเข้ามาสวมกอดเอวเพรียวบางของฉินชิ่ง ริมฝีปากนั้นยื่นโน้มเข้าสัมผัสกับคอขาวดุจหิมะของฉินชิ่ง
เขาที่วันนี้อารมณ์ดี จึงดื่มสุราไปมาก จะรู้สึกคึกคักก็คงไม่แปลก
เพียะ!
ฉินชิ่งตบที่ใบหน้าเหวินฉางไท่ ทั้งยังปัดมืออีกฝ่าย ก่อนจะกล่าวถ้อยคำออกด้วยอารมณ์ร้าย
“ไปให้พ้น! ข้ายังไม่มีอารมณ์อะไรทั้งนั้น หากเจ้าอยากมากก็ไปทำด้วยตัวเองที่เตียงโน่นไป!”
เมื่อพูดจบนางหันกลับไปยินดีกับกองของขวัญ และเริ่มนับจำนวน
พบเห็นเช่นนี้ เหวินฉางไท่พลันถอนหายใจลากยาว
ค่ำคืนเดียวกัน
ซูอี้นั่งตรงหน้าโต๊ะ เปิดซองจดหมาย นำเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
หัวจดหมายเขียนโดยเซียวเทียนเชวี่ย กล่าวคำชื่นชมทักทาย เนื้อหาล้วนเป็นการทักทายเสียส่วนใหญ่
จนสุดท้าย อีกฝ่ายกล่าวว่าเพราะมีเรื่องสำคัญทางตระกูลต้องจัดการ ตัวเขาและหลานเช่นจื่อจิ่นจึงเดินทางออกจากเขตปกครองอวิ๋นเหอ หากซูอี้มีเรื่องราวใด เช่นนั้นให้เจ้าเมืองฟู่ซานจัดการ
โดยคร่าว มันคือจดหมายบอกลา
หลังอ่านครบถ้วน ซูอี้จรดปลายกระดาษลงไปที่เปลวเทียนเพื่อเผาทำลายทิ้ง
ความคิดของเซียวเทียนเชวี่ยและจื่อจิ่น เขาพอคาดเดาได้ไม่หนึ่งก็สอง นั่นคือการเสริมสร้างความสัมพันธ์กับตนเองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
“ด้วยโสมราชันเก้าใบ น่าจะช่วยประหยัดเวลาการบ่มเพาะได้มาก” ซูอี้มองกลับไปยังโต๊ะ ที่ซึ่งมีโสมวิญญาณสีขาววางไว้อย่างเงียบงัน
ตามคุณภาพแล้ว สมุนไพรวิเศษในโลกนี้แบ่งออกเป็นเก้าระดับชั้น
หนึ่งคือน้อยที่สุด เก้าคือมากที่สุด
ต้นโสมราชันเก้าใบตรงหน้าคือสมุนไพรวิเศษระดับที่สอง และมันก็ล้ำค่ามากพอที่จะทำให้แม้แต่ผู้คนที่อยู่ใน ‘ขอบเขตรวบรวมลมปราณ’ ยังต้องน้ำลายสอเมื่อมองเห็นมัน!
“หวงอวิ๋นชง ยอมจ่ายไปไม่ใช่น้อยเลยเพื่อประสานความสัมพันธ์กับตัวข้า” ซูอี้ลอบพึมพำ
โสมราชันเก้าใบทั้งสองต้นคือยาวิเศษระดับสอง มูลค่าย่อมสูงล้ำมหาศาล อย่างน้อยในตลาดของเมืองกว่างหลิง ก็ไม่มีทางหาซื้อได้!
ถัดจากนั้น สายตาซูอี้ก็หันมองไปยังแหวนรูปมังกรที่สร้างด้วย ‘ทองคำสีชาดลายม่วง’ ในใจพลันนึกประทับใจ