บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 270 ดาบข้ามนภาสะท้านภูผาทลายนที
ตอนที่ 270: ดาบข้ามนภาสะท้านภูผาทลายนที
ตอนที่ 270: ดาบข้ามนภาสะท้านภูผาทลายนที
“เหตุ… เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…”
ชายชราผอมแห้งตกตะลึงอ้าปากค้าง ตกใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมา
ค่ายกลอัคคีสายฟ้าที่เขาวางไว้ แม้แต่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ที่ถูกปิดล้อมอยู่ในนั้น ไม่ตายก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส
ทว่ายามนี้ ซูอี้กลับเดินออกมาอย่างไร้รอยขีดข่วน ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น!
“ที่แท้ คุณชายซูผู้นี้ก็ไม่ธรรมดาเลย”
หวังจั๋วตกใจไปครู่หนึ่ง พลางถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกปลง
ราวกับว่าเขาไม่แปลกใจมากนัก
“ค่ายกลต้านไว้ไม่ไหว มิได้แปลว่าฆ่าไม่ตาย”
ชายชาตรีรูปร่างสูงใหญ่เอ่ยถากถาง แววตาเขาราวกับกระดิ่งสีแดงฉาน แฝงกลิ่นอายโหดเหี้ยมที่ทำให้คนกลัว
พรึบ!
จู่ ๆ ท่ามกลางสายฝนกระหน่ำลงมา เกิดเสียงแผ่วเบาที่มิอาจเห็นได้ดังในอากาศ
ซูอี้จับร่มกระดาษน้ำมันไว้มือหนึ่ง ปล่อยแขนขวาให้ว่าง
ท่ามกลางความมืดมิด ลูกธนูทมิฬเข้มที่ห่างจากซูอี้หนึ่งจั้ง ก็เกิดเสียงระเบิดขึ้น
ทว่านี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เสียงแหลมคมกระชันถี่ดังอยู่ในความมืดประหนึ่งบรรเลงพิณ ท่ามกลางอากาศในทุกทิศทุกทาง พลันมีมีดแหลมคมแทงเข้ามา
มีดแหลมคมเหล่านั้นบางดั่งปีกจักจั่น รูปร่างคล้ายกับใบไม้ แทบจะโปร่งใส ทว่าแฝงไว้ด้วยความดุดันและรวดเร็ว
คล้ายกับอากาศถูกฉีกแยกสะเปะสะปะ
มีดแหลมคมเหล่านั้นปะปนไปกับน้ำฝน ลอยไปมาไม่แน่นอน ยากที่จะเห็นได้ และทำให้รู้สึกยากที่จะป้องกัน
เมื่อเผชิญหน้าการโจมตีอย่างฉับพลัน ไม่ต้องกล่าวถึงยอดยุทธ์ แม้แต่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ ก็คงยากที่จะจับการเคลื่อนไหวของมีดคมแหลมเหล่านั้นได้
ไม่แปลกใจที่คนลงมือจะเชี่ยวชาญการลอบสังหาร และอาศัยม่านน้ำฝนในความมืด จัดการซูอี้ด้วยการโจมตีที่น่าหวาดกลัว
หวังจั๋วแอบพยักหน้า แววตาดุจสายฟ้า จ้องมองซูอี้ที่อยู่ไกล ๆ คล้ายกับอยากดูว่า เขาจะสลายการโจมตีนี้อย่างไร
ทว่าต่างจากที่คาดไว้ ซูอี้ไม่ได้หลบเลี่ยง เพียงเดินมาหาพวกเขาราวกับไม่รู้สึกตัว
เมื่อเห็นมีดแหลมคมราวกับแหที่ปกคลุมไปทั่วเข้ามาประชิด
ในตอนนี้เอง แสงดาบที่มืดดำยิ่งกว่าความมืดมิดปรากฏอยู่ในมือขวาซูอี้ทันที ในความเลือนรางนั้น คล้ายมีเสียงร้องคำรามอย่างดุร้ายดังขึ้นมา
พรึบ!
