บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 265 นกกระจอกเพลิงยมโลก
ตอนที่ 265: นกกระจอกเพลิงยมโลก
ตอนที่ 265: นกกระจอกเพลิงยมโลก
ซูอี้นึกขึ้นได้อีกเรื่องหนึ่ง
“จวิ้นอ๋องแห่งอู่หลิง เจ้าอย่าได้รีบร้อนเกินไปเมื่อฝึกฝน ‘เคล็ดผสานยุทธ์หลอมกลืนวิญญาณ’ ไม่เช่นนั้นอาจเผชิญกับผลสะท้อนกลับได้อย่างง่ายดาย โปรดระวังให้ดีด้วย”
ซูอี้ยังคงมองไปที่เฉินเจิ้งและกล่าว “หากข้าคาดไว้ไม่ผิด ไม่ควรเกินสามเดือนเจ้าน่าจะกลืนกินพลังของจิตวิญญาณนั่นได้อย่างสมบูรณ์ และในขณะนั้น ความทรงจำที่แฝงอยู่ในดวงจิตดวงนั้นบางส่วนจะสืบทอดเข้าสู่ตัวเจ้าเช่นกัน ความทรงจำนั้นมีประโยชน์กับข้ามาก อย่าลืมบอกต่อแก่ข้าด้วย”
จิตวิญญาณนั่นเป็นของผู้บ่มเพาะจากอีกโลกหนึ่งซึ่งไม่ใช่ของทวีปคังชิง
หากรับรู้ความเป็นมาจากความทรงจำของอีกฝ่ายได้ ซูอี้ก็จะสามารถรู้ได้ว่าผู้บ่มเพาะต่างโลกผู้นี้มาจากไหน!
เฉินเจิ้งพยักหน้ารับอย่างจริงจัง
ไม่นานหลังจากนั้น มู่ซี และคนอื่น ๆ ก็จากกันไป
ในลานบ้าน เหลือเพียงหนิงซือฮวา เหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น และเจิ้งมู่เหยา
หลังจากที่ได้เห็นเหวินหลิงเสวี่ยและฉาจิ่นแล้ว เจิ้งมู่เหยาก็รู้สึกถึงวิกฤตและยืนกรานที่จะอยู่ต่อไป
ซูอี้ไม่คัดค้าน และเจิ้งเทียนเหอก็ไม่ได้พูดทัดทานอะไร
จากประสบการณ์ชีวิตของเจิ้งเทียนเหอ เขาจะไม่เห็นได้อย่างไรว่าลูกสาวของเขามีความคิดใดเกี่ยวกับซูอี้?
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้ที่ลูกสาวของตนคาดหวัง
แต่เหตุผลที่เขาไม่ได้คัดค้านก็เพราะว่าลูกสาวของเขาโตแล้ว ดังนั้นนางควรจะต้องฝ่าฟันปัญหาทางใจนี้ให้ได้ด้วยตนเอง
ท้ายที่สุด มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่คนรุ่นหนุ่มสาวจะได้เผชิญกับอุปสรรคทางอารมณ์บ้าง
ยิ่งไปกว่านั้น การได้ใกล้ชิดกับซูอี้มากขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้ในที่สุด แต่ก็ถือว่าเป็นการกระชับความสัมพันธ์ที่ดี ด้วยบุคลิกของซูอี้ เจิ้งมู่เหยาย่อมไม่ถูกปฏิบัติอย่างเลวร้าย
ทว่าซูอี้หาได้เสียเวลาคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องละเอียดอ่อนเหล่านี้ เขามองไปที่หนิงซือฮวา แล้วกล่าวว่า “เจ้ามาหาข้าที่นี่วันนี้ย่อมไม่ใช่เพราะมาคุยเล่นเป็นแน่แท้ มีธุระสำคัญใดก็ว่ามาเถิด”
หนิงซือฮวาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออก “คิดไว้แล้วว่าไม่อาจซ่อนความในใจจากสายตาของสหายเต๋า ข้ามีอะไรจะขอจริง ๆ ในการมาที่นี่ครั้งนี้”
