บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 263 ถูกมองว่าเป็นตัวหายนะ
ตอนที่ 263: ถูกมองว่าเป็นตัวหายนะ
ตอนที่ 263: ถูกมองว่าเป็นตัวหายนะ
ณ สำนักดาบมังกรเร้น
บนยอดขุนเขากลั่นหยก ที่นี่คือสถานฝึกตนของเซียนฮัวซง
“ในตัวของซูอี้มีความแปลกประหลาดอยู่จริง ๆ”
ผู้เฒ่าใบหน้าอ่อนเยาว์นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในหอไม้ไผ่ที่งดงาม สีหน้าตื่นตะลึง ความประหลาดใจผุดขึ้นกลางระหว่างคิ้ว
“ท่านอาจารย์ ท่านมองเห็นสิ่งใดหรือขอรับ?”
ฉางกั้วเค่ออดถามไม่ได้
คืนนี้ หลังจากที่หอสิบทิศประกาศข่าวต่อคนภายนอก ฉางกั้วเค่อก็พลันทราบถึงการต่อสู้อันนองเลือด ณ จวนเจ้าแคว้นกุ่น ในใจรู้สึกตื่นตะลึงจนยากจะรับไหว
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมาขอคำชี้แนะจากเซียนฮัวซงผู้เป็นอาจารย์ของเขา
“ในอาณาเขตต้าโจว ตัวตนที่มีความพิเศษในตัวนั้นก็พอมีอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่นซูหงหลี่ผู้เป็นใหญ่แห่งตระกูลซูในวัยเยาว์ ราชครูหงเซินชาง ราชาขนนกเยว่ซือฉาน หนิงซือฮวาเจ้าตำหนักเทียนหยวน เฟิงเจี้ยนอิงเจ้าตำหนักซิงหยา ราชาสะกดขุนเขามู่ซี เป็นต้น…”
เงียบไปสักครู่ เซียนฮัวซงจึงกล่าวคำ “แต่ความพิเศษและโชคชะตาในตัวของพวกเขาส่วนใหญ่แล้วมีความเกี่ยวข้องกับแปดมหาหุบเขามาร บ้างได้รับถ่ายทอดการฝึกตน บ้างได้รับสิ่งล้ำค่าบางอย่างสำหรับฝึกตน บ้างสืบทอดพลังลึกลับบางอย่าง บ้างดื่มกินของวิเศษล้ำค่าบางอย่างที่มีความแปลกพิสดาร…”
“แต่ซูอี้ไม่เหมือนกับพวกเขา!”
พูดถึงตรงนี้ แววตาของเซียนฮัวซงก็ฉายแววลุ่มลึก เปล่งประกายแห่งปัญญา “ตามที่เจ้ากล่าวมา เขาเข้าฝึกตนในสำนักดาบชิงเหอเมื่อตอนอายุสิบสี่ พออายุสิบหกผลการฝึกมลายหายไปสิ้นจนกลายเป็นศิษย์ที่ถูกทอดทิ้ง ต้องไปเป็นเขยแต่งเข้าบ้านตระกูลเหวิน ทุกอย่างทั้งหมดนี้ดูแล้วธรรมดาไม่มีสิ่งใดพิเศษแม้แต่น้อย”
“แต่เมื่อวันที่สองเดือนสอง เขากลับเริ่มแสดงความไม่ธรรมดาออกมา จนกระทั่งถึงตอนนี้ภายในระยะเวลาสองเดือนก็สามารถบรรลุเป็นปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถฆ่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อย่างราชาคิ้วขาวได้อย่างง่ายดาย แปลกเกินธรรมดาอย่างไม่ต้องสงสัย”
“เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวว่าเป็นเพราะได้รับโอกาสสัมพันธ์และโชคชะตา ข้าสงสัยว่า…”
เซียนฮัวซงลังเลสักครู่จึงกล่าวเสียงเคร่งขรึม “เด็กคนนี้ อาจจะถูกสิงสถิต!”
สิงสถิต!
ฉางกั้วเค่อสูดปาก
สำนักดาบมังกรเร้นเป็นสำนักฝึกตนอันดับหนึ่งในต้าโจว
และเซียนฮัวซงผู้เป็นอาจารย์ของฉางกั้วเค่อก็เป็นผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดอันดับต้น ๆ ของสำนักดาบมังกรเร้น เป็นเทพเซียนเดินดินอย่างแท้จริง!