แสงดาบเปล่งประกาย
มีดแหลมเล็กดุจใบไม้นับหมื่นนับพัน ถูกกวาดออกไปราวกับกระดาษที่อ่อนปวกเปียก ระเบิดเป็นเศษละเอียดรอบตัวซูอี้ห่างไปหนึ่งฉื่อ
ม่านฝนที่เทลงมาอย่างหนัก คล้ายกับถูกฟันด้วยดาบเล่มนี้ นับเป็นความสามารถที่มิอาจหาใครเทียบได้ ช่างน่าตกใจนัก
“นี่…”
ด้านหลังก้อนหินสีดำห่างไปหลายสิบจั้ง ผู้หญิงสวมชุดคลุมดำผู้หนึ่งอดที่จะรู้สึกตกตะลึงมิได้
ด้านหน้านาง มีพิณโบราณตั้งอยู่ นี่คืออาวุธวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างหนึ่ง สายพิณสามารถกลายเป็นคลื่นมีดแหลมคมที่ไร้รูปร่าง โจมตีศัตรูได้
หญิงชุดคลุมดำมีการบำเพ็ญวิถียุทธ์ที่สูงมากอยู่แล้ว และการเล่นพิณนี้ทำให้นางบรรลุขอบเขตแปรสภาพ ย่อมมั่นใจพอที่จะรับมือกับบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ และมากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายตกระกำลำบากได้
ทว่ายามนี้ การโจมตีของนางกลับถูกดาบเล่มนั้นทลายไป!
ทันทีที่นางกัดฟัน หญิงชุดคลุมดำก็ขยับนิ้วเล่นพิณสังหารศัตรูอีกครา
และในตอนนั้น เสียงถอนหายใจเบาเย็นชาก็ดังขึ้น
“เคล็ดวิชาลอบสังหาร หากล้มเหลวในการโจมตีเพียงครั้งเดียว ก็จะหนีไปอย่างน่าละอายหลายพันลี้ โดยไม่มีความลังเล ทว่าเจ้า… กลับไม่เหมาะที่จะเป็นนักฆ่า”
น้ำเสียงยังคงดังก้องอยู่ หญิงชุดคลุมดำยังมิทันได้ตอบโต้ ก็มีปราณดาบกวัดแกว่งลงมา
แควก!!
สายพิณขาดไปพร้อมกัน และตัวพิณก็ถูกตัดขาดครึ่ง
หญิงชุดคลุมดำยังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น รอยเลือดแนวดิ่งจากหน้าผากนาง ไหลไปตามปลายจมูก ริมฝีปาก คาง ลำคอ ทรวงอกไปจนถึงด้านล่าง
“วิชาดาบยอด… ยอดเยี่ยม…”
น้ำเสียงขาด ๆ หาย ๆ ถูกพ่นออกมาจากหญิงชุดคลุมดำ
จากนั้น ร่างไร้เสียงของนางก็แบ่งออกเป็นสองส่วน ล้มไปบนพื้นทั้งสองด้าน คล้ายกับผลไม้ถูกผ่า เลือดแดงฉานไหลทะลักออกมาราวกับน้ำตก
ครั้นมองซูอี้ เขาเพียงก้าวเดินเข้าไปท่ามกลางสายฝนอย่างไม่สนใจใคร
น้ำฝนที่ไหลตกลงมาจากรอบ ๆ ร่มกระดาษน้ำมัน โดยไม่เปื้อนเสื้อเขาเลยแม้แต่น้อย
ครั้นเห็นภาพนี้จากที่ไกล ๆ ใบหน้าหวังจั๋วพลันเคร่งขรึมขึ้น “เถี่ยคง ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องลงมือแล้ว”
อีกด้านหนึ่ง ชายชาตรีรูปร่างสูงใหญ่พยักหน้า
ตูม!
