บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 262 สิ่งผิดปกติทั้งมวลล้วนเป็นลางบอกเหตุ
ตอนที่ 262: สิ่งผิดปกติทั้งมวลล้วนเป็นลางบอกเหตุ
ตอนที่ 262: สิ่งผิดปกติทั้งมวลล้วนเป็นลางบอกเหตุ
ดึกสงัด
ไม่นานนักซูหงหลี่ก็ทราบถึงท่าทีที่จักรพรรดิโจวมีต่อเรื่องนี้
ถึงแม้ว่าจักรพรรดิโจวจะยังคงให้ตระกูลซูจัดการกับเรื่องนี้เหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว ทว่าหัวคิ้วของซูหงหลี่กลับขมวดขึ้นมาน้อย ๆ
ชายชราในชุดคลุมเต๋าก็รู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน เขาจึงกล่าวคำออก “การที่ฝ่าบาทเก็บมือเพียงแค่มองเช่นนี้ ภายนอกดูเหมือนให้ความเคารพต่อสหายเต๋า แต่ท่าทีลักษณะนี้ดูเหมือนจะเย็นชาไปสักหน่อย”
ซูหงหลี่นิ่งเงียบไปชั่วครู่จึงกล่าว “นี่คือความขัดแย้งระหว่างผู้ฝึกตนกับผู้กุมอำนาจในโลกสามัญ ในสายตาของข้า ผู้กุมอำนาจในโลกสามัญเปรียบเสมือนหมอกควันที่ผ่านตา ไม่มีค่าให้ฝักใฝ่แสวงหา ทว่าในสายตาขององค์จักรพรรดิ พระองค์ยังคงมองข้าเป็นขุนนางของเขา”
“ในช่วงเวลาสิบปีมานี้ ข้าเก็บตัวไม่ออกไปไหน ไม่ฟังคำสั่งโยกย้าย ไม่สนใจเรื่องภายนอก และปฏิเสธความคิดของฝ่าบาทที่จะให้ข้ารับราชการ ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง นี่คือสาเหตุของปมปัญหา”
แววตาของเขาเกิดประกายประหลาดขึ้นมา ขณะกล่าวว่า “อันที่จริงข้ารู้ดีว่าฝ่าบาททรงนึกสงสัยมาตลอดว่าที่แท้แล้วตอนที่ข้าซูหงหลี่ยังเป็นหนุ่มได้รับดวงชะตาอันยิ่งใหญ่อันใดจากหุบเขามารตาข่ายเร้น”
“บัดนี้ เหลืออีกแค่ก้าวเดียวฝ่าบาทก็จะสามารถก้าวสู่หนทางแห่งวิถีต้นกำเนิดแล้ว ทว่าก้าวเดียวนี้กลับหยุดยั้งฝ่าบาทไปถึงสามปีเต็ม ๆ จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถสมความปรารถนาได้”
ฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของชายชราในชุดคลุมเต๋าก็เปลี่ยนไป แล้วกล่าวคำออก “หรือว่า ฝ่าบาทต้องการดวงชะตาที่สหายเต๋าได้รับจากหุบเขามารตาข่ายเร้นในตอนนั้น?”
ซูหงหลี่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ความคิดของฝ่าบาทไม่ใช่สิ่งที่จะคาดเดาได้ง่าย ๆ หากคิดว่าพระองค์ต้องการดวงชะตาในตัวของข้าล่ะก็ คงจะคิดตื้นเกินไปเสียแล้ว”
ชายชราในชุดคลุมเต๋าพยักหน้าพลางกล่าว “ข้าไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ถึงแม้ในมหาทวีปคังชิงแห่งนี้จะเป็นภูมิแห่งโลกสามัญ ทว่าท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สามารถทำให้มนุษย์หยุดยืนอยู่จุดยอดแห่งโลกภูมิได้อย่างแท้จริงก็คือพลังที่ผู้ฝึกตนบำเพ็ญครอบครอง ไม่ใช่อำนาจจักรพรรดิแห่งโลกสามัญ”
ซูหงหลี่กลับหัวเราะขึ้นมา เขากล่าว “สหายเต๋า หากว่ามีอำนาจจักรพรรดิแห่งโลกสามัญ อีกทั้งยังครอบครองอำนาจการฝึกตนที่เพียงพอจะสร้างความหวาดกลัวต่อสรรพชีวิตเล่า ผลที่ได้ควรจะเป็นเช่นใด?”
