บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 27 ศิษย์ยอดยุทธ์
ตอนที่ 27 ศิษย์ยอดยุทธ์
ทองคำสีชาดลายม่วงคือหนึ่งในวัตถุวิญญาณที่สามารถใช้เป็นวัตถุอันยอดเยี่ยมในการสร้างสมบัติวิเศษ
แม้ว่าแหวนมังกรนี้มีทองคำสีชาดลายม่วงผสมอยู่เพียงเล็กน้อย แต่หากทำการหลอมสกัดมันออกมาและเอามาผสมรวมใหม่กับแร่โลหะ ขึ้นรูปเป็นดาบ ดาบที่สร้างออกมาจะสามารถตัดเหล็กได้ราวกับเต้าหู้!
ส่วนทางด้าน ‘หินดำผลึกวิญญาณ’ ที่ฝังไว้กับตัวแหวนนั้นมีพลังวิญญาณอัดแน่นไว้อย่างถึงที่สุด ในสายตาของซูอี้ หินดำเม็ดนี้มีคุณสมบัติไม่ต่างอะไรกับ ‘หินวิญญาณระดับที่หนึ่ง’!
ที่เก้ามหาแดนดิน หินวิญญาณเป็นสิ่งที่ต้องมีเพื่อเอาไว้ใช้บ่มเพาะ
ขนาดของหินวิญญาณ ทั้งหมดล้วนมีมาตรฐานการแบ่งไว้ชัดเจน หินวิญญาณทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นเก้าระดับ
ระดับที่หนึ่งคือน้อยที่สุด และระดับที่เก้าคือมากที่สุด
แต่แค่เพียงหินวิญญาณที่ระดับต่ำกว่าสาม ก็เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บ่มเพาะทั้งหลายแล้ว
ในดินแดนแห้งแล้งเช่นต้าโจว ถึงแม้จะมีหินวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน …แต่พวกมันส่วนใหญ่ล้วนเป็นระดับที่หนึ่ง หรือไม่ก็ระดับที่สอง
แต่ด้วยความแห้งแล้งขาดแคลน แค่หินวิญญาณระดับหนึ่งหรือสองก็ถูกนับได้ว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่า มีเพียงตระกูลอันสูงศักดิ์เท่านั้นที่ถือครองพวกมัน
ตัวอย่างเช่นสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองกว่างหลิง แม้ว่าพวกเขาครอบครองกิจการภายในเมืองมากมายและมีทรัพย์สินมหาศาล กระนั้นแล้วหินวิญญาณระดับที่หนึ่งที่แต่ละตระกูลครอบครองกลับมีจำนวนไม่เกินไปกว่าร้อย!
แต่แล้วบนแหวนมังกรนี้มี ‘หินดำผลึกวิญญาณ’ ถึงสองเม็ด ซึ่งมันเทียบเท่ากับการครอบครอง ‘หินวิญญาณระดับที่หนึ่ง’ ถึงสองก้อน อีกทั้งแหวนวงนี้ยังสร้างจากทองคำสีชาดลายม่วง มูลค่าของมันจึงสูงล้ำอย่างมาก
“คงต้องรอก่อน เมื่อใดเข้าเมืองไปหาช่างตีเหล็กได้ ค่อยใช้ทองคำสีชาดลายม่วงเป็นส่วนประกอบ หลอมเป็นดาบสักเล่มและใช้งาน…”
ระหว่างครุ่นคิด ซูอี้เคาะปลายนิ้วรัวเร็ว ‘หินดำผลึกวิญญาณ’ ที่ประดับบนตัวแหวนกลิ้งในฝ่ามือ มันส่องแสงอย่างเป็นประกาย
ถัดจากนั้น ซูอี้นั่งขัดสมาธิ ถือหินดำผลึกวิญญาณไว้ทั้งสองมือ พร้อมโคจรพลัง
พลังวิญญาณบริสุทธิ์จากหินดำไหลหลากเข้าสู่กายซูอี้ทันทีราวอุทกภัย หลังโคจรพลัง ร่างกายเริ่มยุบและพองขึ้นเป็นจังหวะ พลังวิญญาณและเลือดลมทั้งร่างกายสูบฉีดรุนแรงราวเดือดพล่าน
ผลลัพธ์นี้ มันดีเสียยิ่งกว่าการฝึกที่ป่าหม่อนริมแม่น้ำต้าฉางถึงหลายเท่า!