เมื่อได้ยินคำสันนิษฐานเช่นนี้จากปากของเซียนฮัวซง จึงเป็นธรรมดาที่จะเกิดความตื่นตระหนกตกใจ
“แน่นอน และก็เป็นไปได้เช่นกันว่าในตัวของเขาอาจจะมีความลี้ลับอย่างอื่น”
เซียนฮัวซงคิดสักครู่จึงกล่าว “แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ข้ามั่นใจได้ว่าซูอี้คนนี้ต้องทำให้เกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่”
ฉางกั้วเค่อตื่นตระหนกขึ้นมา แล้วกล่าวคำออก “ท่านอาจารย์ เช่นนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
“เกิดเหตุผิดประหลาดจักต้องมีอสูร”
แววตาของเซียนฮัวซงราบเรียบ “ซูอี้อายุเพียงแค่สิบเจ็ดปี เพียงระยะเวลาแค่สองเดือนเท่านั้นก็สามารถเลื่อนผลการฝึกตนจากขอบเขตโคจรโลหิตบรรลุถึงปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง อีกทั้งกำลังการต่อสู้ยังร้ายกาจรุนแรงถึงเพียงนั้น ใครกันที่ดูไม่ออกว่าในตัวของเขาซ่อนความลับยิ่งใหญ่เอาไว้?”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาจึงกล่าวต่อ “คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก*[1] ใครกันที่ไม่ต้องการอยากจะรู้ว่าที่แท้แล้วความลับในตัวของซูอี้นั้นคืออะไร? ใครก็ตามที่เป็นผู้ฝึกฝนบำเพ็ญ ใครบ้างไม่คาดหวังว่าจะแย่งสิ่งล้ำค่านั้นมาครอบครอง?”
สีหน้าของฉางกั้วเค่อเปลี่ยนไป ในที่สุดก็เข้าใจความหมาย
แต่เขาก็ยังคงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “พลังในตอนนี้ของคุณชายซูถึงขั้นสามารถฆ่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครกันจะกล้าคิดแก่งแย่งชิงดีกับเขา?”
เซียนฮัวซงกล่าวเบา ๆ “ผู้ฝึกฝนบำเพ็ญปกติทั่วไปในโลกสามัญแห่งนี้ย่อมไม่กล้าเป็นธรรมดา แต่อย่าลืมว่าในโลกนี้ยังมีเทพเซียนเดินดินอยู่อีก!”
“หรืออาจจะกล่าวอีกอย่างได้ว่า ในกลุ่มบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ก็มีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่มีความแข็งแกร่งมากแต่ไม่เปิดเผย ไม่ใช่บุคคลที่ราชาปราการเพลิงเซี่ยโหวหลินจะสามารถเทียบเคียงได้ ยกตัวอย่างเช่นราชาขนนก ซูหงหลี่ และหงเชินซางเป็นต้น”
พูดถึงตรงนี้ เซียนฮัวซงเบนสายตามองไปยังฉางกั้วเค่อ “เหล่านี้เป็นเพียงแค่สิ่งที่พวกเราสามารถมองเห็นเท่านั้น ในอาณาเขตต้าโจวแห่งนี้มีบุคคลที่ร้ายกาจไม่มีใครรู้จักอีกมาก เจ้าอย่าลืมสิว่ากองกำลังฝ่ายอธรรมอย่างพรรคมารหยินยังคงพรางตัวอยู่ในโลก”
“เรื่องนี้…” สีหน้าของฉางกั้วเค่อสับสน
และในขณะนี้เอง เสียงฝีเท้าของคน ๆ หนึ่งก็ดังขึ้น ชิงจินผู้งดงามเฉิดฉายร่างสูงโปร่งก็เดินเข้ามา
หลังจากที่คารวะกันแล้ว ชิงจินก็กล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว “ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้ รองเจ้าสำนักฉือเฟิงหลิวส่งคนออกจากสำนัก สงสัยว่าคงจะส่งไปแคว้นกุ่นเพื่อประมือกับซูอี้!”
“อะไรนะ?”
