บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 268 หวังจั๋วแห่งแคว้นเหวิน
ตอนที่ 268: หวังจั๋วแห่งแคว้นเหวิน
ตอนที่ 268: หวังจั๋วแห่งแคว้นเหวิน
วันที่สี่ของเดือนสี่
สำหรับปุถุชนในอาณาจักรต้าโจว มันเป็นวันธรรมดาทั่วไป
ทว่าสำหรับพวกมีอำนาจจำนวนมากในอาณาเขตต้าโจว วันนี้มีความหมายที่แตกต่างออกไป
เพราะวันนี้ ซูอี้ในวัยสิบเจ็ดปี จะออกเดินทางไปมหานครหลวงอวี้จิง!
ในความมืดมิดมีคลื่นความปั่นป่วน
มีจิตสังหารซ่อนไปทั่ว!
ณ เทือกเขาต้นกระจับ
ตั้งอยู่บริเวณมหานครกุ่นโจวห่างไปราวหนึ่งร้อยกว่าลี้ เนื่องจากมีรูปร่างคล้าย ‘ต้นกระจับ’ จึงตั้งชื่อตามรูปขึ้นมา
ทางขึ้นเขานั้นสูงชัน และไม่มีผู้คนเหยียบย่างเข้าไปได้มากนัก
มีศาลเจ้าชำรุดทรุดโทรมที่ไม่รู้ว่าสร้างเดือนไหนหรือปีใดตั้งอยู่เปล่าเปลี่ยวด้านข้างเส้นทางภูเขา
ประตูศาลเน่าผุพังถล่ม ภายในนั้นมีใยแมงมุมฝุ่นปกคลุมอย่างหนาแน่น รูปปั้นสักการะพังถล่มกลายเป็นก้อนหินอยู่บนพื้น
ใกล้จะมืดค่ำ
สายลมพัดโชย สายฝนตกปรอยลงมา และมีหมอกหนามาก
จากเส้นทางบนภูเขาที่คดเคี้ยวและสูงชัน มีชายหนุ่มในชุดคลุมสีเขียวถือร่มกระดาษน้ำมันเดินมาราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในลานบ้านด้วยท่าทางสบาย ๆ
เป็นซูอี้
เขาออกเดินทางจากมหานครกุ่นโจวในตอนเช้าตรู่ ตลอดการเดินทางขึ้นเขาลงห้วยข้ามน้ำข้ามทะเล แทบจะไม่หยุดพักมาจนถึงยามนี้ เพียงเพราะแค่รู้สึกหิวเท่านั้น
เมื่อมาถึงด้านหน้าศาลเจ้าที่ทรุดโทรม พลันซูอี้หันมองสีของท้องฟ้า และตัดสินใจพักอยู่ที่แห่งนี้
เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ยกมือตบเบา ๆ ไปที่น้ำเต้าปลุกวิญญาณข้างเอว พลางเอ่ย “ชิงหว่าน”
น้ำเต้าปลุกวิญญาณก็พ่นควันขาวออกมา ลอยเป็นเกลียวอยู่ในหมอก ชิงหว่านที่สวมชุดกระโปรงสีแดงฉานปรากฏตัวออกมา
“นายท่านมีสิ่งใดจะสั่ง?”
สาวน้อยงดงามน่ารัก ดวงตากลมโตขี้ขลาด
เทียบกับเมื่อก่อนแล้ว ลมปราณบนร่างชิงหว่านไม่ต่างอะไรกับคนปกติแล้ว รูปร่างงดงามอ่อนช้อย ผิวแวววาวราวกับหยกขาว น้ำเสียงอ่อนหวานไพเราะ ช่างสวยงามน่ารักมาก
“ไปหาอาหารป่ามา และจำไว้ว่าอย่าไปไกลนัก”
ซูอี้เอ่ยสั่ง
“อื้ม!”