ซูอี้กล่าวออก “มีสิ่งใดก็ว่ามา”
หนิงซือฮวารีบพูด “เดือนที่แล้ว สหายของข้าผู้หนึ่งไปที่ส่วนลึกของภูเขาปีศาจหมื่นอสรพิษเพื่อแสวงหาโชค แต่เมื่อนางกลับมา ก็มีบางอย่างผิดพลาด คาดว่านางน่าจะถูกปีศาจลึกลับไม่ทราบว่าเป็นชนิดใดลอบโจมตีได้สำเร็จ จนขณะนี้นางล้มป่วยติดเตียงไม่ได้ตื่นมาเป็นเวลานาน และมีลวดลายสีดำแปลก ๆ มากมายบนผิวของนางคล้ายกับรอยสัก ข้าได้ลองหลากหลายวิธีการที่ข้ารู้ทั้งหมดเพื่อช่วยนาง แต่ทั้งหมดกลับเปล่าประโยชน์ สิ่งเดียวที่ข้าแน่ใจได้ก็คือ ในร่างกายของนาง มีพลังประหลาดที่ดูเหมือนจะ ‘มีชีวิต’ ซึ่งกำลังบุกรุกและกลืนกินพลังชีวิตของนางอยู่ตลอดเวลา”
ระหว่างบอกเล่า ความกังวลสลักบนคิ้วของหนิงซือฮวาอย่างแจ่มชัด
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะสนใจ “อาการบาดเจ็บแปลก ๆ บนร่างกายของสหายของเจ้ามาจากส่วนลึกของภูเขาปีศาจหมื่นอสรพิษ?”
เขาเคยได้ยินหนิงซือฮวาพูดถึงภูเขาปีศาจหมื่นอสรพิษ
ภูเขาปีศาจแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชายแดนตะวันตกของอาณาจักรต้าโจว ในส่วนลึกของภูเขานี้มีแอ่งโลหิตประหลาด ซึ่งเต็มไปด้วยโครงกระดูกมากมาย อีกทั้งยังมีหมอกและพายุสายฟ้าปกคลุมประสานกันไม่เคยหยุดหย่อน
หนิงซือฮวาเคยบุกเข้าไปในนั้น และบังเอิญเห็นแท่นบูชาซึ่งตรงฐานถูกแกะสลักเป็นรูปนกและสัตว์แปลก ๆ มากมาย แต่ด้านบนสุดของแท่นบูชากลับมีกะโหลกสีขาวเหมือนหิมะตั้งวางอยู่
ในเวลานั้นหนิงซือฮวาเพียงชำเลืองมองมันจากระยะไกล แต่จิตใจของนางกลับแทบแตกซ่านจากพลังที่มองไม่เห็น เมื่อรู้สึกได้ถึงอันตรายยิ่งยวด นางจึงรีบใช้ทักษะลับบางอย่างเพื่อทำให้ตัวเองตื่นตัวและรีบหนีออกจากที่นั่นทันที
เรื่องทั้งหมดนี้ดึงดูดความสนใจของซูอี้มานานแล้ว และตอนนี้เมื่อได้ยินหนิงซือฮวาพูดถึงประสบการณ์ของสหายนางในส่วนลึกของภูเขาปีศาจหมื่นอสรพิษอีกรอบ มันจึงยิ่งเป็นการกระตุ้นความอยากรู้ของเขามากขึ้นไปอีก
หนิงซือฮวาพยักหน้าและพูดว่า “ไม่ผิดแน่”
ซูอี้ถามกลับ “เช่นนั้นตอนนี้สหายของเจ้าอยู่ที่ใด”
หนิงซือฮวากล่าวว่า “อยู่ในตำหนักเทียนหยวน”
ซูอี้กล่าวว่า “เจ้าไปพานางมาให้ข้าเห็นด้วยตาตัวเองเสียหน่อย”
หนิงซือฮวาฮวาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดพร้อมกับยิ้มว่า “ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากนั้นนางก็ขี่อินทรีตัวมหึมาออกไปในทันที
