บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 264 ที่มาของพระพุทธรูป
ตอนที่ 264: ที่มาของพระพุทธรูป
ตอนที่ 264: ที่มาของพระพุทธรูป
เช้าตรู่
เท้าขาวเนียนประดุจหยกขาวน้ำงามคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากผ้าห่ม พลันหลังเท้าใสสะอาดเนียนเรียบก็กระตุกและหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศราวกับสายคันธนูที่ตึงแน่น
จากนั้นเท้างามคู่นี้ก็หมดสิ้นซึ่งแรงกำลัง ร่วงหล่นลงบนที่นอนอันอ่อนนุ่ม
ที่หัวเตียง ฉาจิ่นโผล่หัวออกมาจากผ้าห่มผืนบาง
ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง เหงื่อไหลไคลย้อย บนใบหน้ามนงามราวไข่ห่านนั้นแดงระเรื่อประดุจแสงตะวันยามเช้า ริมฝีปากแดงอิ่มเอิบเผยอขึ้นเล็กน้อยพลางหอบหายใจรัว ตาหยีเล็กราวกับกำลังบอกกล่าวว่าดวงตาประดุจใยไหมบางนั้นเป็นเช่นใด
“ฟ้าสว่างแล้ว…”
ซูอี้ยืดตัวออกมาจากผ้าห่ม เมื่อเห็นแสงอรุณยามเช้าเล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่างแล้วถึงกับนิ่งตะลึง
การฝึกคู่บำเพ็ญบำเพ็ญในครั้งนี้ ถึงกับใช้เวลาทั้งคืนเลยหรือ?
“วันเวลามักจะผ่านไปรวดเร็วเสมอ ยังคงดื่มด่ำในความสุข ไม่รู้ตัวว่าฟ้าสว่างแล้ว…”
ถอนใจยาว ๆ รำพึงรำพันเสร็จ ซูอี้จึงพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียง
หลังจากที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ซูอี้สวมชุดยาวเบาสบาย ยืนอยู่ริมสระในสวนฝึกเคล็ดวิชาหลอมกายกระเรียนลอยล่องเหมือนเช่นเคย
“ไม่เลว ทำการฝึกคู่บำเพ็ญด้วย ‘เคล็ดวิชาหยินหยางน้อยรวมร่าง’ ของฝ่ายเต๋ามีผลดีต่อการฝึกตนจริง ๆ เสียด้วย…”
สัมผัสถึงการเดินพลังลมปราณในร่างแล้ว ซูอี้ถึงกับผงกหัวให้ ฝึกคู่เพียงคืนเดียวทำให้ผลการฝึกปรมาจารย์ขั้นที่หนึ่งของเขาก้าวหน้ามากขึ้น
วิธีเด็ดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้อยากลิ้มลองอีกครั้งเท่านั้น ทั้งยังทำให้ไม่รู้สึกถึงความจืดชืดในการฝึกตน สุขทั้งกายสบายทั้งใจ จิตใจและร่างกายได้รับการผ่อนคลายอย่างเต็มที่
ไม่แปลกเลยเช่นกันที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเต๋าหรือฝ่ายพุทธ ไม่ว่าจะเป็นลัทธิขงจื่อหรือพรรคมาร หรือแม้กระทั่งพรรคยิ่งใหญ่มากมายในใต้หล้าล้วนมีคัมภีร์สืบทอดที่เกี่ยวกับการฝึกคู่บำเพ็ญ
แน่นอน ในเมื่อเป็นการฝึกคู่บำเพ็ญ ทั้งหญิงและชายต่างก็ได้รับผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
การฝึกคู่บำเพ็ญที่แท้จริงไม่ใช่เพียงแค่เติมหยางเสริมหยิน หรือเติมหยินเสริมหยางอย่างพวกต้มตุ๋นทำกัน
หลังจากที่ฉาจิ่นล้างหน้าแต่งตัวเสร็จ นางก็ไปเตรียมน้ำให้ซูอี้อาบก่อน จากนั้นจึงออกจากเรือนพำนักหินศิลาเพื่อไปซื้ออาหารเช้า