ชายชราในชุดคลุมเต๋านิ่งเงียบไป
——
ในคืนนั้น
‘หอสิบทิศ’ ที่ขึ้นชื่อว่าลึกลับไปทั่วพิภพประกาศต่อทุกคนถึงเรื่องการต่อสู้ภายในที่ว่าการจวนเจ้าแคว้นแห่งแคว้นกุ่น ถึงกับทำให้กองกำลังน้อยใหญ่ในอาณาเขตต้าโจวต้องสะดุ้งตื่นขึ้นจากฝันหวาน สร้างความแตกตื่นฮือฮาอย่างใหญ่หลวง
และในคืน ๆ นี้ ชื่อของซูอี้ก็โด่งดังไปทั่วอาณาจักรต้าโจวขึ้นมา
คล้ายดั่งดาวหางที่โฉบผ่านท้องฟ้ายามค่ำคืน แสงเจิดจ้านั้นเป็นที่จับตามองของคนจำนวนนับไม่ถ้วน
เรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับซูอี้ถูกหอสิบทิศขุดคุ้ยขึ้นมาแสดงต่อสาธารณชน ดุจดังหินหล่นก้อนเดียวสร้างคลื่นพันชั้น
“บุตรชายของซูหงหลี่กลับเป็นศัตรูกับตระกูลซู? เรื่องนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่?”
มีคนสงสัยไม่เข้าใจ
“ปรมาจารย์หนุ่มอายุสิบเจ็ด เดิมทีก็โดดเด่นเป็นที่จับตามองอยู่แล้ว ใครกันจะคาดคิดว่าปรมาจารย์หนุ่มน้อยเช่นนี้กลับสามารถฆ่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้?”
“อสูรร้ายชัด ๆ!”
บางคนสั่นหัว ยากนักจะเชื่อ
“ราชาคิ้วขาว ราชาปราการเพลิง จวิ้นอ๋องแห่งอวี้ซาน จวิ้นอ๋องแห่งเทียนหย่ง… บุคคลยิ่งใหญ่เกรียงไกรในใต้หล้าแต่ละคนกลับถูกซูอี้ฆ่าตายได้?”
“สวรรค์ เหตุการณ์นองเลือดในงานเลี้ยงน้ำชาเขาประจิมที่แคว้นกุ่นก็เป็นฝีมือของซูอี้เช่นกันอย่างนั้นหรือ?”
“เมื่อหลายเดือนก่อน ซูอี้ยังเป็นเพียงแค่ซากขยะไร้ซึ่งผลการฝึกตน เป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านตระกูลเหวินแห่งเมืองกว่างหลิงคนหนึ่งเท่านั้น แต่ตอนนี้กลับก้าวกระโดดมาเป็นตัวตนที่น่าหวาดกลัวไร้ผู้ทัดเทียม ไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย! ”
“เหตุใดจึงมีคนเช่นนี้อยู่ในโลกได้?”