ชิงหว่านรีบตอบกลับไปทันที
ร่างที่งดงามพลันหายวับไป กลายเป็นแสงสีแดงที่ค่อย ๆ หายไปในม่านฝน
ซูอี้เก็บร่ม ผลักประตูเดินเข้าไปในศาลเจ้า จากนั้นก็หยิบเก้าอี้หวายออกมา เอนกายอยู่บนนั้นอย่างสบาย และเพ่งมองแผนที่ซึ่งนำออกมาอย่างละเอียด
ระหว่างมหานครกุ่นโจวกับมหานครหลวงอวี้จิงห่างกันประมาณสองพันลี้ บนเส้นทางนอกจากภูเขาใหญ่ทอดยาวขึ้นลงแล้ว ยังมีลำธาร ทะเลทราย ทะเลสาบใหญ่…
แน่นอนว่ายังมีเมืองอีกมากมาย
ตามแผนการเดินทางที่ซูอี้วาดไว้ หากเดินทางด้วยเท้า เขาจะต้องข้ามภูเขาใหญ่อย่างน้อยสามแห่ง แม่น้ำใหญ่เก้าแห่ง และเมืองสิบเก้าเมือง เพื่อเดินทางไปถึงมหานครหลวงอวี้จิง
แต่ว่า ซูอี้กลับไม่รีบร้อนเดินทาง
เพราะเขานัดกับหนิงซือฮวาและมู่ซี ว่าจะเจอกันที่เมืองจินหลิวซึ่งห่างจากขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาประมาณสิบลี้
เมื่อถึงตอนนั้น ก็จะเดินทางไปสำรวจเจดีย์ก่อน จากนั้นก็ออกเดินทางไปมหานครหลวงอวี้จิง
“หากไม่มีสิ่งใดรบกวน ไม่เกินห้าวันคงถึงเมืองจินหลิวนั่น”
ซูอี้เอ่ยขึ้นเบา ๆ
ขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนา ตั้งอยู่ในเส้นทางที่เขากำหนดไว้ เมื่อผ่านขุนเขาปีศาจวัดวิปัสสนาไปแล้ว ก็น่าจะถึงอาณาเขตแคว้นไป๋
และแคว้นไป๋ก็มีเมืองที่มีอาณาเขตติดกับมหานครหลวงอวี้จิง เมื่อไปถึงที่นั่น หลังจากนั้นคงใช้เวลาไม่เกินสองวัน จะถึงมหานครหลวงอวี้จิง
เมื่อเก็บแผนที่เรียบร้อยแล้ว ซูอี้ก็นำเหล้าขวดน้ำเต้าออกมาดื่มเข้าไปหลายอึก
ท้องฟ้าค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นมืดสลัว ฝนที่ตกลงมาโปรยปรายมีเค้ารางว่าจะตกหนักขึ้น เม็ดฝนตกลงบนหลังคาวิหารที่เสื่อมโทรม จนเกิดเสียงออกมา
ภูเขารกร้าง ศาลที่ทรุดโทรม วันฝนตกในตอนพลบค่ำ โลกคล้ายมืดสลัวลง
ซูอี้นั่งอยู่ในความมืดเพียงผู้เดียว ทว่าสุขสบายมาก
เพียงแต่ท้องกลับยิ่งหิวขึ้นเรื่อย ๆ…
เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย แม่สาวน้อยชิงหว่านก็มีพลังเทียบเท่าปรมาจารย์ แค่จับอาหารป่าเพียงเล็กน้อยเหตุใดถึงใช้เวลานานเช่นนี้?
และในตอนนั้นเอง เงาสีแดงก็ลอยเข้ามา
เป็นชิงหว่าน ในมือนางจับงูเหลือมสีทองขนาดใหญ่ตัวหนึ่งเอาไว้ เอ่ยอย่างติดขัด “นายท่าน ให้ท่านรอนานแล้ว”
ซูอี้ถาม “เหตุใดถึงได้ล่าช้านัก?”
ชิงหว่านก้มหน้าสำนึกผิด พลางเอ่ยเสียงดัง “ระหว่างทางหว่านเอ๋อร์เห็นกระต่ายน้อยกับกวางน้อยจำนวนมาก ทว่าพวกมันดูเหมือนจิตใจดีมาก หว่านเอ๋อร์จึงมิอาจทำร้ายได้ จากนั้นก็หาสัตว์ที่เหมาะสมมาตลอดทาง และไม่ง่ายนักถึงหางูเหลือมตัวนี้เจอ…”
ซูอี้ใช้มือจับหน้าผาก มุมปากกระตุกเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าสามารถทำร้ายงูเหลือมตัวนี้ได้?”