ส่วนซูอี้ หลังจากที่ฝึกตนเสร็จก็เอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างสบายอารมณ์ หันหน้ามองดูน้ำใสสีเขียวสะอาด รับลมอ่อนยามเช้า หลับตาด้วยความผ่อนคลาย
ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านนอก
เริ่มแรกซูอี้เข้าใจว่าเป็นเสียงของฉาจิ่น ทว่าไม่นานนักเขาก็ลืมตาขึ้น ตั้งสมาธิเงี่ยหูฟังสักครู่ จากนั้นจึงหลับตาลงอย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง
ทว่ามุมปากกลับมีรอยยิ้มบาง ๆ ผุดขึ้น
ในขณะเดียวกันนี้เอง ภายใต้แสงอรุณ สาวน้อยในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนก็เดินย่องเข้าสู่ประตูใหญ่แห่งเรือนพำนักหอศิลา
นางกลั้นหายใจตั้งสติมั่น ฝีเท้าแผ่วเบาดุจดังฝีเท้าแมวป่า ท่าทางราวกับโจรขโมย ลูกนัยน์ตากลอกกลิ้งเพื่อสังเกตดูสิ่งรอบด้าน เมื่อมองเห็นร่างคน ๆ นั้นบนเก้าอี้หวายริมสระ แต่ไกล ๆ แล้วก็ถึงกับสูดปาก
จากนั้น นางจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้อย่างช้า ๆ
จนกระทั่งอยู่ห่างจากเก้าอี้ประมาณหนึ่งจั้ง สาวน้อยก็ยกมือเรียวขาวงดงามสองข้างขึ้น ทำมือเป็นรูปคล้ายแตรปากกว้างวางข้างริมฝีปาก เตรียมตัวร้องตะโกน
ทว่าขณะนี้เอง ร่างคนที่นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายกลับหัวเราะขึ้นมา “หัวขโมยน้อย บังอาจมาร้องตะโกนกลั่นแกล้งให้ตกใจในถิ่นของข้าเชียวหรือ?”
สาวน้อยร้อง ‘หา’ ขึ้นมา รีบปล่อยมือทั้งสองข้างลงราวกับกวางน้อยที่ตื่นตกใจ ใบหน้างดงามใสสว่างเต็มไปด้วยความกระดากและอับอาย
เวลานี้ซูอี้ลุกขึ้นยืนแล้ว เมื่อมองเห็นสาวน้อยอยู่ในอาการตื่นตระหนกไม่ไกลนัก ถึงกับปล่อยหัวเราะออกมา “เจ้านี่นะ ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”
ในอดีตตอนที่อยู่ตระกูลเหวิน เหวินหลิงเสวี่ยก็มักจะแอบมาหาเขาและจงใจทำให้เขา ‘ดีใจ’
ซูอี้รู้สึกเบื่อเสียทุกครั้ง ทว่ายังคงจำเป็นต้องให้ความร่วมมือโดยแกล้งทำท่าตื่นตกใจออกมา
มาย้อนนึกดู ไม่ว่าจะเป็นเหวินหลิงเสวี่ยเมื่อในอดีต หรือเป็นตนเองที่ยังไม่ฟื้นฟูความจำเมื่อชาติก่อน… ก็เหมือนเด็กอมมือเสียเหลือเกิน
“พี่เขย… อุ๊ย พี่ซูอี้ ข้า… ข้าเพียงแค่อยากจะให้พี่ดีใจก็เท่านั้น”
เหวินหลิงเสวี่ยกล่าวอึก ๆ อัก ๆ ทำอะไรไม่ถูก
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา จากนั้นเดินไปขยี้หัวของสาวน้อยเหมือนที่เคยทำเมื่อในอดีตพลางกล่าว “เอาเถอะ เจ้ายังสามารถมาหาข้าได้ถือเป็นเรื่องที่น่าดีใจที่สุดแล้ว”
เขาได้ยินคำสรรพนามที่เหวินหลิงเสวี่ยเรียกเขาเปลี่ยนไป
เพียงแต่ว่าเขาขี้เกียจจะใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้ เพียงแค่คำสรรพนามเท่านั้น ขอเพียงสาวน้อยชื่นชอบ จะเรียกว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น
“พี่เขย… ไม่ใช่สิ พี่ซูอี้ พี่… พี่ไม่โกรธข้าหรือ?”