ฉางกั้วเค่อตกใจ
เซียนฮัวซงถามพลางขมวดคิ้ว “เขาส่งใครไป?”
ชิงจินตอบเบา ๆ “ผู้อาวุโสหลี่ตงหลิวแห่งหอชวนกง ผู้อาวุโสใหญ่สายนอกหลีชัง กับผู้อาวุโสรองเลี่ยวอวิ้นหลิ่ว”
ฉางกั้วเค่อถึงกับนั่งไม่ติด
หลี่ตงหลิว!
เขาเป็นถึงลูกพี่ใหญ่ที่ดำรงอยู่ในขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์มานานถึงยี่สิบปี พื้นฐานในตัวแก่กล้าไม่มีใครเทียบ อีกทั้งฝึกฝนจนมีเคล็ดวิชาลับมากมาย บุคคลระดับเดียวกันในโลกสามัญไม่อาจเทียบเคียงได้
นอกจากนี้ ผู้อาวุโสใหญ่นอกสำนักหลีชังกับอาวุโสรองเลี่ยวอวิ้นหลิ่วก็เป็นบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมานาน พวกเขาออกเดินทางพร้อมกัน ความยิ่งใหญ่ระดับนี้สามารถผงาดอยู่ในโลกสามัญอย่างต้าโจวได้สบาย!
“เจ้าสำนักมีความเห็นว่าอย่างไร?”
เซียนฮัวซงถามอีกครั้ง
ชิงจินส่ายหน้าพลางตอบ “เจ้าสำนักกำลังเก็บตัวฝึกตน คงยังไม่ทราบเรื่องนี้”
เซียนฮัวซงคิดสักครู่ ความเย็นยะเยือกผุดขึ้นในสายตา เขากล่าว “หลายปีมานี้ ฉือเฟิงหลิวถือว่ามีปี้เซียวจื่อคอยหนุนหลัง ยิ่งกำเริบหนักขึ้นทุกวัน!”
ปี้เซียวจื่อ
หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักดาบมังกรเร้น ใหญ่เป็นอันดับสอง พูดถึงฐานะแล้วยังเป็นใหญ่กว่าเซียนฮัวซงที่ใหญ่เป็นอันดับสาม
ฉางกั้วเค่อลังเลสักครู่ สุดท้ายยังคงกัดฟันกล่าว “ท่านอาจารย์ คุณชายซูมีบุญคุณต่อข้ากับศิษย์น้อง…”
ทว่าไม่รอให้เขาพูดจบ เซียนฮัวซงก็ยกมือขึ้นตัดบท “เรื่องนี้ พวกเราไม่อาจสอดมือเข้าไปแทรกได้ สถานการณ์ในตอนนี้ ความหายนะในตัวซูอี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นหายนะจากจักรพรรดิแห่งต้าโจว หายนะจากตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง หรือหายนะจากผู้ที่คิดจะครอบครอง ‘หยก’ ล้ำค่าในตัวเขาเหล่านั้น คงไม่มีใครยอมปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน”
“ในสถานการณ์เช่นนี้ หากพวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จะเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัว”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเซียนฮัวซงเคร่งเครียดขึ้นจากเดิมพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พวกเจ้าจงฟังให้ดี อย่าได้เกี่ยวข้องกับซูอี้อีก!”
ฉางกั้วเค่อมีสีหน้าสับสน ความรู้สึกผิดหวังผุดขึ้นเต็มหัวใจ เขากล่าว “ท่านอาจารย์ มีคุณไม่ทดแทน เป็นสิ่งที่ข้าควรกระทำเช่นนั้นหรือ?”
ชิงจินก็รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจเช่นกัน กระทั่งรองเจ้าสำนักฉือเฟิงหลิวยังกล้าส่งคนออกไปประมือกับซูอี้ เหตุใดท่านอาจารย์กลับเกรงกลัวภัยพิบัติจะลามมาถึงตัว?
เซียวฮัวซงกล่าวด้วยไม่ความพอใจ “เหลวไหล บอกเจ้าไปตั้งมากมาย หรือว่ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าซูอี้นั้นเป็นหายนะที่ร้ายแรงเพียงใด? ฉางกั้วเค่อ หากว่าเจ้าเก่งมีความสามารถก็ไปตอบแทนบุญคุณเองก็แล้วกัน!”
