บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 261 ความลี้ลับ
ตอนที่ 261: ความลี้ลับ
ตอนที่ 261: ความลี้ลับ
สิงสถิต!
คำสองคำนี้ราวกับใบมีดทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของซูหงหลี่ เหตุการณ์ในอดีตที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดของหัวใจถูกปลดปล่อยออกมาโดยไม่สามารถยับยั้งได้
สิ่งนี้ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมเล็กน้อย และใบหน้าก็หม่นหมองลงอย่างฉับพลัน
ชายชราในเสื้อคลุมเต๋าประหลาดใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าการคาดเดาของตนเองจะถูกต้อง …แต่ซูหงหลี่กลับมีปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงเพียงนี้เชียวหรือ?
หลังจากคิดดูแล้ว ชายชราผู้สวมชุดคลุมก็กล่าวเบา ๆ ว่า “สหายเต๋า ข้าเพียงคาดเดา บางทีอาจมีความลับบางอย่างอีกก็เป็นได้”
ซูหงหลี่เงียบไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาค่อย ๆ สงบลง แววตาเปลี่ยนเป็นไม่แยแส กล่าวว่า “ไม่ ข้าเองก็คิดเช่นเดียวกัน แม้ว่าคนผู้นี้จะไม่ได้ถูกสิงสถิต แต่เขาต้องมีความลับซ่อนอยู่แน่ เป็นไปไม่ได้ที่ในช่วงเวลาสั้น ๆ จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นนี้”
กล่าวจบแล้วก็ยืนขึ้น เอามือไพล่หลัง มองทอดยาวไปบนท้องฟ้ากลางคืน พลางกล่าวว่า
“ข้ารู้มานานแล้วว่าไม่สามารถรักษาทายาทของเยี่ยอวี่เฟยไว้ได้ แต่น่าเสียดายที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อคิดถึงโลหิตของข้าซูหงหลี่ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของบุลคลผู้นั้น ข้าก็อดไม่ได้…”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ น้ำเสียงของเขาก็ลดต่ำลง กลายเป็นเย็นชาอย่างไม่อาจควบคุม “จนถึงตอนนี้ มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับบุคคลผู้นั้นจริง ๆ!”
ชายชราในชุดคลุมเต๋าหันมอง ปากอ้าถาม “สหายเต๋า ตลอดมาเจ้าคาดหวังให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือไม่?”
คิ้วของซูหงหลี่ตกลง สีหน้าหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด เขาถอนหายใจเบา ๆ “สหายเต๋า ท่านไม่เข้าใจ ทั้งหมดนี้… เกี่ยวข้องกับสตรีผู้นั้น สนมเยี่ยอวี่เฟย…”
“ลืมไปเสียเถอะ อย่าพูดถึงเหตุการณ์ในอดีตเหล่านี้อีก หลังจากเหตุการณ์นี้ ข้าก็มุ่งมั่นที่จะสังหารบุคคลผู้นั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ!”
ในตอนท้ายของน้ำเสียงกลายเป็นไม่แยแสและเย็นชา ไม่มีร่องรอยของความสับสนอีกต่อไป
ชายชราในชุดคลุมถอนหายใจ “คราวนี้ปัญหาของซูอี้นั้นใหญ่หลวงนัก เดิมทีมันเป็นการสอนบทเรียน ให้เขาเปลี่ยนใจและเป็นคนใหม่ แต่ตอนนี้… ทั้งต้าโจวคงจะรอดูวิธีแก้ปัญหาของตระกูลซูเกี่ยวกับเรื่องนี้”
ซูหงหลี่นั่งลงบนเก้าอี้แล้วเย้ยหยัน “คนพวกนั้นไม่รู้ว่าผู้ฝึกฝนบำเพ็ญที่แท้จริงคืออะไร ไม่ว่าพวกเขาจะอยากดูความสนุกหรือมีความคิดอื่น ๆ ข้าก็ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย”
ขณะที่พูด เขานั่งตัวตรงอย่างเงียบ ๆ ดวงตาเปล่งประกาย พลางกล่าวว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าต้องแบกรับความอับอายในการฆ่าบุตรชาย หากข้าไม่สามารถรับสิ่งนี้ได้ ข้าซูหงหลี่จะทำสิ่งใดได้อีก?”
ชายชราในชุดคลุมตกใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้ามีแผนจะลงมือเองหรือ?”
ซูหงหลี่พูดอย่างเฉยเมย “ข้าเคยพูดไปแล้ว ให้เวลาเขาได้ครุ่นคิด วันที่ห้าของเดือนห้าเป็นเส้นตาย แน่นอนว่าข้าจะไม่กลับคำ”
ในขณะนั้นเอง ข้ารับใช้ชราคนหนึ่งรีบเข้ามาและส่งมอบกล่องทองสัมฤทธิ์ปิดผนึกยาว
“นายท่านขอรับ สิ่งนี้มาจากจวิ้นอ๋องอวิ๋นกวงเชินจิ่วซง ว่ากันว่าเป็นจดหมายจากนายน้อยซูอี้ถึงท่าน เขียนโดยจวิ้นอ๋องเทียนหย่งเล่อชิงในช่วงชีวิตของเขา”
ซูหงหลี่หยิบกล่องทองสัมฤทธิ์ยาวเปิดฝา หยิบกระดาษจดหมายออกมา
บนกระดาษขาวมีข้อความหนึ่งที่ใช้เลือดเขียน
หลังจากอ่านจบ ซูหงหลี่ก็อดหัวเราะไม่ได้ เขายื่นจดหมายให้ชายชราในชุดคลุมเต๋าที่อยู่ข้าง ๆ กล่าวว่า “สหายเต๋า ลองอ่านดูเถิด”
ชายชราในชุดคลุมเต๋าอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว หลังจากอ่านมัน “ในวันที่สี่เดือนสี่จะมาเมืองนครหลวงอวี้จิง ในวันที่สี่เดือนห้า จะมาที่ตระกูลซูเพื่อถวายเครื่องบูชา และในวันที่ห้าเดือนห้าเยี่ยมหลุมศพท่านแม่? เขา… คิดจริง ๆ หรือ ว่าดาบของเขามีพลังที่จะสังหารบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้?”
ซูหงหลี่พูดอย่างเฉยเมย “บางที ลูกชายที่ชั่วร้ายผู้นั้นอาจมีอย่างอื่นให้พึ่งพาได้”
ชายชราในชุดคลุมส่ายหัว “ในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้ย่อมมีเสือหมอบมังกรซ่อน …ผู้ยิ่งใหญ่ผู้ใดจะไม่มีอำนาจในมือ? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ข้าเกรงว่าจักรพรรดิและราชครูหงเซินชางทั้งสองจะไม่สามารถทนดูพฤติกรรมเช่นนี้ได้”
ในสายตาของชายชรา เขาถือว่าการกระทำของซูอี้เป็น ‘เรื่องไร้สาระ’ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าเขาไม่พอใจแค่ไหน
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในสายตาของเขา เขายังถือว่าสหายเต๋าเป็นตัวตนในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ จึงคิดว่าตนเองสามารถงัดข้อกับสหายเต๋าได้อย่างมั่นใจ”
เมื่อพูดอย่างนั้น ชายชราในชุดคลุมเต๋าก็อดหัวเราะไม่ได้
มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่าในวันนี้ซูหงหลี่น่ากลัวเพียงใด!
“มันไม่มีประโยชน์ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เขาเขียนจดหมายถึงข้าอย่างเปิดเผย และเขายังร่ายกำหนดการไว้เสียด้วย เห็นทีจุดประสงค์คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการต่อสู้กับตระกูลซูในนครหลวงอวี้จิงแห่งนี้ และดูว่าข้าซูหงหลี่จะสามารถจัดการกับเขาได้เพียงไหน”
แววตาของซูหงหลี่เต็มไปด้วยความรังเกียจ “มันเป็นแค่กลอุบายของเด็ก ๆ”
ชายชราในชุดคลุมเต๋าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “สหายเต๋าจะจัดการกับเขาอย่างไร?”