ดวงตาสดใสของสาวน้อยกะพริบปริบ ๆ ถามขึ้นมาด้วยความกระดาก
วิธีแก้คำสรรพนามซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้ก็ทำให้ตัวของสาวน้อยรู้สึกไม่ดีนัก
“ข้าจะโกรธเจ้าได้อย่างไรกัน”
ซูอี้พินิจมองดูสาวน้อยตรงหน้าสักครู่ รำพึงขึ้นมาในใจ
ไม่ได้เจอกันช่วงเวลาหนึ่ง รูปร่างของสาวน้อยยิ่งดูอวบอิ่มมากขึ้น มวยผมขึ้นสูง เอวคอดคอระหง ผิวพรรณมีน้ำมีนวล ชุดกระโปรงที่ตัดเย็บพอดีตัวรับกับเรือนร่างอรชรชดช้อยให้ความรู้สึกงดงามสดใสราวกับดอกบัวที่เพิ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ
ใสซื่อบริสุทธิ์ งดงามน่ารัก
เพียงแค่มองก็รู้สึกได้ถึงความกระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวา แผ่นดินดุจดังภาพวาดก็ยังสวยไม่สู้เรือนร่างงดงามของหญิงสาว
ตอนแรกที่เหวินหลิงเสวี่ยมา ในใจยังคงรู้สึกอึดอัดหวาดกลัว เป็นห่วงว่าไม่ได้เจอกันหลายวัน ซูอี้จะโกรธและไม่สนใจไยดีตัวเอง
ไม่นึกเลยว่าเมื่อได้เจอหน้ากันจริง ๆ เห็นซูอี้ยังคงปฏิบัติกับตัวเองเหมือนเมื่อในอดีต นางจึงรู้สึกโล่งใจลงมาได้ ราวกับย้อนกลับไปเมื่อในอดีต
มีแต่เพียงคำสรรพนามเรียกซูอี้เท่านั้นที่ทำให้นางรู้สึกติดขัด
เพราะอย่างไรเสียก็เคยชินกับการเรียกว่าพี่เขยไปเสียแล้ว ตอนนี้มาเรียกว่าพี่ซูอี้ ต้องใช้เวลาในการปรับตัวสักหน่อย
“ไปยกเก้าอี้มานั่งคุยกันอยู่ข้าง ๆ ข้า”
ซูอี้พูดพลาง ตัวเองก็เอนตัวลงบนเก้าอี้หวายก่อนแล้ว
มองเห็นอาการเกียจคร้านแบบไม่ปิดบังแม้แต่น้อยนิดของเขาแล้ว เหวินหลิงเสวี่ยถึงกับหัวเราะออกมา “พี่เขย… อุ๊ย พี่ซูอี้ยังขี้เกียจเหมือนเดิม!”
