บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 260 คำที่น่าอัศจรรย์
ตอนที่ 260: คำที่น่าอัศจรรย์
ตอนที่ 260: คำที่น่าอัศจรรย์
“หลวงจีนชุดขาวขี่มังกรท่องนภา… ด้วยความสามารถจากชาติภพก่อน ข้าก็สามารถทำได้เช่นกัน!”
“จากที่เห็น หลวงจีนนั่นจะต้องอยู่ในวิถีลึกล้ำเป็นแน่ และเป็นไปได้ว่าคนผู้นี้จะอยู่ขอบเขตพันธะลึกล้ำเช่นเดียวกับข้าในตอนนั้น…”
วิถียุทธ์ วิถีต้นกำเนิด วิถีวิญญาณ วิถีลึกล้ำ
มหาเขตแดนของวิถีลึกล้ำคือ หยั่งเห็นลึกล้ำ รู้แจ้งลึกล้ำ และสานพันธะลึกล้ำ
หรือเรียกอีกอย่างว่าขอบเขตจักรพรรดิ
ดังนั้นผู้ที่ก้าวเข้าสู่เส้นทางวิถีลึกล้ำ จึงถูกเรียกว่า ‘จักรพรรดิ’
ขอบเขตจักรพรรดิเป็นวิถีลึกล้ำเขตแดนสุดท้ายก่อนเข้าสู่ขอบเขตพันธะลึกล้ำ เรียกอีกอย่างว่า ‘ขอบเขตมหาจักรพรรดิ’
ในกาลก่อน ซูอี้ผู้อยู่ใน ‘ขอบเขตมหาจักรพรรดิ’ เป็นที่เคารพนับถือทั่วทั้งเก้ามหาแดนดิน และได้รับการยกย่องจากทั่วดินแดนว่าเป็น “ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน”
“น่าสนใจยิ่งนัก ในต้าโจวเพียงแห่งเดียว กลับมีแปดมหาขุนเขาปีศาจ ผนังกั้นมิติที่เชื่อมไปยังแดนดินอื่น และจี้หยกโลหิตของมู่ซี ไหนจะซูหงหลี่นั่นอีก ที่ว่าเมื่อคราเยาว์วัย เขาได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่จากหุบเขามารตาข่ายเร้น จนต่อมาทะยานสู่ท้องฟ้า…”
“และตอนนี้มีพระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งที่สร้างจากกระดูกวิญญาณจริงแท้ ซึ่งอาจข้องเกี่ยวกับหลวงจีนชุดขาววิถีลึกล้ำ… มหาทวีปคังชิงนี้ล้ำลึกกว่าที่คิด…”
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซูอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกทวนถึงสิ่งที่พบเจอ เขาก็ยิ่งตั้งหน้าตั้งตารอมากขึ้นเท่านั้น
ถ้ามหาทวีปคังชิงเป็นเพียงดินแดนธรรมดา มันคงจะน่าเบื่อเกินไป สุดท้ายคงจำต้องครุ่นคิดถึงการข้ามผ่านไปยังโลกที่สูงขึ้นเพื่อฝึกฝน
แต่ตอนนี้ หลังจากพบกับสิ่งผิดปกติและแปลกประหลาดมากมาย ซูอี้พลันตระหนักได้ว่ามหาทวีปคังชิงไม่ใช่ดินแดนธรรมดาทั่วไป!
หากค่อย ๆ เปิดเผยความลับของมหาทวีปนี้ จะมีโอกาสมากมายที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนอย่างไม่ต้องสงสัย!
แม้ว่าเขาจะต้องถอยกลับไปหมื่นก้าวและรอสามหรือห้าปี ทว่าในอีกด้านหนึ่งของผนังกั้นมิติ ณ ใต้พิภพของหุบเขามารบุปผาโลหิต ที่แห่งนั้นอาจมีตัวตนที่น่าสนใจรอคอยอยู่ไม่น้อย!