ซูหงหลี่พูดอย่างเป็นกันเอง “ก่อนหน้านี้ ข้าให้เวลาบุตรชั่วคนนั้นคิดทบทวนให้ดี ทว่าตอนนี้เขากลับให้เวลาข้าหนึ่งเดือน สหายเต๋าท่านคิดว่าข้าควรทำอย่างไร?”
ชายชราในชุดคลุมส่ายหัว “ใจของสหายเต๋าลึกล้ำดุจดั่งมหาสมุทร ข้ามิอาจคาดเดาได้”
ซูหงหลี่ยิ้ม “เขามีความตั้งใจของเขา ข้าก็มีกฎของข้า เรื่องนี้ก็แค่ทำตามกฎ ก่อนวันที่ห้าเดือนห้า ข้าจะปล่อยให้เขาอาศัยในนครหลวงอวี้จิง จนกระทั่งวันที่สี่ของเดือนห้า …ข้าจะยังไม่ลงโทษเมื่อเขามาหยาบคายกับตระกูลซู”
หลังจากหยุดชั่วครู่ แววตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา และน้ำเสียงก็แฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น “แต่ในวันที่ห้าของเดือนห้า ข้าจะจบมันอย่างแน่นอน!”
ความหมายก็คือ เมื่อบอกว่าจะสังหารซูอี้ในวันที่ห้าเดือนห้า ก็จะสังหารเขาในวันที่ห้าเดือนห้า มันจะไม่เร็วหรือช้าไป
นี่เป็นทัศนคติที่ดูถูกอย่างยิ่ง และเป็นกฎเกณฑ์ที่ซูหงหลี่กระทำในตลอดชีวิตของเขา
ชายชราในชุดคลุมสามารถเข้าใจความหมายได้โดยธรรมชาติ ในดวงตาของเขามีแววแปลก ๆ อยู่พักหนึ่ง วันที่ห้าของเดือนห้า…
ต้องการที่จะแสดงฉากของบิดาและบุตรชายที่สังหารกันเองจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
ผิดแล้ว ตามที่เขียนไว้บนหัวจดหมายในเช้าวันที่สี่ของเดือนห้า ซูอี้จะมาที่บ้านของตระกูลซูเพื่อถวายเครื่องบูชา เมื่อถึงตอนนั้นจะต้องจุดชนวนให้เกิดภาพบิดาและบุตรชายสังหารกันเองแน่!
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากซูหงหลี่กล่าวว่าเขาจะยุติเรื่องนี้ในวันที่ห้าของเดือนห้า ดังนั้นในวันที่สี่ของเดือนห้า เขาจะยังไม่ฆ่าซูอี้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายชราที่สวมชุดเต๋าก็ค้นพบบางสิ่ง อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “สหายเต๋า เจ้าไม่คิดว่าซูอี้ค่อนข้างคล้ายกับเจ้างั้นหรือ?”
ซูหงหลี่ตกใจ “สหายเต๋า นี่หมายความว่าอย่างไร?”
ชายชราที่สวมชุดคลุมเต๋าครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของเขา ก่อนจะกล่าวว่า “บิดาและบุุตรมีความประพฤติคล้ายคลึงกันอย่างน่าประหลาด แต่ละคนมีกฎเกณฑ์ของตนเอง และพวกเขาต่างก็บอกการตัดสินใจของตนอย่างมีเกียรติ ไม่มีใครอยากทำตามกฎของคนอื่น”
“ลูกชั่วนั่นจะเทียบกับข้าได้อย่างไร?”