พูดจบ นางก็ก้าวเดินไปยกเก้าอี้มานั่งข้างกายซูอี้
เมื่อฉาจิ่นซื้ออาหารเช้าเสร็จกลับมาก็เห็นเหวินหลิงเสวี่ยนั่งเคียงข้างซูอี้
ทั้งสองกำลังพูดคุยสัพเพเหระ สาวน้อยยิ้มหัวเราะอารมณ์ดี ซูอี้ฟังไปอมยิ้มไป แสงแดดอ่อนยามเช้าสาดกระทบตัวคนทั้งสอง ช่างเหมาะสมเป็นคู่ที่งดงามยิ่งนัก
ฉาจิ่นจำเป็นต้องยอมรับว่า พูดกันเพียงแค่อายุ เหวินหลิงเสวี่ยที่เพิ่งอายุสิบหกเหมาะสมกับซูอี้ที่เพิ่งอายุสิบเจ็ดมากจริง ๆ
นางถอนใจขึ้นมาเบา ๆ อย่างประหลาด
นางสามารถแก่งแย่งชิงดีกับนางอสูรน้อยอย่างเจิ้งมู่เหยาได้ มีแต่เพียงเหวินหลิงเสวี่ยเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่อาจแก่งแย่งชิงดีด้วยได้
เพราะนางรู้ดีว่า ในใจของซูอี้ สาวน้อยผู้งดงามประดุจภาพวาดนางนี้ ไม่ใช่คนที่ใครก็สามารถมาแทนที่ได้ รวมไปถึงตัวของนางเอง
“คุณชาย แม่นางหลิงเสวี่ย มากินอาหารเช้ากัน”
ฉาจิ่นเก็บความรู้สึกของตัวเอง แล้วหัวเราะยิ้มแย้มออกมา
——
กินอาหารเช้าเสร็จ
เดิมทีซูอี้ตั้งใจว่าจะอยู่พูดคุยกับเหวินหลิงเสวี่ยให้นานสักหน่อย แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกล้มความคิดนี้ไป
เพราะแขกที่มาหาในวันนี้มีค่อนข้างมาก
คนแรกที่มาคือเจิ้งเทียนเหอพร้อมกับบุตรสาวเจิ้งมู่เหยา ถัดมาหนิงซือฮวาก็ขี่อินทรีเกล็ดเขียวมาหา
ต่อมา ราชาสะกดขุนเขามู่ซี จวิ้นอ๋องแห่งอวิ๋นกวงเชินจิ่วซง จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิงเฉินเจิ้ง ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตำหนักซิงหยา เจียงถานอวิ๋นกับหลูฉางเฟิงแห่งตำหนักคงต้ง ต่างก็ทยอยกันมาหา
เจิ้นเทียนเหอมาในครั้งนี้ได้นำเอาโอสถระดับสี่อันล้ำค่ามาด้วยจำนวนหนึ่ง เพื่อแสดงความขอบคุณต่อซูอี้
หากไม่ใช่เพราะซูอี้ เกรงว่าเขาคงยังต้องถูกขังอยู่ในคุกของตระกูล ชั่วชีวิตนี้คงไม่มีหวังจะได้กลับมานั่งอยู่บนที่นั่งหัวหน้าตระกูลเจิ้งได้อีก
หนิงซือฮวานั้นเห็นได้ชัดว่ามีเรื่องเดือดร้อน ทว่านางเห็นว่ามีคนมากจึงไม่ได้รีบร้อนพูดออกมา
มู่ซี ผูอี้ เจียงถานอวิ๋น หลูฉางเฟิงมากันในครั้งนี้เพื่อมาบอกลาต่อซูอี้ พวกเขาแต่ละคนล้วนมีงานและหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่อาจอยู่มหานครกุ่นโจวไปได้ตลอด
อีกทั้ง หลังจากที่อยู่ฝ่ายเดียวกับซูอี้แล้ว พวกเขาต้องกลับไปสู่กองกำลังของตัวเอง เพื่อไปจัดการงาน
เชินจิ่วซงกับเฉินเจิ้งมาในครั้งนี้ ก็มีความตั้งใจในลักษณะอย่างเดียวกัน
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่ ด้านฐานะ พวกเขายังคงเป็นจวิ้นอ๋องต่างสกุลของต้าโจว มีกองทัพปักหลักอยู่ในชายแดนต่าง ๆ ที่ต้องดูแล
ถือโอกาสขณะที่พูดคุยกัน ซูอี้ถามถึงเรื่องพระพุทธรูปกับมู่ซีขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่ามู่ซีก็เคยให้ความใส่ใจกับรูปสลักนี้เช่นกัน เมื่อได้ยินความ จึงตอบโดยไม่ต้องคิด “รูปแกะสลักพระพุทธรูปนี่หาพบเจอในตัวของราชาปราการเพลิงเซี่ยโหวหลิน หากว่าข้าคาดเดาไม่ผิด เขาคงจะได้รับรูปแกะสลักชิ้นนี้มาจากขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา”
“ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา?”