ความรู้สึกของซูอี้กระจ่างชัด เลือดและเนื้อภายในกายกำลังอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเมื่อไรที่เสร็จกระบวนการ ร่างของซูอี้จะแกร่งกว่าเดิมไม่ต่ำกว่าสิบเท่าแน่นอน!
จันทร์เสี้ยวเฉิดฉายอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆ บางตระกูลเบิกบานยินดี แต่บางตระกูลกลับเศร้าเสียใจสุดแสน
ในค่ำคืนเดียวกันนี้ ภายในโถงใหญ่ตระกูลหลี่ หนึ่งในตระกูลของเมืองกว่างหลิง ขณะนี้กลับเต็มด้วยความหมองหม่น
ปัง!!
หลี่เทียนหาน ผู้นำตระกูลหลี่ทุบโต๊ะน้ำชาแหลกคามือ
“เรื่องนี้ มันยังไม่จบ!” ใบหน้าหลี่เทียนหานดำมืด เผยซึ่งจิตสังหาร
ผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลหลี่ที่นั่งอยู่ทั้งสองฟากข้างของโถงใหญ่ต่างตัวสั่น พวกเขาล้วนเงียบงันไม่กล้าเอ่ยวาจาใด
เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่งานเลี้ยงวันเกิดนายหญิงเฒ่าตระกูลเหวินในวันนี้ พวกเขาล้วนทราบแล้ว
กระนั้นหาได้มีผู้ใดคาดคิด ว่าหวงอวิ๋นชงผู้นำตระกูลหวงจะถึงขั้นแปรเปลี่ยนต้านกระแสน้ำ!
และที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจมากยิ่งกว่า คือการที่แม้แต่เจ้าเมืองฟู่ซาน รวมถึงผู้บัญชาการเนี่ยเป่ยหู่ต่างก็ไปเยือนและสนับสนุนตระกูลเหวินกันด้วยตนเอง!
สุดท้ายแล้ว ผู้นำตระกูลหลี่เทียนหานและบุตรชายหลี่โม่อวิ๋นจึงทำได้เพียงล่าถอย
มันคือความอัปยศอับอาย!
แม้จะไม่อยากให้ใครอื่นรับรู้ แต่ข่าวคราวนี้ย่อมต้องแพร่กระจายสู่ทั้งเมืองกว่างหลิง และมันจะกระทบต่อชื่อเสียงและเกียรติของตระกูลหลี่อย่างไม่ต้องสงสัย
“รายงานนายท่าน ผู้นำตระกูลหวงมีการตอบรับ”
ข้ารับใช้เฒ่าชราผู้หนึ่งเร่งรีบเข้ามาในโถง พร้อมโค้งกายรายงานต่อหลี่เทียนหาน
“หวงอวิ๋นชงกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไร!” หลี่เทียนหานรับคำสีหน้าเคร่งเครียด
ตัวเขาไม่ใช่โกรธจนดวงตามืดบอด ในใจเขาทราบดี เรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ ตระกูลเหวินวันนี้มันแปลกเกินไป หลายสิ่งอย่างผิดแปลกจนเกินควร
ดังนั้นยามกลับถึงบ้าน เขาจึงส่งคนไปยังบ้านตระกูลหวง เพื่อพยายามสืบทราบปากคำของหวงอวิ๋นชง
ข้ารับใช้เฒ่าชราลังเลไปครู่ ก่อนจะพูดตะกุกตะกัก “ผู้นำตระกูลหวงกล่าวบอก แนะนำให้พวกเราอย่าได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลเหวินในภายหน้า หากไม่แล้ว หายนะภัยอันยิ่งใหญ่จะมาเยือนอย่างไม่อาจหลีกหนี…”
กลุ่มคนที่รับฟัง ต่างต้องประหลาดใจ
หลี่เทียนหานชะงักงันไปครู่ ก่อนที่สีหน้าจะกลายเป็นดำมืดและกล่าวคำ “ตาเฒ่านั่นกล่าวเช่นนี้จริงหรือ?”