“แต่เจ้าจงจำไว้ให้ดี หากว่าเจ้ากล้าทำเช่นนั้น เจ้าจะไม่ใช่ศิษย์ของข้าฮัวซงอีกต่อไป!”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป
ฉางกั้วเค่อยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หายใจแรงจนทรวงอกกระเพื่อมอย่างเห็นได้ชัด
ชิงจินพูดเบา ๆ ปลอบใจ “ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์หวังดีต่อพวกเรา เรื่องนี้… ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราสามารถเข้าไปเกี่ยวข้องได้จริง ๆ อย่างไรก็ต้องตอบแทนบุญคุณ วันข้างหน้าพวกเราค่อยหาโอกาสอีกครั้ง”
ฉางกั้วเค่อกล่าวด้วยสีหน้าหมองหม่น “ศิษย์น้อง เจ้าก็คิดว่าพวกเราต้องเพิกเฉยต่อเรื่องนี้เช่นกันอย่างนั้นหรือ?”
“ข้า…”
ชิงจินลังเลสักครู่จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ข้าก็ไม่รู้…”
ฉางกั้วเค่อนิ่งเงียบไป
——
ปัง!
ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิง
โหยวชิงจือขว้างกาหยกสีโลหิตใบงามลงกับพื้นอย่างแรง สีหน้าโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก
อีกด้าน ซูป๋ออิ๋นก็กล่าวปลอบใจเสียงอ่อนโยน “ท่านแม่ เหตุใดต้องโกรธด้วย? ต่อให้ซูอี้ร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ก็ไม่อาจดิ้นรนได้นานนักหรอก ข้าว่าครั้งนี้บิดาต้องจัดการขั้นเด็ดขาดแน่แล้ว ไม่มีทางให้โอกาสเขาก้มหน้ายอมรับผิดอีกครั้ง เรื่องนี้ควรจะเป็นเรื่องดี”
พูดจบ ความอิจฉาริษยาและไม่ยอมแพ้ก็ผุดขึ้นในใจของเขา
ในตระกูลซู เขาเป็นบุคคลรุ่นใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วประดุจต้นไผ่และมีความโดดเด่นเป็นที่สุด อายุเพียงแค่สิบหกปีก็ย่างก้าวเข้าสู่ขอบเขตปรมาจารย์ มีชื่อเสียงดังทั่วนครหลวงอวี้จิง ได้รับการยกย่องจากบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด
แม้กระทั่งจักรพรรดิโจวก็ยังชื่นชมเขาว่าเป็น ‘เสือเกิดใหม่แต่กลับมีพลังกลืนกินสัตว์ใหญ่อย่างวัวควาย ไม่ด้อยไปกว่าบิดาตอนเป็นวัยหนุ่ม’
นี่เป็นคำชื่นชมยกย่องอย่างที่สุด
ผู้อาวุโสสูงสุดปี้เซียวจื่อแห่งสำนักดาบมังกรเร้นยังเคยกล่าวว่าต้องการจะรับเขาไปเป็นศิษย์สายตรง
ถึงแม้สุดท้ายจะถูกซูหงหลี่บิดาของเขาปฏิเสธไปแล้วก็ตาม ทว่าเรื่องนี้ยังคงเป็นที่ฮือฮากันทั่วนครหลวงอวี้จิง เกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่รู้เท่าใดต่อเท่าใด
และก็ทำให้ซูป๋ออิ๋นได้เชิดหน้าชูตาในบรรดาคนหนุ่มรุ่นใหม่แห่งนครหลวงอวี้จิงอีกด้วย
ทว่าตอนนี้…
บุตรอนุที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเขาดูแคลนและเหยียดหยาม ทว่าภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่สองเดือนกลับมีพลังฆ่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้!