ซูอี้ถอนหายใจยาวและหลับตาขณะนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย
เขาไม่เคยชอบบรรยากาศอันพลุกพล่านและไม่เคยสนใจความสัมพันธ์ของมนุษย์ เมื่อเทียบกันแล้ว เขาชอบชีวิตที่เงียบสงบไร้ซึ่งผู้ใดรบกวน
แต่เขาก็รู้ดีว่านี่คือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงหากอยู่ในโลกปุถุชน ซึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหลและมีบ่วงพันธะมากมายในโลก
เฉกเช่นกับสองวันนี้ เรือนของเขามีผู้มาเยือนไม่ว่างเว้น
ไม่นานหลังจากนั้น หนิงซือฮวาก็ขี่อินทรีเกล็ดเขียวกลับมาพร้อมกับอุ้มสตรีในชุดสีเทาไว้ในอ้อมแขนของนาง ผิวของสตรีนางนั้นซีดขาว เปลือกตาปิดแน่น และการหายใจรวยรินอย่างมาก
ทว่าสตรีชุดเทาผู้นี้งดงามเลิศล้ำ ใบหน้าคมคายสมบูรณ์แบบ คิ้วโค้งเรียวประหนึ่งเทือกเขาสวรรค์สร้าง ขนตาคล้ายพัดขนหงส์ สันจมูกเชิดขึ้นไม่มากและไม่น้อย รูปลักษณ์ของนางช่างวิจิตรงดงาม
หนิงซือฮวากล่าวว่า “สหายเต๋า นี่คือสหายของข้าชื่อหลานซัว นางเป็นคนจากต้าฉิน สำนักดาบจรัสฟ้า… ”
แต่ก่อนที่นางจะพูดจบ ซูอี้ก็โบกมือและกล่าวว่า “ช่วยชีวิตคนสำคัญกว่า พานางเข้าไปในห้องของข้าก่อน”
พูดจบซูอี้เดินเข้าไปในเรือนทันที
หนิงซือฮวาติดตามอย่างใกล้ชิด
เมื่อเห็นฉากนี้ เหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น และเจิ้งมู่เหยา ที่กำลังคุยกันอยู่บนม้านั่งเล็ก ๆ ริมทะเลสาบก็มองหน้ากันด้วยท่าทางที่แตกต่างกัน
“หลิงเสวี่ย เจ้าเห็นใบหน้าของสตรีที่เจ้าตำหนักหนิงพามาเมื่อครู่หรือไม่ นางช่างงดงามอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่เจ็บป่วยเจียนตายกระนั้นจะยังงามได้ขนาดนั้นได้อย่างไร!”
เจิ้งมู่เหยากะพริบตาโตอันมีเสน่ห์ของนางและกล่าวด้วยความโง่งม
“ข้าเห็นเช่นกัน นางช่างงดงามจนหาใครเทียบได้ยากอย่างแท้จริง” เหวินหลิงเสวี่ยพยักหน้า
ที่ด้านข้าง ฉาจิ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้งดงามเพียงใด หลิงเสวี่ยของเราก็ไม่มีทางด้อยกว่า และยิ่งไปกว่านั้น ข้ารู้ว่าในใจของนายท่านไม่มีสตรีใดในโลกนี้ที่จะเทียบหลิงเสวี่ยได้”
“แต่ในความคิดของข้า พี่สาวฉาจิ่นดูดีที่สุดแล้ว”
เจิ้งมู่เหยาขมวดคิ้ว “นี่พวกเจ้าสองคนไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าพูดหรืออย่างไร? พวกเจ้าไม่กังวลเกี่ยวกับผู้หญิงที่ท่านเจ้าตำหนักหนิงพามาบ้างเลยหรือ!?”
เหวินหลิงเสวี่ยถามด้วยความสงสัย “เหตุใดเราถึงต้องกังวลด้วยเล่า?”