ข้ารับใช้เฒ่าชราเร่งรีบพยักหน้า “ข้ารับใช้เฒ่าชราผู้นี้ไม่กล้าเอ่ยคำบิดเบือน”
“เขาไม่กล่าวถึงสาเหตุหรือไร?” หลี่เทียนหานเอ่ยถาม
ข้ารับใช้เฒ่าชราส่ายศีรษะ
“หวงอวิ๋นชงจะต้องทราบเรื่องราวใดแน่ แต่ไม่กล่าวบอกออกมา เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ธรรมดา!” ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของตระกูลหลี่กล่าวคำกราดเกรี้ยว
ผู้อื่นต่างพยักหน้ารับ พวกเขารู้สึกว่าคำตอบของหวงอวิ๋นชงครั้งนี้ผิดแปลกอย่างมาก!
“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องขอพูดคุยกับท่านโดยลำพัง” ทันใดนี้เอง หลีโม่อวิ๋นที่เงียบมาโดยตลอดก็เอ่ยปากขึ้น
หลีเทียนหานขมวดคิ้ว ก่อนจะโบกมือ “พวกเจ้าออกไปก่อน”
บรรดาผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลหลี่ต่างลุกขึ้นและจากไปอย่างทราบความ หาได้มีผู้ใดกล้าทำให้เกิดความขุ่นเคืองไม่
ภายในตระกูลหลี่ ผู้นำหลี่เทียนหานเปรียบดังราชา คำบอกคือคำสั่ง
ยามเมื่อเหลือเพียงสองพ่อลูก หลี่เทียนหานเอ่ยถาม “เจ้าคิดกล่าวอะไร?”
“ตามความเห็นข้า ปัญหานี้ล้วนเป็นเพราะเหวินหลิงเจา!”
หลี่โม่อวิ๋นกล่าวคำอย่างสงบใจ “ท่านจำได้หรือไม่ ครั้งนั้น พวกเราไปยังโถงหลักตระกูลเหวิน แม้ตอนที่ท่านพ่อกล่าวเรื่องแบ่งกิจการสมุนไพรครึ่งหนึ่งของตระกูลเหวิน หวงอวิ๋นชงหาได้เอ่ยคำโต้แย้งใดไม่”
หลี่เทียนหานตระหนักทราบเข้าใจ จึงพยักหน้ารับและตอบคำ “ก็ถูก เวลานั้นเมื่อพ่ออ้างอำนาจตระกูลหวงร่วมกดดันตระกูลเหวิน หวงอวิ๋นชงก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีใด”
“แต่เมื่อครั้งเรากล่าวบอกขอเหวินหลิงเจาถอนสมรส หวงอวิ๋นชงกลับแทรกขึ้นมาด้วยตนเอง เรื่องนี้ผิดปกติ”
ดวงตาหลี่โม่อวิ๋นทอประกาย “เหตุใดบุคคลเช่นผู้นำตระกูล ถึงเข้าแทรกแซงเรื่องราวของรุ่นเยาว์? ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องใดกับตระกูลหวง!”
นัยน์ตาของหลี่เทียนหานหรี่ลงเล็ก เขาสงบใจลงได้มากแล้ว พร้อมนึกย้อนถึงรายละเอียดเรื่องราวที่จวนตระกูลเหวิน พลันได้ตระหนักว่าเรื่องนี้ผิดปกติ
หลี่โม่อวิ๋นสูดลมหายใจเข้าลึก ถ้อยคำเอ่ยต่อ “ถัดจากนั้น ไม่ว่าเนี่ยเป่ยหู่หรือฟู่ซาน พวกเขาที่มาถึง พวกเขาไม่ได้เอ่ยคำคัดค้านเรื่องตระกูลหลี่แบ่งกิจการสมุนไพรตระกูลเหวินครึ่งหนึ่ง แต่กลับกัน พวกเขาแสดงท่าทีอันเด่นชัดเข้าแทรกแซงเรื่องของซูอี้ เรื่องนี้… ไม่แปลกงั้นหรือ?”
“ผิดปกติทั้งสิ้น… แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับซูอี้และภรรยางั้นหรือ?”