ซูอี้รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา
มู่ซีพยักหน้าพลางกล่าว “เรื่องนี้ คนอื่น ๆ อาจจะไม่รู้ แต่ไม่อาจปิดบังข้าได้ คุณชายอย่าลืมว่าจี้หยกโลหิตที่อยู่กับข้าชิ้นนั้นก็ได้มาจากส่วนลึกของขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาเช่นกัน”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวต่ออีก “และครั้งนั้นตอนที่ได้จี้หยกโลหิตมา ข้าก็เคยเห็นรูปแกะสลักหนึ่งที่คล้ายกับรูปแกะสลักหลวงจีนในวัดร้างที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง”
“เพียงแต่ว่า รูปแกะสลักหลวงจีนรูปนั้นมีความสูงจั้งกว่า ๆ และได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ไร้เศียร มือทั้งสองประสานกันที่ท้องเป็นสัญลักษณ์รูปดอกบัว บนหลังขององค์หลวงจีนสลักรูปมังกรขดตัว”
“ตามที่ข้ารู้มา เมื่อหลายปีก่อนเซี่ยโหวหลินเคยไปขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาด้วยตนเองเพื่อหาโอกาส!”
“ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงกล้าสรุปว่ารูปแกะสลักหลวงจีนขนาดเท่าฝ่ามือที่เซี่ยโหวหลินได้มาองค์นั้นมาจากขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา”
ฟังจนจบแล้วซูอี้จึงพยักหน้ากล่าว “หากเป็นเช่นนี้ ลึกเข้าไปในขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาแห่งนั้นจะต้องซุกซ่อนความลี้ลับยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครรู้เป็นแน่”
มู่ซียิ้มพลางกล่าว “หากว่าคุณชายต้องการจะไป ข้ายินดีที่จะไปด้วย”
ได้ฟังความ หนิงซือฮวาที่อยู่อีกด้านก็สะดุ้งขึ้นมา ก่อนจะรีบกล่าว “ข้าก็เคยเข้าไปสำรวจจุดที่ลึกเข้าไปในขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาเช่นกัน หากว่าสหายเต๋าต้องการจะไป นับรวมข้าด้วยอีกคน”
ซูอี้คิดสักครู่จึงกล่าว “วันที่สี่เดือนสี่ ข้าจะออกเดินทางไปนครหลวงอวี้จิง ระหว่างทางที่ไปจะต้องผ่านขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา ถึงเวลานั้นหากทั้งสองท่านยินดีสามารถไปพร้อมกับข้าได้”
มู่ซีกับหนิงซือฮวามองสบตากันสักครู่แล้วรับปากอย่างรวดเร็ว
พวกเขาต่างก็เข้าใจดีว่า ด้วยวิธีการและสติปัญญาของซูอี้ เมื่อไปถึงขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาแล้ว จะต้องพบเจอกับความลับและความลี้ลับมากมายที่พวกเขาไม่อาจเข้าใจได้เองอย่างแน่นอน
เพราะอย่างไรก็ตามแต่ วิธีการและสติปัญญาที่ซูอี้แสดงออกมาเมื่อตอนอยู่ในหุบเขามารบุปผาโลหิตนั้นก็เป็นสิ่งที่ใครก็ไม่อาจคาดคิด
ราวกับว่าเรื่องราวประหลาดและผิดปกติใด ๆ ในโลกใบนี้ล้วนหลบหนีสายตาของเขาไปไม่พ้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่เดินทางพร้อมกับเขา ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาได้รับผลประโยชน์อย่างมากมายแล้ว