สำหรับซูอี้ นี่เป็นโอกาสที่จะเก็บเกี่ยวไม่ใช่หรือ?
ตราบใดที่มีโอกาส ก็ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปกังวล!
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็เก็บพระพุทธรูป
แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่อาจฉายสะท้อนภาพก่อนหน้าได้อีก แต่อย่างไรก็ตามมันทำมาจากกระดูกวิญญาณจริงแท้ ในแง่ของวัสดุเพียงอย่างเดียว มันก็มากพอแล้วที่จะต้านทานการโจมตีจากดาบนิลกาฬกลืนฟ้าได้!
ในช่วงเวลาวิกฤต มันสามารถเปลี่ยนเป็นเกราะป้องกันได้
สำหรับที่มาของพระพุทธรูปองค์นี้ ไว้ค่อยสอบถามจากมู่ซีเอาทีหลังก็แล้วกัน…
ต่อมา เมื่อจัดเก็บสิ่งของเสร็จสิ้น ซูอี้จึงนั่งขัดสมาธิและเริ่มฝึกอีกครา
ฟ้าว~
พลังปราณวิญญาณและพลังโลหิตที่พลุ่งพล่านราวกับกระแสน้ำแรง ทำให้เกิดเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ มันไหลเป็นจังหวะในร่างกายของซูอี้
ราวกับมีเตาเผาที่กำลังลุกไหม้อยู่ภายในหัวใจของเขา
หัวใจ ตำหนักแห่งธาตุไฟ บรรจุไว้ด้วยปราณและโลหิต เป็นสถานที่ลับซึ่งอยู่ ณ แกนกลางของร่างกายมนุษย์
แสงของมันเป็นสีแดงสดใส มากไปด้วยพลังอันแข็งแกร่ง!
เมื่อทำการบ่มเพาะบำเพ็ญ ซูอี้กลืนเม็ดยาระดับสามจำนวนห้าเม็ดในลมหายใจเดียว ปล่อยให้ฤทธิ์ยาที่ร้อนผ่าวไหลผ่านไปตามแขนขาและกระดูกทั่วกาย
หลังจากสิบแปดชั่วยามผ่านไป ผลลัพธ์ของมันก็เผยให้เห็น ทั่วกายมากล้นไปด้วยความมีชีวิตชีวา ระดับขั้นการฝึกฝนบำเพ็ญของซูอี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างเงียบงัน
สำหรับซูอี้แล้ว สี่ขอบเขตแห่งวิถียุทธ์คืออาณาจักรทางโลก และระหว่างเขตแดนก็ไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ ที่ขวางกั้นเขาได้!
ถ้าเต็มใจ เขาสามารถเข้าสู่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้อย่างง่ายดายในเวลาอันสั้น
แต่นี่ไม่ใช่จุดประสงค์ของการกลับชาติมาเกิด!
สำหรับซูอี้ เป้าหมายสำคัญอยู่ที่การสร้างรากฐาน! ขอเพียงรากฐานหนักแน่นดุจภูผา การไล่ตามวิถีดาบที่ไม่มีใครเทียบได้ก็จะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น!
ในขอบเขตรวบรวมลมปราณ ทั้ง ‘เบิกมวลกลายวิญญาณ’ ‘ชีพจรลับ’ และ ‘เต๋ากัง’ ล้วนเป็นสิ่งที่ซูอี้ยังขาดในขอบเขตเดียวกันในชีวิตก่อนหน้านี้
ขณะที่ในขอบเขตปรมาจารย์ สิ่งที่ซูอี้ต้องการคือการบรรลุ ‘เบญจธาตุหลอมผสานวิญญาณ’!