หลี่เทียนหานขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทว่าซูอี้เป็นตัวตนอันไร้ค่า เรียกว่าไร้ค่าโดยสมบูรณ์ ส่วนเหวินหลิงเจา แม้ว่าเข้าร่วมการฝึกฝนที่ตำหนักเทียนหยวนได้ นางก็เป็นเพียงศิษย์ผู้หนึ่ง ไม่คู่ควรที่ตาเฒ่าเช่นหวงอวิ๋นชง ฟู่ซาน และเนี่ยเป่ยหู่จะต้องออกหน้า”
หลี่โม่อวิ๋นส่ายศีรษะกล่าวคำต่อ “ท่านพ่อ ท่านอาจยังไม่ทราบ แต่ข้าให้ความสนใจเรื่องราวของเหวินหลิงเจามาโดยตลอด เมื่อวานนี้ ข้าเพิ่งได้รับข่าวใหญ่ข่าวหนึ่ง”
“ข่าวใด?” หลี่เทียนหานชะงัก
ดวงตาหลี่โม่อวิ๋นทอประกายวาวโรจน์อันรุนแรงพร้อมกล่าวคำ “เหวินหลิงเจาได้รับความโปรดปรานจาก ‘จู้กู่ชิง’ ผู้เป็นรองเจ้าตำหนักเทียนหยวน จนเขาตัดสินใจ ‘จัดพิธีรับศิษย์’ ในอีกสามเดือนนับจากนี้ เพื่อรับเหวินหลิงเจาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ”
หลี่เทียนหานเผยสีหน้าแปรเปลี่ยน กระทั่งสูดลมหายใจเข้า “เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
จู้กู่ชิง!
หนึ่งในสามรองเจ้าตำหนักเทียนหยวน หนึ่งในยอดยุทธ์*[1] เพียงไม่กี่คนของเขตปกครองอวิ๋นเหอ
นางคือยอดยุทธ์ผู้มีวัยเพียงสามสิบหกปี ดังนั้นพรสวรรค์จึงนับว่าเลิศล้ำ
ตามการเล่าขาน ทักษะวิถีดาบของนางลึกล้ำยากคาดเดา อีกทั้ง ‘เพลงดาบหมอกอรุณรุ่ง’ ของนางยังมีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งยังได้รับคำชมจากยอดยุทธ์อาวุโสทั้งหลาย
หากเหวินหลิงเจาได้เป็นศิษย์ของนาง สถานะและตัวตนจะแปรเปลี่ยนอย่างมหาศาล!
ศิษย์ของยอดยุทธ์ผู้หนึ่ง มากพอจะทำให้ผู้นำตระกูลบางส่วนรับรองเป็นแขกทรงเกียรติ!
“ไม่แปลกใจที่หวงอวิ๋นชง ฟู่ซาน และผู้อื่นไม่ลังเลที่จะเผชิญหน้าตระกูลหลี่ของเราเพื่อตระกูลเหวิน กลายเป็นว่าตระกูลเหวิน ถึงกับมี ‘ศิษย์ยอดยุทธ์’ คงอยู่ผู้หนึ่ง…”
ถึงตรงนี้ หลี่เทียนหานค่อยทราบ กระนั้นอารมณ์ก็ยังคงหนักอึ้ง
ตลอดช่วงปี เขาพยายามฮุบกิจการสมุนไพรของตระกูลเหวิน พยายามหลายครั้งในการเข้าแทรก
เหมือนดังงานเลี้ยงวันเกิดนายหญิงเฒ่าเหวินในวันนี้ หากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องราว ตระกูลเหวินย่อมมีชะตาต้องส่งมอบกิจการสมุนไพรครึ่งหนึ่ง!
กระนั้นสถานการณ์ตอนนี้แปรเปลี่ยน ด้วย ‘ศิษย์ยอดยุทธ์’ เช่นเหวินหลิงเจา ทั่วทั้งเมืองกว่างหลิง ผู้ใดจะกล้าหาเรื่องต่อตระกูลเหวิน?
“แผนการข้าจะทำอย่างไรดี?”
หลี่เทียนหานเงียบงันไปครู่ ก่อนจะมองยังหลี่โม่อวิ๋น
ศิษย์ยอดยุทธ์ผู้หนึ่ง ทั้งยังสมรสแล้ว ไม่แปลกใจเลย หากตัวนางจะยากแตะต้อง
หลี่โม่อวิ๋นกล่าวคำด้วยอาการสงบ “ท่านพ่อ แม้การบ่มเพาะของเหวินหลิงเจาจะเฉิดฉายเพียงใด มันก็ไม่อาจกลบความต่ำตมของซูอี้ได้ อาจกล่าวได้ว่าซูอี้คือมลทิน ตัวมันมีแต่จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของเหวินหลิงเจา”
หลังเงียบไปครู่ เขาจึงกล่าวต่อ “แม้จะไม่ทราบว่าเหตุใดนายหญิงเฒ่าเหวินจึงคัดค้านสถานะสมรส แต่ข้ามั่นใจว่ายิ่งสถานะเหวินหลิงเจาสูงส่งมากเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งปฏิเสธซูอี้เท่านั้น”
หลีเทียนหานขมวดคิ้ว “โม่อวิ๋น เจ้าคิดจะกล่าวสิ่งใด?”