ชิงหว่านรีบอธิบาย “เอ่อ… ไม่ใช่หว่านเอ๋อร์ที่ฆ่ามัน งูเหลือมตัวนี้ถูกเหยี่ยวตัวหนึ่งฆ่าตาย หว่านเอ๋อร์ไล่ตามเหยี่ยวไป และนำงูเหลือมตัวนี้กลับมา”
ซูอี้ “…”
เคยเห็นคนใจดี แต่ไม่เคยเห็นคนใจดีเช่นนี้ ฝึกฝนบำเพ็ญมาตลอดชีวิต จะไม่ฆ่าได้อย่างไร?
“คงทำให้เจ้าลำบากใจแล้ว”
ซูอี้ส่ายหน้าครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มยุ่งขึ้นมา
ไม่นาน กองไฟกองหนึ่งมีไฟลุกไหม้รุนแรง งูเหลือมสีทองนั้นถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ เสียบไม้ และถูกนำไปย่างบนกองไฟนั้น
ชิงหว่านนั่งลงอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง มองมือซูอี้ที่ย่างเนื้ออย่างชำนาญ พลันใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสงบนิ่ง
“กินหรือไม่?”
ไม่นาน ซูอี้จับเนื้องูเสียบไม้ที่เหลืองกรอบน้ำมันไหลเยิ้มขึ้นมา พลางถามชิงหว่าน
ชิงหว่านรีบส่ายหน้าทันที
เมื่อซูอี้เห็นเช่นนี้ เขาก็ยกให้ตัวเอง เขากินไปด้วยดื่มเหล้าไปด้วย ช่างเป็นสุขยิ่งนัก
ต้องบอกว่า ในค่ำคืนฝนตกบนภูเขารกร้าง กินเนื้องูสดใหม่ที่ย่างสุก ช่างเป็นประสบการณ์อีกแบบหนึ่ง
ซ่า ๆ!
ฝนตกหนักราวฟ้ารั่ว ม่านฝนที่รินไหลลงมาจากชายคาคล้ายดั่งม่านน้ำที่สาดกระจาย
ท้องฟ้ายิ่งมืดขึ้นเรื่อย ๆ
ซูอี้กินอิ่มดื่มจนพอแล้ว เมื่อเห็นสภาพอากาศที่เป็นเช่นนี้ เขาก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ และเมื่อกำลังครุ่นคิดว่าต้องเดินทางในคืนนี้เลยหรือไม่
จู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าที่เบาดังเข้ามาจากด้านนอกศาลทรุดโทรมนี้
ไม่นาน ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก มีชายสวมเสื้อกันฝนที่สานจากหญ้าหนวดมังกร และสวมหมวกหญ้าเดินเข้ามาภายในศาลทรุดโทรมนี้
รูปร่างคนผู้นี้สูงใหญ่ ทำให้คนรู้สึกเหมือนถูกกดทับ ทั่วร่างเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน ทว่าก็ไม่อาจกลบซ่อนไอยะเยือกที่อยู่ภายในกายได้
ทันทีที่ชายสวมหมวกหญ้าเข้ามา ก็คำนับไปทางซูอี้ “คุณชายซู นายท่านข้าจัดงานเลี้ยงอยู่ที่ ‘จุดพักม้าหลงเฉียว’ ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ยี่สิบลี้ และส่งข้ามาเชิญคุณชายเดินทางไปที่นั่นเป็นพิเศษ!”
น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำของเขาราวกับเสียงฟ้าร้อง สั่นสะเทือนจนหลังคาศาลเจ้าที่ทรุดโทรมสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย
ซูอี้ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “นายท่านเจ้าเป็นผู้ใด?”