หลังจากที่ซูหงหลี่ได้ยินเรื่องนี้ เขาก็หัวเราะออกมา
ทว่าเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “สหายเต๋า อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ข้าให้โอกาสเขาแล้ว แต่น่าเสียดายที่เขาไม่หวงแหนชีวิตตนเอง และตอนนี้แม้ว่าเขาจะคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าข้า วันที่ห้าของเดือนห้าข้าก็จะไม่ใจอ่อนอีกต่อไป”
เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าชายชราในชุดคลุมกำลังพยายามเกลี้ยกล่อมให้เมตตา ให้นึกถึงความรักของบิดาที่พึงมีต่อบุตรชายเอาไว้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายชราผู้สวมชุดคลุมก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว ไม่พูดอะไรอีก
…
นครหลวงอวี้จิง พระราชวัง
ภายในคืนเดียวกัน
ในวังอันวิจิตรงดงาม ราชครูแห่งอาณาจักรต้าโจวหงเซินชาง ยืนอยู่ในชุดคลุมสีเทา
เขามีรูปลักษณ์ที่แปลกประหลาด ผมยาวถูกม้วนขึ้นไปโดยปิ่นหยก ใบหน้าของเขาสะอาดสะอ้านและดูอบอุ่น มีรูปร่างสูงตรงเหมือนต้นสนโดดเดี่ยวบนหน้าผา
สิ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือดวงตาสีเหลืองทองคู่นั้น เมื่อเหลือบมองไปทางผู้ใด ก็คล้ายว่าสามารถเจาะความลับในใจของคนผู้นั้นได้
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ง่ายดั่งที่เห็น มันหาใช่เรื่องราวการทะเลาะภายในบ้านของตระกูลซูไม่ ตามความคิดของข้า ควรส่งตัวตนขอบเขตปรมาจารย์ไปสืบความลับของซูอี้”
หงเซินชางเปิดปาก เสียงของเขาก้องกังวานในท้องพระโรงเหมือนเสียงระฆังยามเช้าและกลองยามเย็น
บนบัลลังก์มังกรกลางท้องพระโรง ชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมสีดำมีผมยาวกระจัดกระจาย และมีใบหน้าเหมือนมงกุฎหยก ดูอายุน้อยนั่งอยู่
แต่เมื่อลืมตาขึ้นก็พบร่องรอยของอายุ
นี่คือจักรพรรดิแห่งต้าโจวองค์ปัจจุบัน!
เขานั่งอยู่ที่นั่นอย่างสบาย ๆ ยิ้มและถอนหายใจ “จากเก้าราชาต่างสกุล บัดนี้เหลือเพียงเจ็ด และจากจวิ้นอ๋องทั้งสิบแปด บัดนี้กลายเป็นสิบห้า ซูอี้ผู้นี้ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักในอดีต เพียงการต่อสู้ครั้งนี้ก็เพียงพอแล้ว… ที่จะทำให้โลกตะลึงและเป็นที่รู้จัก!”
หงเซินชางกล่าวว่า “แต่บุคคลผู้คนนี้อาจเป็นหายนะแห่งต้าโจวได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของจักรพรรดิโจวจางลง เขาคิดไตร่ตรอง “ราชครู ท่านสงสัยว่าร่างกายของซูอี้ว่ามีบางอย่างผิดปกติใช่หรือไม่?”
หงเซินชางพยักหน้า “บนเส้นทางแห่งการฝึกฝน ไม่ยากเกินไปที่จะสูญเสีย แต่การจะบรรลุเป้าหมาย ย่อมเป็นเรื่องยากดุจปีนป่ายสวรรค์ ยกเว้นก็แต่มีมหาปราชญ์สวรรค์ช่วยเหลือ…”
“วิถีวิญญาณ…”
ดวงตาของจักรพรรดิโจวฉายแววมึนงงเล็กน้อย “เส้นทางสายนี้ถูกตัดขาดจากโลกแล้วไม่ใช่หรือ…”
หงเซินชางกล่าวว่า “ต้าโจวไม่มี ไม่ได้หมายความว่าที่อื่นอาจไม่มี อย่าลืมฝ่าบาท เจ้านายที่แท้จริงของมหาทวีปคังชิงคือต้าเซี่ย และในต้าเซี่ย ต้องมีผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณเป็นแน่!”