หลี่โม่อวิ๋นเผยยิ้มบางกล่าวคำตอบ “บุตรผู้นี้เติบโตมาพร้อมเหวินหลิงเจาตั้งแต่ยังเยาว์ ความรู้สึกที่ข้ามีต่อนางไม่เคยแปรเปลี่ยน แม้เพียงนิดก็ไม่”
“ฉะนั้นข้าพร้อมจะทำทุกหนทางเพื่อนาง!”
ถ้อยคำนั้นสงบ ทว่าแน่วแน่
นัยน์ตาของหลี่เทียนหานหรี่ลง “เจ้าคิดสังหารซูอี้?”
“เป็นเช่นนั้น ตราบเท่าที่ซูอี้ตาย สถานะสมรสย่อมจบสิ้นเช่นกัน มันจะเป็นผลดีต่อหลิงเจา ดีต่อข้า รวมถึงดีต่อทั้งตระกูลเหวิน!”
หลี่โม่อวิ๋นมั่นใจล้นพ้น “ดังนั้นซูอี้จึงต้องตาย! มันก็แค่เศษเดน หาได้มีความจำเป็นที่จะต้องเสนอหน้ารอดชีวิตในโลกนี้!”
หลี่เทียนหานจับจ้องบุตรชายครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ออกมา ทั้งยังกล่าวอย่างโล่งใจ “ลูกชาย เจ้าเติบโตแล้วจริง ๆ แนวคิดและทางเลือกล้วนเด็ดเดี่ยวสมบุรุษผู้องอาจ”
“แต่การสังหารซูอี้ ต้องไม่ใช่บุ่มบ่าม”
“ขณะนี้ทุกคนทราบแล้วว่าเจ้ามีความชื่นชอบเหวินหลิงเจาเป็นพิเศษ ทั้งยังเผยเจตนาในงานเลี้ยงวันเกิดของนายหญิงเฒ่าแห่งตระกูลเหวิน ดังนั้นหากซูอี้ตกตายกะทันหัน ผู้คนจะสงสัยเจ้า”
หลังรับฟัง หลี่โม่อวิ๋นพยักหน้าตอบ สีหน้ายังคงสงบและมั่นใจ พร้อมรับคำ
“ท่านพ่อคลายกังวลได้ ราชสีห์ขย้ำกระต่าย ย่อมไม่ต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมด แน่นอนว่าข้าย่อมไม่ขาดความระวัง และข้าจะไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย!”
“ดี ด้วยฐานะบิดา พ่อจะรอให้เจ้านำ ‘ศิษย์ยอดยุทธ์’ ของตระกูลเหวินกลับมาตระกูลเรา!”
หลี่เทียนหานหัวเราะเบาพร้อมตบไหล่บุตรชาย ทั้งยังกล่าว “เมื่อถึงตอนนั้น พ่อจะเข้าแทรกแซงด้วยตนเอง พ่อเชื่อว่าตระกูลเหวินจะไม่ปฏิเสธการตบแต่งกับตระกูลหลี่”
หลี่โม่อวิ๋นถอนหายใจโล่งอก แต่ยังคงกังวลเล็กน้อย
เหวินหลิงเจาขณะนี้คือผู้ได้ก้าวขึ้นเป็นศิษย์ของยอดยุทธ์
ด้วยตัวตนอันโดดเด่นนี้ นางจะยังยินดีเหลียวมองมายังหวานใจครั้งยังเยาว์บ้างหรือไม่?
“ไม่ว่าด้วยอะไร พวกเราจะต้องสู้อย่างสุดตัว!”
หลังสูดลมหายใจเข้าลึก หลี่โม่อวิ๋นจึงตั้งใจมั่น ว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้ได้!
[1] ยอดยุทธ์ ฉายาของผู้บ่มเพาะขอบเขตหลอมกำเนิดหรือก็คือขอบเขตที่สามของวิถียุทธ์