เจิ้งมู่เหยาอธิบายอย่างจริงจัง “ด้วยความเลิศล้ำของท่านอาซูอี้ แน่นอนว่าเขาย่อมรักษาอาการบาดเจ็บของสตรีนางนั้นได้ และนั่นมันจะเท่ากับเป็นบุญคุณช่วยชีวิต ดังนั้นแล้วมันไม่ยากเลยที่สตรีนางนั้นจะรู้สึกหวั่นไหวและตกหลุมรักท่านอาซูอี้! จากนั้นนางก็อาจจะใช้ข้ออ้างการตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตนี้ขออยู่เคียงข้างท่านอาซูอี้ไปจวบจนวันตายก็เป็นได้! มันเป็นไปได้ไม่ใช่หรือ!?”
“ร…เรื่องราวมันจะกลายเป็นเช่นนั้นได้จริง ๆ หรือ?” เหวินหลิงเสวี่ยตกตะลึง
ฉาจิ่นเหลือบมองเจิ้งมู่เหยาและยิ้มหยอกล้อ “ถึงจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น ข้าก็ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวอะไรกับเสี่ยวเหยา เจ้าจะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ได้อะไร? เอ… หรือว่าเจ้ากังวลว่าท่านอาซูอี้ของเจ้าจะถูกสตรีนางอื่นกิน?”
“ข้า…”
เจิ้งมู่เหยารู้สึกอึดอัด และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “แม้ว่าข้าจะยังไม่แน่ใจว่าสตรีนางนั้นจะกินท่านอาซูอี้หรือเปล่า แต่ที่ข้ารู้แน่นอนก็คือทุกครั้งที่เจ้ามองดูท่านอาซูอี้ สายตาของเจ้ามันฟ้องว่าอยากจะกลืนกินท่านอาซูอี้อยู่ทุกชั่วลมหายใจ!”
มีความหึงหวงอยู่ในน้ำเสียงของนาง
ฉาจิ่นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้างดงามของนางก็เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ ดวงตาที่สวยงามของนางเผยออกถึงความเขินอายอย่างยากจะปิดบัง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เหวินหลิงเสวี่ยจึงรีบทำหน้าที่ราวกับเป็นผู้อาวุโสห้ามศึกระหว่างทั้งสองคน
นางสงบนิ่งและฉลาด บทสนทนาเมื่อครู่นี้ทำให้นางเข้าใจได้ชัดแจ้งว่าเจิ้งมู่เหยาและฉาจิ่นกำลังแอบต่อสู้กันอย่างลับ ๆ เพื่อซูอี้ พวกนางไม่มีใครอยากจะยอมใคร
แม้ภาพนี้มันจะดูน่าขบขัน แต่ในใจของนางกลับปรากฏความกังวลที่อธิบายไม่ได้
พี่เขย… ไม่สิ… ดูเหมือนว่าจะมีผู้หญิงมากขึ้นเรื่อย ๆ รอบ ๆ กายของพี่ซูอี้… นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี…
เวลานี้ สตรีทั้งสามมีความคิดของตนเองที่แตกต่างกันไป
ในเรือน
สตรีผู้ถูกเรียกว่า ‘หลานซัว’ ถูกวางนอนบนเตียง
“สหายเต๋า โปรดดูที”
หนิงซือฮวายกแขนเสื้อของหลานซัว เผยให้เห็นว่าบนผิวแขนอันเรียบเนียนนั้นมีลวดลายสีดำมากมายพัวพันกันยุ่งเหยิงคล้ายกับไส้เดือนนับสิบกำลังชอนไช
ซูอี้มองดูสตรีบนเตียงครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อยราวกับว่าเห็นเบาะแสบางอย่างและพูดว่า “เจ้าจงถอดเสื้อผ้าของนางออก”
“หา?”
หนิงซือฮวาตกใจกับคำขอที่มากเกินไปนี้ นางเบิกตากว้างและพูดตะกุกตะกัก “จ… จำเป็นต้องทำเช่นนั้นด้วยงั้นหรือสหายเต๋า…”
“แน่นอน”
ซูอี้จับตาดูลวดลายประหลาดสีดำเหล่านั้นและกล่าวว่า “ตั้งแต่เมื่อไร ที่เจ้าสนใจความแตกต่างระหว่างชายหญิง? หรือว่าเจ้าคิดว่าซูผู้นี้มีความตั้งใจที่จะเอาเปรียบสหายของเจ้ายามที่เจ็บป่วยหรืออย่างไร?”