ท่ามกลางราตรีอันมืดมนดังน้ำหมึกเช่นนี้ เสียงแห่งความประหวั่นพรั่นพรึง สับสน งงงัน และยากนักจะเชื่อแต่ละเสียงดังขึ้นในที่ ๆ ต่างกันไปภายในอาณาจักรต้าโจวอย่างต่อเนื่อง
ไม่รู้ว่ามียอดยุทธ์จำนวนเท่าใดที่ถึงกับสั่นสะท้าน
และไม่รู้เช่นกันว่ามีกองกำลังมากน้อยเพียงใดที่เร่งทำการวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของซูอี้ในค่ำคืนนี้
แต่สิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้าก็คือ เมื่อวันเวลาผ่านพ้นไป ทุกคนในใต้หล้าล้วนรับรู้เหตุการณ์นองเลือดบนเขาประจิมแห่งแคว้นกุ่น การต่อสู้ ณ ที่ว่าการเจ้าแคว้น เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของซูอี้
บนเขานภาเมฆ
ณ เรือนพำนักภูผาเขียว ความมืดปกคลุม
“ที่แท้ก็คือเจ้าหนุ่มที่ลักท้อไฟหยางบริสุทธิ์สามผลของข้าคนนั้น…”
เก๋อฉางหลิงถือพัด นั่งหน้าเตาหลอมยา แววตาดูประหลาดไปเล็กน้อย
‘ราชากลืนสมุทร’ ผู้มีชื่อเสียงไปทั่วอาณาจักรต้าโจวตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อนท่านนี้กลับคล้ายผู้เฒ่าร่างผ่ายผอม ผมเคราขาวแซมดำ แววตาใสบริสุทธิ์ดุจดังทารก
เขาไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องใด ๆ ในโลกหล้ามานานมากแล้ว อยู่ว่างมานานหลายปี สงบจิตใจกับการหลอมยา
ทว่าคืนนี้กลับตื่นตะลึงเพราะข่าวจากหอสิบทิศ
เมื่อรู้เรื่องราวในอดีตของซูอี้แล้ว เก๋อฉางหลิงก็นึกถึงข่าวที่เก๋อเฉียนผู้เป็นศิษย์นำกลับมาจากสันเขามารดาภูตผีเมื่อสองเดือนก่อนขึ้นมา
เคยมีหนุ่มน้อยนามว่าซูอี้สลักอักษรติดที่ต้นท้อไฟต้นหนึ่งว่า ‘ซูอี้เด็ดท้อไฟไปสามผลในคืนวันที่สี่เดือนสองศักราชต้าโจว’
“ไม่ผิดความคาดหมาย เรื่องราวผิดปกติในใต้หล้านับวันก็ยิ่งมีมากขึ้นทุกที…”
เก๋อฉางหลิงพึมพำ
เมื่อสามสิบปีก่อน เขาก็เบียดตัวขึ้นมาอยู่ในรายนาม ‘สิบอันดับบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่’ จนถึงวันนี้ น้อยคนนักที่จะรู้ว่าการฝึกตนของเก๋อฉางหลิงไปถึงขั้นไหนแล้ว
“หรือจะจริงตามคำกล่าวบนป้ายหินที่ข้าพบเจอใน ‘หุบเขามารเถาวัลย์เขียว’ เมื่อครั้งนั้นที่ว่า ในใต้หล้าจักต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจทราบได้?”
เก๋อฉางหลิงตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เมื่อหลายปีก่อน เขาเคยเข้าไปเสาะหาโอกาสสัมพันธ์ภายใน ‘หุบเขามารเถาวัลย์เขียว’ ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดมหาหุบเขามาร และบังเอิญเจอป้ายหินบิ่นแผ่นหนึ่งเข้า
บนป้ายหินนั้นสลักคำกล่าวประโยคหนึ่งด้วยอักษรโบราณว่า
‘พลังที่ถูกปิดตายจักต้องเปิดเผยขึ้น’
‘ทุกสิ่งที่เคยปิดครอบจักต้องถูกตีแตก’
‘ความอึกทึกอันยิ่งใหญ่เมื่อวันวานและกลิ่นคาวเลือดจักต้องกลับมาอีกครั้ง’
‘ก่อนที่ปริศนาจะถูกเฉลย สิ่งผิดปกติทั้งมวลล้วนเป็นลางบอกเหตุ!’
ไม่รู้เช่นกันว่าผู้ใดสลักตัวอักษรแต่ละบรรทัดเหล่านั้นไว้ ถึงแม้จะถูกวันเวลากัดกร่อน อักษรเลือนราง ทว่ากลับคงไว้ซึ่งพลังอันน่าสะพรึงกลัว
นับตั้งแต่เห็นคำกล่าวนั้นแล้ว ในช่วงหลายปีมานี้เก๋อฉางหลิงก็มักจะนึกถึงอยู่บ่อย ๆ ราวกับมารแห่งความฝันที่ไม่ยอมเลือนหายไป
จนกระทั่งถึงวันนี้ เวลาผ่านไปนานมาก เก๋อฉางหลิงผู้ที่รู้ความลับซึ่งคนมากมายไม่รู้ เริ่มเข้าใจคร่าว ๆ บ้างแล้วว่ามหาทวีปคังชิงแห่งนี้ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนดังที่แสดงออกภายนอก
ลำพังเพียงแค่ส่วนที่ลึกเข้าไปในแปดมหาหุบเขามารในอาณาจักรต้าโจวก็ซุกซ่อนความน่ากลัวและความลี้ลับไว้มากแล้ว!