ต้าเซี่ย!
สายตาของจักรพรรดิโจวแปรเปลี่ยนเป็นคมกริบราวกับเหยี่ยว
บนมหาทวีปคังชิงมีหลายร้อยอาณาจักร!
ในหมู่พวกเขา มีอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดเพียงอาณาจักรเดียว นั่นคือต้าเซี่ย!
ต้าเซี่ยเป็นอาณาจักรของมหาทวีปคังชิงที่สมควรได้รับตำแหน่งนี้ ด้วยมีอาณาจักรภายใต้การควบคุมมากถึงห้าสิบอาณาจักร!
ขอบเขตของอิทธิพลนั้นกว้างขวางยิ่ง ครอบครองถึงครึ่งหนึ่งของมหาทวีปคังชิง!
ตามข่าวลือ ราชวงศ์ต้าเซี่ยมากไปด้วยตัวตนทรงพลัง การฝึกฝนบำเพ็ญของพวกเขามีอำนาจเพียงพอที่จะยับยั้งทั้งมหาทวีปคังชิง!
ในฐานะผู้ปกครองของอาณาจักรต้าโจว จักรพรรดิโจวย่อมรู้ดีว่าผู้มีอำนาจอย่างอาณาจักรต้าเซี่ยนั้นทรงพลังเพียงใด
ไม่ว่าจะเป็นอาณาจักรต้าโจว อาณาจักรต้าเว่ย หรืออาณาจักรต้าฉินที่อยู่ติดกับต้าโจว เมื่ออยู่ต่อหน้าต้าเซี่ย พวกเขาทั้งหมดก็เป็นเหมือนอาณาจักรธรรมดา
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาณาเขตของต้าโจวอยู่ในมุมหนึ่ง ซึ่งอยู่ไกลจากอาณาจักรต้าเซี่ยมาก ป่านนี้ก็คงจะถูกต้าเซี่ยยึดครองไปแล้ว!
“อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณของต้าเซี่ยจะแผ่อิทธิพลมายังที่ห่างไกลเช่นนี้เชียวหรือ? จากมุมมองของข้า ปัญหาของซูอี้จะต้องเป็นอย่างอื่นมากกว่า”
หงเซินชางกล่าวต่อว่า “ถ้าฝ่าบาทสืบสาวราวเรื่อง ฝ่าบาทจะพบว่าภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน ซูอี้ได้ใช้เพียงหนึ่งดาบ สังหารตัวตนบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ลง!”
สายตาของจักพรรดิโจวเปลี่ยนไป พระองค์กล่าวว่า “ราชครู ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าเมื่อซูหงหลี่ยังหนุ่ม เขาได้รับโชคอันยิ่งใหญ่จาก ‘หุบเขามารตาข่ายเร้น’ และก้าวหน้าอย่างมากในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขามองไปที่หงเซินชางและพูดเบา ๆ ว่า “ข้ารู้สึกว่าประสบการณ์ของซูอี้ คล้ายกับพ่อของเขาไม่น้อย”
ใบหน้าของหงเซินชางแปลกไปเล็กน้อย
ทว่าก่อนที่เขาจะได้พูดต่อ จักพรรดิโจวก็ได้ตัดสินพระทัยแล้ว “ซูหงหลี่ย่อมแก้ปัญหานี้ได้”
หลังจากหยุดสักพัก จักพรรดิโจวยิ้ม “และข้าเชื่อว่าซูหงหลี่จะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่ข้า”
หงเซินชางเงียบ
แม้ว่าเขาจะมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป แต่เขาก็รู้ว่าเมื่อจักรพรรดิโจวตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าตนเองจะเป็นใคร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเจตจำนงของจักพรรดิได้อีกต่อไป!!