ในน้ำเสียงของเขาแฝงด้วยความรำคาญใจ
เมื่อได้ยินคำถามอันสมเหตุสมผลนี้ หนิงซือฮวาจึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย และกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “ข้าเพียงร้อนใจเกินไปจึงเอ่ยถามโดยไม่ยั้งคิด ขอสหายเต๋าอภัยด้วย”
หลังจากขออภัยจบนางก็รีบถอดเสื้อผ้าบนร่างของหลานซัวในทันที จนเหลือเพียงผ้าบางคาดอกและกางเกงขายาวที่กระชับพอดีตัว
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นร่างกายอันงดงามของหลานซัวซึ่งมีส่วนเว้าโค้งและนูนเนินที่น่าตื่นตา
ทว่าความตื่นตานั้นอยู่ในห้วงคิดของซูอี้แค่เพียงพริบตาเท่านั้นก่อนจะหายไปและเขาไม่ได้มองนางอย่างตะลึงอีกต่อไป อันที่จริง มันยากมากที่จะมีสิ่งใดรบกวนจิตใจของตัวเขาได้ จากนั้นเมื่อเขามองสำรวจทั่วร่างขาวราวกับหิมะของหลานซัว มีลวดลายสีดำลายคล้ายใยแมงมุมปกคลุมตั้งแต่คอกระจายไปถึงข้อเท้า
ในไม่ช้า สายตาของซูอี้จ้องเขม็งไปที่ท้องของหลานซัว เนื่องจากตรงบริเวณนี้มีลวดลายสีดำที่หนาแน่นและแตกต่างจากจุดอื่น ๆ ลวดลายของพวกมันดูไม่ยุ่งเหยิงและดูคล้ายกับถูกจัดวางมาเป็นอย่างดี
ดูราวกับนกดุร้ายสีดำกำลังเต้นรำ เชิดหัวชูคอปีกกางออกประหนึ่งมีด กรงเล็บแหลมคมกางสยาย ลวดลายสีดำหนาแน่นปกคลุมลุกโชนคล้ายกับเปลวเพลิงสีดำ
“อย่างที่คาดไว้”
ดวงตาของซูอี้เปล่งประกายฉายแววหยั่งรู้ “สหายของเจ้านั้นถูกจู่โจมโดยปีศาจซึ่งถูกเรียกว่า ‘วิญญาณเร้น’”
“ปีศาจวิญญาณเร้น?”
หนิงซือฮวารู้สึกสับสนเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินชื่อนี้
“ให้พูดโดยย่อ มันคือหนอนปีศาจชนิดหนึ่งซึ่งตัวมันเป็นที่สิงสู่ของร่างวิญญาณ”
ซูอี้พูดอย่างเฉยเมย “สิ่งที่อยู่ในร่างของสหายเจ้าขณะนี้มันคือหนอนปีศาจที่ถูกครอบงำโดยวิญญาณของ ‘นกกระจอกเพลิงยมโลก’ ตนหนึ่ง”
“หนอนตัวนี้จะดูดซับเนื้อและเลือดของเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณของ ‘นกกระจอกเพลิงยมโลก’ ที่อาศัยอยู่ และเมื่อใดที่พลังของสหายเจ้าหมดลง มันก็จะจากไป มองหาเหยื่อรายต่อไปจนกว่าพลังวิญญาณของ ‘นกกระจอกเพลิงยมโลก’ จะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ แล้วจากนั้นนกกระจอกเพลิงยมโลกตัวนี้ก็จะกำเนิดขึ้นมีชีวิตใหม่ราวกับว่าเกิดจากเถ้าถ่านด้วยชีวิตที่สมบูรณ์”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ หนิงซือฮวาตกตะลึง มีสิ่งแปลกประหลาดและน่ากลัวขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ?