บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 266 อธิบายไปไย
บทที่ 266: อธิบายไปไย?
บทที่ 266: อธิบายไปไย?
“ท่านมีวิธีจัดการปีศาจตนนี้หรือไม่?”
หนิงซือฮวาถามด้วยความคาดหวัง
“เจ้าออกไปก่อนแล้วค่อยเข้ามาหลังจากครึ่งชั่วยาม” ซูอี้เอ่ยอย่างเรียบเฉย
ดวงตาของหนิงซือฮวาเป็นประกาย นางพยักหน้าอย่างเต็มใจ และหันหลังเดินจากไป
ซูอี้ยกมือขึ้น หยิบดาบนิลกาฬกลืนฟ้าออกมา และปาดปลายนิ้วของตนเองเล็กน้อย เมื่อเลือดสีแดงสดปรากฏขึ้น เขาก็ประทับปลายนิ้วของตนเองไปที่ผิวหนังอันที่อ่อนนุ่มบริเวณท้องน้อยของหลานซัวอย่างรวดเร็ว
หยดเลือดเริ่มแผ่กระจายออกกลายเป็นลวดลายโบราณลึกลับปกคลุมลวดลายสีดำที่มีอยู่เดิมราวกับต้องการสะกดมันไว้
สำแดงอำนาจแห่งบัญญัติ!
เมื่อเลือดสีแดงสดวาดเป็นลวดลายจนสมบูรณ์และซึมลึกเข้าสู่ผิวหนังบริเวณท้องน้อยของหลานซัว ทันใดนั้นนางก็ครางออกมาอย่างไม่อาจควบคุม ทั้งร่างกายสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
จะเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าหน้าท้องที่เนียนงามและอ่อนนุ่มของนางสั่นไหวในทันใด และลวดลายนกดุร้ายสีดำที่ปรากฏเด่นชัดขณะนี้ราวกับบ้าคลั่ง มันดิ้นส่ายไปมาราวกับปลาฉลามที่หิวโหยได้กลิ่นเลือดและพุ่งเข้าหาบัญญัติอย่างเสียสติ
บัญญัติสีแดงเปล่งประกายเป็นจังหวะราวกับหายใจ ริบหรี่และยุบพองเป็นจังหวะทำให้เกิดความผันผวนที่คลุมเครือ
เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายของหลานซัวสั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ และทั้งร่างของนางก็ร้อนเหมือนถ่านไฟ เสียงคร่ำครวญจากริมฝีปากของนางบางครั้งต่ำ บางครั้งสูง บางครั้งยาว…
ซูอี้รู้สึกกระอักกระอ่วนในใจอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หากมีผู้ใดได้ยินเสียงนี้คงไม่พ้นต้องคิดเลยเถิดกันไปไกลเป็นแน่แท้
ในไม่ช้า ลวดลายสีดำที่ปกคลุมบนส่วนอื่น ๆ ของร่างกายของหลานซัวก็รวมกันพุ่งเข้าหาบริเวณท้องน้อยราวกับว่าพวกมันมีชีวิตและรับรู้ได้ถึงภยันอันตรายอันใหญ่หลวง
ทันใดนั้น มือขวาของซูอี้ก็ประทับลงบนบัญญัติเพื่อกักขังวิญญาณ ฝ่ามือและนิ้วค่อย ๆ กวาดไล้ไปตามผิวหนังอันเรียบเนียนของหลานซัว ค่อย ๆ เคลื่อนทีละคืบจากหน้าท้องถึงส่วนบนของหน้าอก…
ด้วยการเคลื่อนไหวของฝ่ามือของซูอี้ บัญญัติสีแดงสดกักขังลวดลายสีดำทั้งหมดเอาไว้ภายในมันอย่างแน่นหนา ลากพาพวกมันไปพร้อมกับการเคลื่อนมือของซูอี้
ในไม่ช้า ผ้าบางคาดอกก็ถูกเปิดออก และฝ่ามือของซูอี้กวาดไล้ผ่านยอดอกสูงตระหง่านทั้งสอง มุ่งหน้าไปถึงส่วนของคอขาวระหง
จนกระทั่งถึงคอหอย
ซูอี้กระแทกฝ่ามือแผ่วเบา
หลานซัวซึ่งยังคงหมดสติเปิดปากอย่างฉับพลัน และจากนั้นเงาสีดำลึกลับก็พุ่งออกมาราวกับหนีภัยพิบัติ ซึ่งซูอี้จับเอาไว้อย่างแน่นหนา
หากมองดูดี ๆ จะเห็นว่ามันมีลักษณะเหมือนรังไหม มีขนาดเท่ากับไข่นกพิราบแต่สีดำสนิทโดยมีชั้นของลวดลายบิดเบี้ยวแปลกตาประทับอยู่บนพื้นผิว
มันดูเหมือนว่ายังมีชีวิตอยู่ ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งบนฝ่ามือของซูอี้ ด้วยความแข็งแกร่งอันน่าเหลือเชื่อ
สิ่งนี้คือหนอนปีศาจวิญญาณเร้นซึ่งภายในของมันนั้นมีดวงวิญญาณของนกกกระจอกเพลิงยมโลกสถิตอยู่!
นกกระจอกเพลิงยมโลกนั้นคือสัตว์วิเศษซึ่งรู้แจ้งถึงเต๋า มันสามารถหลอมละลายภูเขา ต้มมหาสมุทรได้ด้วยการสะบัดปีกเพียงไม่กี่ครั้ง มีอำนาจทำลายล้างไร้ขอบเขตหากอยู่ในโลกปุถุชนแห่งนี้
อันที่จริงแม้แต่ผู้บ่มเพาะขอบเขตจักรพรรดิ ก็ยังยากที่จะปราบสัตว์ร้ายที่แข็งแกร่งประเภทนี้
แต่เนื่องจากตัวที่อยู่ตรงหน้าซูอี้ขณะนี้เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณของนกกระจอกเพลิงยมโลกเท่านั้น และมันไม่ได้แปลงร่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์จริง ๆ
ดังนั้นแล้ว หากซูอี้เต็มใจ ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขาในปัจจุบัน เขาก็สามารถกำจัดมันได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตาม มีหรือที่เขาจะยอมเสียของดี ๆ แบบนี้ไปโดยไม่นำมาใช้งานให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง?
“ประจวบเหมาะนัก ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าของข้ายังขาดวิญญาณสถิต นกน้อยตัวนี้เห็นควรจะเหมาะสมแล้ว”
“ด้วยวิธีนี้ ผู้ที่ถูกสังหารด้วยดาบของข้า วิญญาณและเลือดของคนเหล่านั้นจะถูกดูดกลืนกลายเป็นอาหารของนกน้อยตัวนี้ และดาบนิลกาฬกลืนฟ้าก็ยังสามารถได้รับสืบทอด ‘เพลิงปีศาจผลาญวิญญาณ’ อีกทั้งในอนาคตเมื่อมันพัฒนาไปจนถึงจุดที่นกน้อยตัวนี้แปลงร่างได้อย่างแท้จริง ข้าจะสามารถใช้เป็นสัตว์ขี่ได้ พูดได้ว่ามันสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลายดีที่สุด”
ซูอี้พอใจกับลาภลอยครั้งนี้มาก
นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่ปฏิเสธในการรักษาหลานซัวเลย
โดยไม่ลังเล ซูอี้ได้นำดาบนิลกาฬกลืนฟ้าวางทาบลงบนฝ่ามือของเขา ซึ่งกำลังกักขังดวงวิญญาณนกกระจอกเพลิงยมโลก
ชิ้ง!
ใบดาบที่เหมือนหมึกของดาบนิลกาฬกลืนฟ้า จู่ ๆ ก็ปรากฏอักษรลึกลับมากมาย พวกมันเริ่มหลอมรวมกันและกลายเป็นหลุมดำที่เวียนวนรุนแรงประหนึ่งสามารถดูดกลืนทุกอย่างในโลกหล้าได้
บัญญัติกลืนวิญญาณ!
บัญญัตินี้ถูกบันทึกไว้ในสำนัก ‘แดนอสูรปรีดี’ แห่งเก้ามหาแดนดิน บนแท่นศิลาบัญญัติฟ้า มันมีผลอันน่ามหัศจรรย์ในการดูดกลืนและหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ
ดังนั้นแล้วการใช้มันในการดูดกลืนเศษเสี้ยวดวงวิญญาณนกกระจอกเพลิงยมโลกนั้นจึงเหมาะสมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูอี้จ้องไปที่ไข่สีดำลึกลับขนาดเท่าไข่นกพิราบบนฝ่ามือ และพูดเบา ๆ ว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าสามารถรับรู้สถานการณ์ของเจ้าเองได้แล้วและได้ยินคำพูดของข้า ฉะนั้นอย่าบังคับให้ข้าใช้กำลัง จงเข้าไปอย่างเชื่อฟังและรับใช้โดยไม่มีข้อแม้เสีย แล้วข้าจะให้สัญญาว่าข้าจะทำให้เจ้าคืนร่างได้อย่างสมบูรณ์ในอนาคตอันใกล้นี้”
หลังจากพูดจบแล้ว ไข่สีดำก็ยังคงไม่ตอบสนอง
ซูอี้ขมวดคิ้วขณะที่เขากำลังจะทำอะไรบางอย่าง เสียงวิญญาณอันอ่อนแอก็ดังออกจากไข่สีดำ “เจ้าไม่กลัวบ้างหรือว่าเมื่อใดที่ราชาผู้นี้คืนร่างได้ วันนั้นจะเป็นจุดจบของเจ้า?”
“ผู้คนมากมายต่างมองว่าเป็นโชคใหญ่ถึงแปดชั่วรุ่นหากซูผู้นี้แลตามองอยากจะสอนสั่ง แต่กระนั้นเจ้ากลับหาญกล้าเรียกตัวเองว่า ‘ราชาผู้นี้’ ต่อหน้าข้า เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากเจ้าเรียกตนเองว่าราชาอีกเพียงครึ่งคำ ข้าจะสังหารเจ้าเสียโดยไม่ยั้งคิดแม้แต่อึดใจ!”
คำพูดที่เย็นชาและแน่วแน่นี้ทำให้เศษเสี้ยวดวงวิญญาณนกกระจอกเพลิงยมโลกตกตะลึง
ท้ายที่สุดมันจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เจ้ารอข้าก่อนเถอะ!”
แกร็ก!
จู่ ๆ ไข่สีดำเกิดรอยแยก จากนั้นมวลพลังสีดำก็ปรากฏขึ้นและพุ่งเป็นสายหายเข้าไปในบัญญัติกลืนวิญญาณของดาบนิลกาฬกลืนฟ้า
“ขี้ขลาดโดยแท้ หากเจ้าไม่กลัวตาย เหตุใดจึงยอมจำนนต่อข้าง่ายดายเช่นนี้? กล้าขู่ข้าด้วยความไม่พอใจงั้นหรือ ได้ เอาไว้มีโอกาสเมื่อใดข้าจะสั่งสอนเจ้าให้รู้ความ…”
ซูอี้หัวเราะครู่หนึ่ง
แกร็ก!
ในฝ่ามือของซูอี้ ไข่สีดำแตกออกโดยสมบูรณ์และกลายเป็นผงสลายหายไปกับสายลม
เมื่อมองดูดาบนิลกาฬกลืนฟ้าอีกครั้ง บนดาบสีดำราวกับท้องฟ้ายามราตรีมีลวดลายของนกที่ดุร้ายปรากฏอยู่ในนั้น เพิ่มความลึกลับและความน่าเกรงขามให้กับมันได้อีกหลายส่วน
“ว้าย!!”
แต่แล้วจู่ ๆ เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้น บนเตียงหลานซัวซึ่งทั้งร่างเกือบจะเปลือยจนล่อนจ้อนได้ตื่นขึ้นแล้ว
ดวงตาโตสวยใสของนางเบิกกว้าง ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความโกรธ
นางกำลังจะลุกนั่ง แต่พบว่าร่างกายอ่อนแอจนยันตัวขึ้นไม่ได้ นางอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล และด้วยความโกรธเคืองจึงพูดอย่างเกรี้ยวกราด
“เจ้าเป็นใครกัน!? เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงลวนลามข้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าได้ในชั่วอึดใจ!”
ซูอี้อดไม่ได้ที่จะสั่นศีรษะครู่หนึ่ง สตรีนางนี้เห็นได้ชัดว่ากำลังขาดสติ พฤติกรรมที่แสดงในตอนนี้ออกจากจิตใต้สำนึกล้วน ๆ
ตูม!
ประตูถูกผลักเปิดออก
หนิงซือฮวารีบเดินปรี่เข้ามา และเมื่อนางเห็นหลานซัวที่ตื่นขึ้นมาแล้ว สีหน้าของนางจึงดูยินดีอย่างมาก
แต่เมื่อนางเห็นสีหน้าอันตื่นตระหนกบนใบหน้าของหลานซัวและร่างกายที่แทบจะไร้สิ่งปิดบัง นางก็เข้าใจทุกอย่าง รีบพูดอย่างรวดเร็วว่า
“หลานซัว อย่าได้เข้าใจข้าผิด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสหายเต๋าซูพยายามช่วยชีวิตของเจ้าเอาไว้!”
ขณะที่นางพูด นางก้าวไปข้างหน้าและคลุมร่างกายของหลานซัวด้วยผ้าห่ม
“ป…เป็นอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อเห็นหนิงซือฮวา หลานซัวจึงสงบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ใบหน้างดงามของนางยังคงมีแววไม่แน่ใจ และสายตาซึ่งจ้องมองไปทางซูอี้ก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
“เจ้าอธิบายให้นางฟัง”
ซูอี้เกียจคร้านเกินกว่าจะสนใจเรื่องนี้ เขาหันหลังและเดินออกจากห้อง
เมื่อออกมาด้านนอกเรือน เขาก็เห็นเหวินหลิงเสวี่ย ฉาจิ่น และเจิ้งมู่เหยา ต่างก็มองหน้ากันด้วยท่าทางที่แปลกประหลาด
ก่อนหน้านี้ทั้งสามคนได้ยินเสียงร้องครางทั้งสูงต่ำ ระรัวและเชื่องช้าสลับยาวและสั้นซึ่งคล้ายกับเสียงแห่งความสุขสม
ฟังแล้วทำให้ผู้คนหน้าแดง
และก่อนที่ซูอี้จะเดินออกจากเรือน พวกนางยังได้ยินเสียงตะโกนอันโกรธเคืองของหลานซัว โดยบอกว่านางมีมลทินและต้องการจะตัดหัวของซูอี้…
ดังนั้นแล้ว ทันทีที่เมื่อพวกนางเห็นซูอี้ในเวลานี้ ทั้งสามสาวจึงทั้งดีใจ ซับซ้อน และสับสน อารมณ์ทั้งหลายต่างประดังเข้ามา
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังเข้าใจผิดหลังจากได้ยินเสียงเหล่านั้น”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะอธิบายอะไร
ในเมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นจะอธิบายไปไย?
แม้เขาจะสัมผัสกับสตรีที่ชื่อหลานซัวอะไรนั่นจริง แต่มันเป็นการช่วยเหลือผู้คน ไม่เกี่ยวข้องกับมลทินใดทั้งนั้น
สุภาพบุรุษอันแท้จริงเหตุใดจึงต้องกลัวการนินทา?
แน่นอนว่าเมื่อเห็นซูอี้เกียจคร้านเกินกว่าจะอธิบาย เหวินหลิงเสวี่ยโล่งใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ารู้ว่าพี่ซูอี้ไม่ใช่คนเช่นนั้น”
“ฉาจิ่นรู้ดีที่สุดเช่นกัน นายท่านไม่เอาเปรียบใครในเรื่องเช่นนี้แน่”
ดวงตาที่สวยงามของฉาจิ่นเปล่งประกายอย่างล่วงรู้ นางยิ้มอย่างอ่อนหวาน
ในใจของนางกล่าวเสริมว่า “หากว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นจริง ชายผู้นี้จะยอมรับมันอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีปกปิด… ไม่สิ เขารำคาญเกินกว่าจะปกปิดมากกว่าต่างหาก… ”
เจิ้งมู่เหยาก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน นางพยักหน้าอย่างรุนแรงและพูดว่า “ใช่ หรือต่อให้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นจริง มันก็ควรจะเป็นสตรีนางนั้นที่เป็นฝ่ายเริ่มกับท่านอาซูอี้ก่อน!”