เวลาค่อย ๆ ผ่านไป
พลบค่ำ
ซูอี้ตื่นจากการนั่งสมาธิ รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนด้วยความหิว และถอนหายใจโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อฉาจิ่นไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ แม้แต่การกินดื่มก็ล้วนเป็นปัญหา
เขาลุกขึ้น เดินออกจากห้อง วางแผนจะเข้าเมืองเพื่อหาของกิน
ทว่าเมื่อเดินเข้าไปในลานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณชาย ข้ากลับมาแล้ว”
เสียงนั้นนุ่มนวลและอ่อนหวาน ราวกับเสียงกระดิ่งอันไพเราะ เผยให้เห็นร่องรอยของความคาดหวังและความสุข
ซูอี้ตกใจเล็กน้อย รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อเปิดประตูลานบ้าน เผยให้เห็นร่างที่สง่างามยืนอยู่ตรงนั้น
สวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูลายดอกบัว มวยผมขึ้นอย่างหลวม ๆ แต่งหน้าบางเบา และใบหน้ารูปไข่ดูมีเสน่ห์และประณีต
นางช่างงดงาม มากด้วยเสน่ห์เย้ายวน
นางคือฉาจิ่น
หญิงสาวถือกล่องอาหารทรงสูงในมือข้างหนึ่ง และอีกมือหนึ่งถือขวดเหล้า เมื่อนางเห็นซูอี้ รอยยิ้มสดใสพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงาม ริมฝีปากสีดอกกุหลาบของฉาจิ่นยกขึ้นเล็กน้อย แล้วนางก็กะพริบตาขณะพูดว่า “คุณชาย ท่านหิวหรือไม่?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “หนิงซือฮวาไม่ได้บอกหรือว่าข้ากลับมาเมื่อวานนี้?”
“เอ่อ…”
เมื่อเห็นว่าซูอี้รู้สึกไม่พอใจ รอยยิ้มของฉาจิ่นพลันนิ่งแข็ง แล้วนางก็พูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “เมื่อวานข้าวางแผนที่จะกลับมา แต่เจ้าตำหนักหนิงกล่าวว่าคุณชายมีบางสิ่งสำคัญที่ต้องทำ อย่ารบกวน และให้ข้าอยู่ต่ออีกคืน…”
ก่อนที่นางจะพูดจบ ซูอี้ก็หันกลับไปและพูดว่า “ได้ เจ้าไม่ต้องอธิบาย แค่เอาเหล้ากับอาหารมา”
เมื่อมองดูแผ่นหลังของซูอี้ชั่วครู่ ฉาจิ่นก็ทำหน้าบึ้ง ส่ายหัว อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
คุณชายยังคงเหมือนเดิม ทั้งที่ไม่ได้เจอกันนาน เขากลับไม่แสดงอาการดีใจ เพียงบ่นว่าเรื่องกลับมาช้า คงมีแค่ตอนที่นางไม่อยู่ เขาถึงจะคิดถึงนาง
อืม… อย่างน้อยเวลาหิว เขาก็จะคิดถึงนางอย่างแน่นอน…
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฉาจิ่นก็มีความสุขขึ้นมา และเมื่อได้กลับมาที่เรือนพำนักหินศิลาที่คุ้นเคย เจอคนที่คุ้นเคย ย่างก้าวของนางก็พลันกลับมาผ่อนคลายและร่าเริงเช่นเคย
ในไม่ช้า ที่ริมทะเลสาบ อาหารอันโอชะที่คุ้นเคยก็ถูกยกมาวางไว้ตรงหน้าซูอี้ นอกจากนี้ก็ยังมีเหล้าที่ฉาจิ่นกำลังรินให้