ชายสวมหมวกหญ้ายังคงรักษาท่าทางคำนับไว้อยู่ และเอ่ยด้วยเสียงลุ่มลึก “รอคุณชายไปถึงเมื่อใดก็จะรู้เอง”
ซูอี้ร้องอ๋อแล้วจึงเอ่ย “ป่ารกร้างในส่วนลึกของภูเขา ทั้งฝนที่ตกหนักมาก นายท่านเจ้ายังให้เจ้ามาหาข้าในศาลเจ้าทรุดโทรมนี้ และยังจัดเตรียมงานเลี้ยงก่อนหน้า ต้องมีเรื่องบางอย่างเป็นแน่”
ชายสวมหมวกหญ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก “หากคุณชายรับคำเชิญนี้ ขอเชิญคุณชายเดินทางไปพร้อมกับข้า”
“หากข้าไม่รับคำเชิญล่ะ?”
ซูอี้เอ่ยอย่างเย็นชา
“นายท่านข้าบอกว่า คุณชายมีความกล้าที่จะเดินทางไปมหานครหลวงอวี้จิงเพียงลำพัง และคาดว่าจะไม่กลัวเรื่องการเดินทางไปงานเลี้ยง”
เมื่อพักครู่หนึ่ง ชายสวมหมวกหญ้าจึงเอ่ยต่อ “และนายท่านข้าก็ยังบอกอีกว่า หากคุณชายซูปฏิเสธ ก็ให้ข้าเลือกวิธีตายสองทางเลือก”
ซูอี้เลิกคิ้ว “สองทางเลือกอะไร?”
ชายสวมหมวกหญ้าเงยหน้าเล็กน้อย เผยดวงตาเย็นชาที่ใกล้จะไร้ความรู้สึกภายใต้หมวกหญ้าออกมา
“ถ้าไม่ถูกคุณชายซูฆ่าตาย ก็ถูกนายท่านฆ่าตาย”
ชิ้ง!
ซูอี้สะบัดนิ้ว พลันปราณดาบพุ่งไปในอากาศ รวดเร็วปานสายฟ้าจี้ไปที่ลำคอของชายสวมหมวกหญ้า
รูม่านตาชายสวมหมวกหญ้าหดลงรามกับเข็ม ทว่ายืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
เมื่อปราณดาบที่พุ่งไปห่างจากลำคอชายสวมหมวกหญ้าหนึ่งนิ้ว พลันระเบิดกระจายหายสาบสูญไป
ชายสวมหมวกหญ้าหายใจเข้าลึก พลางคำนับ “ขอบคุณคุณชายซูที่ไว้ชีวิตข้า!”
บนขมับ คอ และหลังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เห็นได้ว่าเขาไม่ได้สงบอย่างที่แสดงออก
“นำทางเถิด”
ซูอี้ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้หวาย และเรียกชิงหว่านกลับเข้าไปในน้ำเต้าปลุกวิญญาณข้างเอวเขา
…..
ณ จุดพักม้าหลงเฉียว
จุดพักม้าที่สร้างอยู่บนเส้นทางภูเขาในที่เปลี่ยว ลานข้างหน้าคือลานบ้านขนาดใหญ่ ภายในลานบ้านมีจวนที่สร้างด้วยหินขนาดใหญ่ห้าหลัง
ฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ค่ำคืนที่มืดมิด
ยามนี้ภายในจวนขนาดใหญ่สามชั้นที่อยู่ตรงกลาง มีแสงไฟสว่างไสวที่ดูเหมือนอบอุ่น
ชายสวมหมวกหญ้าที่พาซูอี้มา ถือโอกาสจากคืนที่ฝนตก เดินเข้าไปภายในจุดพักม้าและตรงไปยังจวนซึ่งอยู่ตรงกลาง
เมื่อผลักประตูเข้าไป คลื่นความร้อนพลันกระทบใบหน้า เห็นโคมไฟสว่างไสว พรมแดงปูอยู่บนพื้น และควันจากกระถางธูปหอมม้วนตัวเป็นเกลียว
ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ มีโต๊ะยาวทำจากไม้ บนโต๊ะวางอาหารไว้หลากหลาย ทั้งหมดล้วนมีไอความร้อนออกมา และมีของว่างจำพวกผลไม้
ภายนอกรันทด ทว่าภายในห้องกลับดูหรูหรา ทำให้เกิดความรู้สึกแตกต่างกันมาก
ตรงข้ามโต๊ะยาวนั้น มีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ บนหัวสวมหมวกหงอนขน สวมเสื้อคลุมไม่มีแขนประดับด้วยขกนก คิ้วคมดั่งดาบ ดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดาว และมีท่าทางสง่างาม