เหวินหลิงเสวี่ยและฉาจิ่นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับคำพูดนี้
หากผู้ชายคนอื่นเห็นฉากนี้ พวกเขาคงจะเห็นซูอี้เป็นแบบอย่างแห่งชายชาตรีอันแท้จริง มันราวกับเมื่อบั้นท้ายเปื้อนไปด้วยโคลนเหลือง แต่กลับมีเหล่าสตรีงามคอยตามอธิบายให้ว่ามันเป็นเพียงโคลนโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ!
ไม่นานต่อมา
หนิงซือฮวาก็เดินออกจากเรือนพร้อมกับอุ้มหลานซัวซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเอาไว้บนหลัง
หลานซัวหลับตาและทำท่าทีดูเหมือนนางกำลังหมดสติอยู่เช่นเดิม สิ่งนี้คล้ายว่านางคงไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับซูอี้อย่างไร ดังนั้นนางจึงหลับตาราวกับว่านางมองไม่เห็นอะไรเลย…
หนิงซือฮวาก้าวมาข้างหน้าและกล่าวขอโทษ “สหายเต๋า ตอนนี้ หลานซัวรู้แล้วว่ามันเป็นความเข้าใจผิด ข้าหวังว่าสหายเต๋าคงสามารถให้อภัยได้กับการกระทำอันไม่ยั้งคิดของสหายข้าและไม่ติดใจเอาความ”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าไม่สนใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อย ว่าแต่เจ้าจะพานางไปเลยใช่หรือไม่?”
หนิงซือฮวาพยักหน้า “ไม่ผิด นางอ่อนแอเกินไปและต้องการพักผ่อน ข้าจะพานางกลับไปที่ตำหนักเทียนหยวนก่อนแล้วจะกลับมาขอบคุณท่านในวันหลัง”
ซูอี้พยักหน้า
ในไม่ช้า หนิงซือฮวาก็พาหลานซัวขึ้นขี่นกอินทรีทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
“หนิงซือฮวาจากไปแล้ว”
ชายในชุดคลุมยาวยืนอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนของซูอี้ เขายืนอยู่ข้างหน้าต่างที่เปิดอยู่และพูดอย่างแผ่วเบา
ดวงตาของเขาจ้องไปที่นกอินทรีซึ่งค่อย ๆ บินห่างออกไปและในไม่ช้าก็ลับหายไปในท้องฟ้า
“ลงมือตอนนี้เลยหรือไม่?”
ที่โต๊ะอาหารริมหน้าต่าง หญิงสาวผู้สะพายดาบไว้บนหลังอยู่ในชุดพรตเต๋าเอ่ยขึ้นก่อนจะกระดกจอกสุรารวดเดียว
“ศิษย์น้องเหลียวเจ้าอย่าได้รีบร้อน ซูอี้ผู้นี้แม้จะเยาว์วัยแต่เขาสามารถสังหารบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้ในขณะที่เขาอยู่เพียงระดับปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง ดังนั้นแล้วเขาคือตัวตนอันตรายอย่างยิ่งยวดหากเราไม่รอบคอบ”
อีกด้านหนึ่งของโต๊ะเหล้า ชายชราผมสีเงินยิ้มและกล่าวว่า
“อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะอันตรายสักเพียงใด ชะตากรรมของเหยื่อย่อมไม่พ้นการถูกล่าและถูกฆ่า ตราบใดที่เรารักษาความสงบของเราเอาไว้ได้ เราจะสามารถมีโอกาสกำจัดเขาได้ในที่สุด”
หลังจากเอ่ยจบเขาดื่มสุราอีกหนึ่งจอกและลูบปากอย่างสำราญใจ