ขณะที่ซูอี้กำลังกินและดื่มอยู่ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าชีวิตต้องเป็นเช่นนี้ หากไม่มีใครคอยรับใช้อยู่รอบตัวเขา คงรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป…
ฉาจิ่นนั่งตรงข้ามกับซูอี้ มือทั้งสองข้างกุมใบหน้าอันสวยงามของตน ดวงตาที่ราวกับฤดูใบไม้ร่วงมองมาที่ซูอี้เป็นครั้งคราว และคิ้วของนางก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน
การอยู่ตำหนักเทียนหยวนทำให้รู้สึกแปลก ๆ และนางก็มักจะนึกถึงชีวิตช่วงที่อยู่ในเรือนพำนักหินศิลา และยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไรนางก็รู้สึกผิดหวังมากขึ้นในใจเท่านั้น
นั่งอยู่ที่นั่นจนถึงตอนนี้ อาบน้ำท่ามกลางพระอาทิตย์ตก เมื่อมองไปยังซูอี้ที่ดื่มกินอยู่ ฉาจิ่นก็รู้สึกมั่นคงและสบายใจราวกับปัญหาทั้งหมดมลายหายไป
“ตอนนี้หลิงเสวี่ยเป็นอย่างไรบ้าง” ซูอี้ถาม
ฉาจิ่นตะลึงครู่หนึ่ง พูดด้วยเสียงต่ำว่า “ในตอนเช้า หลิงเสวี่ยและข้าตกลงที่จะมาหาคุณชายด้วยกัน แต่ท่านพ่อท่านแม่และครอบครัวของหลิงเสวี่ยไปที่ตำหนักเทียนหยวน โดยบอกว่าเป็นคำแนะนำของคุณชาย …ซึ่งบรรดาผู้ที่ไปตำหนักเทียนหยวนต่างคิดเข้าอยู่ชั่วคราว และจะไม่ออกไปจนกว่าจะถึงวันที่ห้าของเดือนห้า หลิงเสวี่ยจึงจำต้องอยู่ที่นั่น นางบอกว่าเมื่อท่านพ่อท่านแม่และครอบครัวของนางตั้งถิ่นฐานเสร็จ นางจึงจะมาพบ”
ซูอี้พยักหน้า พูดอย่างผ่อนคลาย “ตราบใดที่นางเต็มใจมาพบข้าก็ดีแล้ว”
ฉาจิ่นแอบถอนหายใจเบา ๆ
ทำไมนางจะไม่เห็นเล่า… ว่าในหัวใจของซูอี้ เหวินหลิงเสวี่ยมีความสำคัญมากกว่าตัวนางเอง?!
แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้
ก่อนที่เขาจะรู้จักนาง ซูอี้ได้ปฏิบัติต่อน้องสะใภ้… ไม่สิ นางไม่ใช่น้องสะใภ้ของเขาอีกต่อไปแล้ว
กล่าวคือ ไม่ผิดที่จะรักเหวินหลิงเสวี่ย
“ผลการฝึกบำเพ็ญของเจ้ากำลังก้าวหน้าใช่หรือไม่?”
หลังอาหารเย็น ซูอี้ถือชาที่ชงโดยฉาจิ่นและเอ่ยถามขณะจิบ
ฉาจิ่นพูดอย่างมีความสุข “คุณชายก็เห็นด้วยหรือ? ข้ามีลางสังหรณ์ว่าอีกไม่นานข้าจะได้ก้าวผ่านขอบเขตปรมาจารย์แล้ว”
ซูอี้คิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวว่า “เจ้าเป็นคู่บำเพ็ญของข้า และเจ้ายังฝึกฝน ‘คัมภีร์ลี้ลับเก้าถ้ำคลุมเครือ’ มันจึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีความก้าวหน้าเช่นนี้”
คู่… คู่บำเพ็ญ…
ใบหน้าที่งดงามของฉาจิ่นแดงขึ้นทันที ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย นางเขินอาย ก้มศีรษะลง และแอบคิดในใจว่า ทำไมคุณชายจึงพูดจาฉะฉานทุกครั้งที่เขาพูดถึงเรื่องเหล่านี้กัน?
ในกลางดึก หลังจากดูแลเรื่องอาบน้ำให้ซูอี้แล้ว ฉาจิ่นกำลังจะจากไป แต่ซูอี้กลับกล่าวว่า “คืนนี้เจ้าอยู่ก่อน ข้าจะอธิบายความลับของการฝึกฝนขอบเขตปรมาจารย์ให้เจ้าฟังทีละข้อ”
ฉาจิ่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าสวยของนางกลายเป็นสีแดง และตอบ ‘อืม’ หนึ่งคำ
…
ในคืนเดียวกัน
นครหลวงอวี้จิง ตระกูลซู
ในศาลาที่หันหน้าเข้าหาลำธาร ซูหงหลี่นั่งตัวตรง แสงและเงาของตะเกียงกระดำกระด่างสะท้อนที่แก้มของเขา
หลังจากเงียบมานาน
ซูหงหลี่ค่อย ๆ ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “สหายเต๋า เมื่อไม่กี่เดือนก่อนคนผู้นั้นได้สูญเสียผลการฝึกฝนบำเพ็ญทั้งมวล หลังจากนั้นไม่กี่เดือนเขาจะกลับกลายมามีพลังดั่งบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นหนึ่งเท่านั้น”
น้ำเสียงนั้นสงบเป็นกันเอง แต่แฝงด้วยความสงสัยอย่างไม่ปิดบัง
สำหรับหัวหน้าตระกูลซู ที่รู้จักกันในนาม ‘คู่สมบูรณ์แบบแห่งต้าโจว’ กับราชครูหงเซินชาง เขาตระหนักได้ในฉับพลันว่าการที่ซูอี้เปลี่ยนไปมากเช่นนี้ผิดปกติเกินไป!
อันที่จริง หลังได้รับข่าวจากแคว้นกุ่น ซูหงหลี่ก็รู้สึกถึงคลื่นในหัวใจของเขา
ในการสู้รบ ณ จวนเจ้าแคว้นกุ่น จวิ้นอ๋องและราชาต่างสกุลที่เป็นคนของเขา ไหนจะเหล่าคนใหญ่คนโตกลุ่มหนึ่งอีก พวกเขาต่างเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยน้ำมือของซูอี้!
การนองเลือดดังกล่าวอยู่เหนือการคาดการณ์ของซูหงหลี่อย่างสิ้นเชิง
…นอกจากนี้ยังทำให้เขาตระหนักเป็นครั้งแรก ว่าแม้จะมีเหตุการณ์ ณ เขาประจิมเกิดขึ้น ทว่าตนเองก็ยังประเมินบุคคลผู้นั้นที่เกลียดชังเขาต่ำเกินไป!
อีกด้านหนึ่ง ชายชราในชุดคลุมเต๋าถือไม้พายในมือของเขา ขณะกล่าว
“ต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่ ในวันที่สองของเดือนสอง การฝึกฝนบำเพ็ญของซูอี้อยู่เพียงขอบเขตโคจรโลหิตเท่านั้น ทว่าเขากลับชนะเป็นอันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร ขณะที่วันนี้คือวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสาม”
“ในเวลาไม่ถึงสองเดือน เขาเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง และมีวิธีการลงมือสังหารบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่รวดเร็วเสียจนน่าตกใจ สิ่งนี้ไม่สามารถคิดคำนวณและตัดสินใจได้จากความรู้ความเข้าใจที่เคยชินกัน”
“สหายเต๋ายังจำได้หรือไม่ว่าในปีนั้น ต้องใช้เวลาหนึ่งปีกว่าที่คนไร้ที่เปรียบอย่างราชาขนนกเยว่ซือฉานจะข้ามผ่านขอบเขตโคจรโลหิตไปสู่ขอบเขตปรมาจารย์ แต่ซูอี้…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ซูหงหลี่ก็ขมวดคิ้วและโบกมือขัดจังหวะ “ไม่จำเป็นต้องพูดเช่นนี้ สิ่งนี้เห็นทีสหายเต๋าจะเพียงคาดเดาไปเองเท่านั้น”
ชายชราในชุดคลุมเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวว่า “ข้าสงสัยว่า… ซูอี้อาจถูกสิงสถิต”
คำพูดที่ช่างน่าอัศจรรย์
รูม่านตาของซูหงหลี่ค่อย ๆ หดแคบลง