เรื่องนี้สร้างความกระเทือนใจอย่างแรงต่อซูป๋ออิ๋นผู้เย่อหยิ่งลำพองตนมาโดยตลอด เมื่อขาดความสมดุลขึ้นในใจก็ยากนักจะรับได้ในเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
แต่ว่าซูป๋ออิ๋นปิดบังความรู้สึกภายในใจของตัวเองได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยจากการแสดงออกภายนอก เขาก็ยังคงมีสีหน้าราบเรียบเหมือนเมื่อในอดีต
“ข้าเพียงแค่คาดไม่ถึงว่ามารหัวขนที่เกิดกับนางแพศยาเยี่ยอวี่เฟยนั่นจะเปลี่ยนแปลงไปได้มากถึงเพียงนี้ หากรู้เช่นนี้เสียแต่แรก ข้าจะไม่ยอมใจอ่อน ควรจะกำจัดทิ้งเสียตั้งแต่ตอนที่เขาเข้าสู่สำนักดาบชิงเหอเมื่อตอนอายุสิบสี่แล้ว!”
โหยวชิงจือกัดฟันกรอด สายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
ไม่มีใครรู้ว่ามีอยู่หลายต่อหลายครั้งที่นางเกือบทนไม่ไหวอยากจะส่งคนไปฆ่าซูอี้ตอนที่ซูอี้แอบหนีออกจากบ้านเมื่อตอนอายุสิบสี่
สาเหตุที่สุดท้ายไม่ได้ลงมือฆ่าไม่ใช่เพราะใจอ่อน
แต่เป็นเพราะนางเข้าใจดีว่าหากฆ่าซูอี้ในตอนนั้น ซูหงหลี่จะต้องโกรธเกลียดตัวเองอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่สายเลือดของซูหงหลี่ก็ยังคงไหลวนอยู่ในตัวของซูอี้
นี่ต่างหากจึงเป็นสาเหตุที่โหยวชิงจือไม่กล้าลงมือ
ซูป๋ออิ๋นสูดหายใจลึก ๆ “ท่านแม่ ฆ่าซูอี้ตอนนี้ก็ยังไม่สาย ยิ่งเขาอยู่สบาย ก็ยิ่งตายอย่างอนาถ! ท่านแม่อย่าได้โกรธเพราะเรื่องนี้อีกเลย ไม่คู่ควร”
โหยวชิงจือควบคุมสติอารมณ์ มองดูซูป๋ออิ๋นด้วยสายตาอ่อนโยนพลางกล่าว “ลูกรัก แม่รู้ว่าในใจของเจ้าก็ไม่อยากจะเห็นมารหัวขนนั่นได้ดีเกินหน้า เจ้าวางใจเถิด ต่อให้ไม่ใช้พลังอำนาจของตระกูลซู แม่ก็สามารถช่วยเจ้าฆ่าเขาได้!”
สายตาของซูป๋ออิ๋นสั่นเครือเล็กน้อย ยิ้มพลางผงกหัว
——
ในราตรีคืนเดียวกัน
ณ ตำหนักเทียนหยวน
ยอดเขาดั้นเมฆ ภายในหอ
เหวินหลิงเสวี่ยมองดูพี่สาวที่นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จาด้วยความกังวล
ลังเลอยู่นาน สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหวกล่าวขึ้นมา “พี่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พี่เขย… เออ พี่ซูอี้ก็ยังคงเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่เคยมีกับพวกเรา มิเช่นนั้นก็คงไม่ให้ท่านพ่อกับท่านแม่มาหลบภัยอยู่ในตำหนักเทียนหยวนหรอก”
น้ำเสียงของสาวน้อยอ่อนโยนแฝงไว้ซึ่งความทะนุถนอม
เมื่อสักครู่ หลังจากที่รู้ข่าวการต่อสู้ ณ จวนเจ้าแคว้นแล้ว เหวินหลิงเจาถึงกับขวัญเสียราวกับได้รับความสะเทือนใจอย่างร้ายแรงที่สุด บนใบหน้างดงามเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งถึงกับสับสน
อาการเช่นนั้นทำให้เหวินหลิงเสวี่ยเห็นแล้วรู้สึกสงสารจับใจ
ผ่านไปนานมากเหวินหลิงเจาจึงเลื่อนสายตามามองที่เหวินหลิงเสวี่ยอย่างช้า ๆ ราวกับเพิ่งได้สติกลับมา จากนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาแผ่ว “หลิงเสวี่ย เจ้าว่า… หลายปีมานี้ที่ข้าดึงดันจะยกเลิกงานสมรสให้ได้… ทำผิดไปแล้วใช่หรือไม่?”