ยิ่งเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ก็ยิ่งทำให้เขารู้ว่าอักษรที่เห็นบนป้ายหินแผ่นนั้นจะต้องไม่ใช่คำทำนายที่เลื่อนลอยไร้ซึ่งเหตุผลอย่างแน่นอน
แต่เป็นข้อสันนิษฐานที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริงบางอย่าง!
“ก่อนที่ปริศนาจะถูกเฉลย สิ่งผิดปกติทั้งมวลล้วนเป็นลางบอกเหตุ…”
แววตาของเก๋อฉางหลิงที่จับจ้องอยู่เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย “ซูอี้คนนี้… ก็คือตัวตนที่ผิดปกติอย่างไม่ต้องสงสัย… หรือว่า นี่คือหนึ่งในลางบอกเหตุ?”
ผ่านไปนานมาก เก๋อฉางหลิงจึงส่ายหน้า
เรื่องราวเช่นนี้เกินกว่าการรับรู้ของเขา ถึงแม้จะมีข้อสงสัยและคาดเดา แต่ก็ไม่กล้าปักใจเชื่ออย่างแน่แท้
ทว่าคืนนี้ หลังจากที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับซูอี้แล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าคำกล่าวที่เห็นบนป้ายหินแผ่นนั้น อาจจะเป็นจริงเข้าสักวัน!
ภายใต้ราตรีเดียวกัน
พรมแดนทางเหนือของอาณาจักรต้าโจว ในเมืองแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ติดกับ ‘ขุนเขาปีศาจเพลิงเงิน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดมหาหุบเขามาร
สาวน้อยในชุดสีขาวสะอาดประดุจเกล็ดหิมะสะพายดาบโบราณ นั่งสงบอยู่บนกำแพงเมืองที่ว่างเปล่าปราศจากคนแม้แต่คนเดียว ราตรีที่สาดส่องลงมานั้นมืดมิด ดวงดาวส่องประกายพร่างพราว
“หรือว่าซูอี้คนนี้จะถูกผู้ฝึกตนนอกภูมิสิงสถิต? หรือว่าได้รับพลังลึกลับที่ถูกปิดตายจากที่ใดสักแห่ง?”
สาวน้อยชุดสีขาวหยิบน้ำเต้าสุราออกมาจิบเบา ๆ อึกหนึ่ง บนใบหน้าที่สงบนิ่งอ่อนโยนฉายแววครุ่นคิดออกมา
ผ่านไปนาน นางก็เก็บน้ำเต้าสุราแล้วลุกขึ้นยืนบนกำแพงเมือง
หมอกไอบางเบาราวกับความฝันผุดขึ้นภายใต้ดาวจรัสแสง ร่างอรชรโปร่งบางคล้ายกับเซียนฉางเอ๋อร์บนดวงจันทร์
ทว่าดาบโบราณที่สะพายอยู่ข้างหลังกลับเติมแต่งกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม
“เมื่อข้ากลับมาจากขุนเขาปีศาจเพลิงเงิน ข้าจะไปพบกับคน ๆ นี้”
สาวน้อยชุดสีขาวแสดงท่าทีตัดสินใจมุ่งมั่นออกมา จากนั้นก็หายตัวไปราวกับแสงไฟที่บางเบา หายไปจากราตรีที่อ้างว้าง
สาวน้อยผู้นี้นามว่าเยว่ซือฉาน
นางยังมีสมญานามที่เลื่องลืออีกสมญานามว่า ราชาขนนกแห่งอาณาจักรต้าโจว!