บนไหล่ของเขา มีแมวดาวทมิฬนอนขี้เกียจอยู่ นัยน์ตาสีฟ้าของมันเป็นประกายแวววาวเย้ายวนและน่าเกรงขาม
“นายท่าน คุณชายซูมาถึงแล้ว”
ชายสวมหมวกหญ้าคำนับด้วยความเคารพ
“ที่นี่ไม่มีเรื่องของเจ้าแล้ว ออกไปเถอะ”
ชายชุดขนนกยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็ลุกขึ้น ยกมือขวาขึ้น ก้มคำนับไปทางซูอี้เล็กน้อย
“หวังจั๋วแห่งแคว้นเหวิน ยินดีที่ได้พบคุณชายซู”
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นในต้าโจว เมื่อได้ยินคำว่า ‘หวังจั๋ว’ สองคำนี้ จะต้องนึกถึงตำแหน่งต่าง ๆ ทันที
เจ้าตำหนัก ‘ตำหนักเทียนสิง’ หนึ่งในสิบตำหนักใหญ่ หนึ่งใน ‘สิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่’ แห่งต้าโจว ‘ราชาเข็มทิศทมิฬ’ ในเก้าราชาต่างสกุล…
เขาฝึกบำเพ็ญมาตั้งแต่เด็ก เมื่อมีอายุเพียงแค่สิบสี่ปี เขาก็ก้าวไปสู่ขอบเขตปรมาจารย์ กลายเป็นผู้นำที่คู่ควรในบรรดาศิษย์รุ่นเดียวกันในตำหนักเทียนสิง
และเมื่อเขาอายุสิบเจ็ดปีก็ก้าวเข้าไปสู่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ก่อนใช้เวลาเพียงแค่สิบปี ถีบตัวเองเข้าไปอยู่ในรายนามสิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าโจว และได้รับคำชมจากหอสิบทิศว่า ‘ผู้ที่มีความสามารถด้านกวี มีพรสวรรค์ในด้านการต่อสู้’
จนถึงตอนนี้ หวังจั๋วมีอายุสามสิบเจ็ดปีแล้ว ห่างจากตอนที่เขาก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์มาแล้วยี่สิบปี
ไม่มีผู้ใดรู้ว่า พรสวรรค์ทางด้านการต่อสู้ของชายที่เป็นดั่งตำนาน มีการบำเพ็ญไปถึงขั้นใดแล้ว
แน่นอนว่าซูอี้ไม่รู้เรื่องเหล่านี้
และถึงแม้จะรู้ เขาก็ไม่สนใจอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นหวังจั๋วคำนับอยู่ตรงหน้า ซูอี้เพียงพยักหน้า และนั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้างโต๊ะยาว ก่อนเอ่ยอย่างสบาย
“บอกข้ามาสิ เจ้าจัดงานเลี้ยงที่นี่ และยังส่งคนไปเชิญข้า เจ้าจะทำสิ่งใด”
หวังจั๋วยิ้มออกมาเล็กน้อย นั่งลงพร้อมเอ่ย “คุณชายซูพูดจาเปิดเผยตรงไปตรงมา หวังผู้นี้ก็จะไม่ปิดบัง ที่เชิญคุณชายมาในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องน่ายินดีที่ต้องปรึกษากับคุณชาย”
“เรื่องดี?”
ซูอี้เลิกคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้าพูดต่อ”
ดวงตาของหวังจั๋วใสดุจผลึก เขามองซูอี้ด้วยรอยยิ้มพลางกล่าว “คนอื่นอยากรู้แต่ ‘โชค’ และความลับบนร่างของคุณชายซู ทว่าหวังผู้นี้กลับยิ่งให้ความสำคัญกับคุณชายอย่างท่าน”
เมื่อพักไปครู่หนึ่ง ร่างเขาก็โน้มมาข้างหน้าเล็กน้อย และเอ่ยด้วยสีหน้าจริงใจ “ด้วยเหตุนี้ หวังผู้นี้ถึงได้จัดงานเลี้ยงนี้เป็นพิเศษ เพื่อคิดเชิญคุณชายเข้าร่วมกองกำลังของหวังผู้นี้”