เหวินหลิงเสวี่ยรีบส่ายหน้า พลันกล่าว “พี่สาว พี่ไม่ได้ทำผิด หากว่าเป็นข้า ข้าก็ไม่ยอมสมรสกับคนแปลกหน้าเช่นกัน แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร?” เหวินหลิงเจาถาม
เหวินหลิงเสวี่ยลังเลสักครู่จึงตอบ “แต่ว่า ตอนนั้น พี่ซูอี้ก็ถูกบังคับเช่นกัน เขาก็น่าสงสารเหมือนกัน ในช่วงหนึ่งปีมานี้พี่สาวดึงดันจะยกเลิกงานสมรสให้ได้ แต่เวลาที่ทำเช่นนี้กลับลืมนึกถึงความรู้สึกของพี่ซูอี้…”
น้ำเสียงเบาลงไปเรื่อย ๆ ราวกับเกรงว่าขืนพูดต่อไปจะเป็นการทำร้ายจิตใจของเหวินหลิงเจา
ทว่าเหวินหลิงเจากลับเหมือนจะเข้าใจได้ นางกล่าวด้วยสีหน้าสับสน “เจ้าพูดมาไม่ผิด ข้ามองเขาเป็นเขยแต่งเข้าบ้านที่ไร้ประโยชน์มาโดยตลอด ไม่เคยมองเห็นความสำคัญของเขาเลย”
“และก็เป็นเพราะเหตุนี้ ข้าจึงยอมทำทุกวิถีทางเพื่อจัดการกับงานสมรสนี้ด้วยตัวเอง ไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่าเขาจะสามารถช่วยเหลืออะไรข้าได้ในเรื่องนี้ จนถึงขั้นยังเป็นกังวลว่าเขาจะอ้างความเป็นสามีภรรยาเพื่อเข้าหาข้า…”
พูดถึงตรงนี้ บนใบหน้าที่งดงามของนางก็ปรากฏอาการยอกย้อนตัวเอง “ทว่าตอนนี้ ข้าเพิ่งจะรู้ว่าในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ ทุกสิ่งที่ข้าพยายามดึงดันทำลงไปล้วนเป็นเพียงแค่เรื่องน่าขันเรื่องหนึ่งเท่านั้น…”
ในน้ำเสียงบ่งบอกถึงความผิดหวังและเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูก
“พี่สาวอย่าได้พูดอีกเลย”
เหวินหลิงเสวี่ยกล่าวปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องนี้มันผ่านพ้นไปแล้ว พี่ซูอี้ก็ไม่เคยถือสาเอาความแต่อันใดเช่นกัน พี่… พี่ก็ถือเสียว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนจะได้สบายใจ”
“หากถือว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นได้ก็คงจะดีอยู่หรอก…”
เหวินหลิงเจาถอนใจเบา ๆ
กระทั่งตัวนางเองก็ยังคาดไม่ถึงว่า หลังจากผ่านไปหนึ่งปีสามีในนามที่ถูกนางดูแคลน คนหนุ่มที่สูญเสียการฝึกตนจนกลายเป็นคนไร้ค่าคนนั้น จะเติบโตจนถึงขั้นที่นางทำได้เพียงแค่แหงนหน้ามองเท่านั้น!
ในงานเลี้ยงน้ำชาบนเขาประจิม เขาฆ่าเหล่าวีรบุรุษมากมาย องอาจสง่าผ่าเผย
ในการต่อสู้ ณ จวนเจ้าแคว้น เขาใช้วิธีการเฉพาะตัวยุติปัญหา ไม่มีใครอาจหาญทัดทาน
กระทั่งบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้แข็งแกร่งก็ยังต้องตายภายใต้ดาบของเขา!
ทั้งหมดนี้แลดูไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย
แต่เหวินหลิงเจารู้ดีว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความจริง
แม้กระทั่งหนิงซือฮวาเจ้าตำหนักเทียนหยวนที่นางให้ความเคารพยำเกรงก็ยังมองซูอี้เป็นสหายเต๋า
เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีกับซูอี้ หนิงซือฮวาถึงกับยอมตัดหัวรองเจ้าตำหนักจี้เซี่ยเถาเจิ้ง กับรองเจ้าตำหนักสุ่ยเยว่ โม่ฮวาเชวีย และส่งมาให้ซูอี้ด้วยตนเอง!
และก็เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของซูอี้ หนิงซือฮวาจึงยอมรับบิดามารดากับคนในตระกูลของนางมาอยู่ด้วย เพื่อให้พวกนางได้หลบภัยอยู่ในตำหนักเทียนหยวน
ทั้งหมดนี้เปรียบเสมือนค้อนขนาดยักษ์ที่ทุบความคิดดื้อรั้นที่นางยึดมั่นมาโดยตลอดให้แตกสลายไม่มีชิ้นดี
และในเวลานี้เช่นกัน ในที่สุดเหวินหลิงเจาจึงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนที่อยู่ในตำหนักเทียนหยวนเมื่อครั้งนั้น ซูอี้จึงมั่นใจนักจนกล้ากล่าวออกมาว่าสักวันหนึ่งเขาจะไปจัดการกับเรื่องงานสมรสนี้ที่ตระกูลซูแห่งนครหลวงอวี้จิงด้วยตนเอง
เพราะเขามีโอกาสทำได้ถึงขั้นนี้จริง ๆ!
น่าขันยิ่งนักที่ตัวเองในเวลานั้นมองว่าคำกล่าวนั้นเป็นเพียงแค่คำพูดเหลวไหลที่น่าขัน…
ฉับพลัน เหวินหลิงเสวี่ยราวกับรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีเอ่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหม่า “พี่สาว วันพรุ่งนี้ข้า… ข้าอยากจะไปเยี่ยมพี่ซูอี้”
เหวินหลิงเจาได้สติกลับมาจากความคิดที่ฟุ้งซ่าน นางมองดูอาการประหม่าแต่เต็มไปด้วยความหวังของน้องสาวแล้วรู้สึกขมขื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ นางก็สูดหายใจลึก ๆ แล้วกล่าวเสียงเบา “หลิงเสวี่ย เจ้าโตแล้ว เมื่อก่อนพี่สาวเป็นห่วงว่าเจ้าจะเดินตามรอยข้า จึงได้เคร่งครัดต่อเจ้า ยังถึงขั้นยื่นมือเข้าไปสอดเรื่องของเจ้าอยู่หลายครั้ง แต่ว่านับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าจงทำในสิ่งที่เจ้าต้องการทำเถิด”
“พี่สาวไม่คิดจะสนใจไยดีในตัวข้าแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ขนตาของเหวินหลิงเสวี่ยสั่นระริกด้วยความร้อนใจ
เหวินหลิงเจาแสดงสีหน้าเอ็นดูทะนุถนอมออกมา นางลุกขึ้นยืนจับไหล่ของเหวินหลิงเสวี่ยเบา ๆ แล้วกล่าวคำ “อย่าได้คิดเพ้อเจ้อ วันข้างหน้าหากเจอกับเรื่องกลุ้มใจอันใด ก็สามารถมาหาข้าได้ทุกเมื่อ”
เหวินหลิงเสวี่ยจึงยิ้มเบิกบานขึ้นมาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงโล่งใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าก็วางใจ อืม… วันพรุ่งนี้ข้าจะไปเยี่ยมพี่ซูอี้สักหน่อย แล้วจะรีบกลับมา รับรองได้ว่าจะไม่ให้พี่สาวต้องเป็นห่วง”
เห็นท่าทีเบิกบานและเต็มไปด้วยความคาดหวังของน้องสาวแล้ว ความขมขื่นอย่างประหลาดในใจเหวินหลิงเจาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น
…วนเวียนไม่ยอมหาย
[1] คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก เป็นสำนวนจีน หมายถึงบางครั้งคนเราอาจเคราะห์ร้าย ถูกทำร้าย ถูกกล่าวหาใส่ร้าย ไปจนถึงถูกฆ่าตายทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิด เหตุที่เป็นแบบนี้เพราะคนคนนั้นครอบครองสิ่งล้ำค่า อันได้แก่ทรัพย์สินเงินทอง วิชาความรู้ หรือตำแหน่ง ซึ่งในที่นี้ใช้คำว่า ‘หยก’ แทนของล้ำค่า