ร่างเถี่ยคงประหนึ่งภูเขา ระเบิดไอชั่วร้ายออกมาทันที ดวงตาเขาแดงฉาน ผิวทั่วร่างมีขนสีดำดั่งเข็มเหล็กงอกขึ้นมา
“เปิด!”
เถี่ยคงแผดเสียงตะโกน เสียงสั่นสะเทือนไปทั่วท้องฟ้า เหมือนกับเสียงคำรามของฟ้าร้อง
ไม่ไกลนัก ซูอี้ที่ใกล้เดินออกมาจากลานขนาดใหญ่ในจุดพักม้าหลงเฉียวหยุดชะงักฝีเท้าทันที เขากวาดสายตาไปทั่ว พลันเห็นบริเวณรอบ ๆ มีร่างสิบแปดร่างจู่โจมเข้ามา
ร่างเหล่านี้ มีทั้งหญิงทั้งชาย และไอทำลายล้างที่อยู่ทั่วร่างก็ก่อตัวเป็นค่ายกลรบพิเศษ
ตูม!
ลมปราณบนร่างของพวกเขาประสานเข้าด้วยกัน คล้ายกับร่าง ๆ หนึ่ง และทั้งหมดก็รวมตัวกันเข้าไปในร่างสูงใหญ่ของเถี่ยคง
เห็นได้ชัดว่า ลมปราณบนร่างของเถี่ยคงพุ่งสูงขึ้นทันที …ด้วยอานุภาพที่ทรงพลัง มันมากเสียจนทำให้น้ำฝนที่เต็มท้องฟ้าแตกกระจายออก
ภาพนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างมิต้องสงสัย
เมื่อเปรียบเทียบกับบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อย่างเซี่ยโหวหลินและไฉ่จิงไห่ พวกเขาสองคนนับว่าด้อยกว่ามาก
แม้แต่พลังแข็งแกร่งเฉกเช่นปีศาจเฒ่าฮวาหลิวเยว่รองประมุขพรรคมารหยิน ก็ไม่มีความน่าสะพรึงกลัวอย่างเถี่ยคง
นี่คือผลจากการใช้ค่ายกลรบที่รวมร่างทั้งสิบแปดร่างเข้าด้วยกัน ทำให้กำลังรบบนร่างเถี่ยคงยิ่งระเบิดสูงขึ้นอีกหลายเท่า!
“ด้วยวิธีนี้ พวกเราน่าจะพาเจ้าหนุ่มผู้นี้ไปได้…”
หวังจั๋วลูบแมวดาวทมิฬที่อยู่ในอ้อมแขน ในใจรู้สึกสงบลงไม่น้อย
เถี่ยคงคือ ‘วิญญาณปีศาจ’ ที่น่าสะพรึงกลัวกว่าสัตว์ปีศาจระดับเก้า ร่างกายของเขามีพลังวานรมาตั้งแต่กำเนิด พลังมากพอที่จะเทียบเท่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ได้
และร่างทั้งสิบแปดร่างนั้น ต่างก็มีการบำเพ็ญระดับขอบเขตปรมาจารย์ และค่ายกลรบที่แปรสภาพจากพวกเขา มีชื่อว่า ‘ค่ายกลรวมปราณจักรวาล’ มีจุดหมายเพื่อให้พลังและจิตวิญญาณทั้งสิบแปดคน เข้าไปรวมอยู่บนร่างเถี่ยคง
ซึ่งตอนนี้เท่ากับว่าเถี่ยคงได้รับพลังเพิ่มจากปรมาจารย์ทั้งสิบแปดคน!
หวังจั๋วถามกับตัวเอง หากเปลี่ยนเป็นเขาที่ลงมือ และในสถานการณ์ที่ไม่ใช่ไพ่ตาย มันก็คงยากที่จะชนะเถี่ยคงในเวลานี้ได้
“สังหาร!”
สิ้นเสียงคำรามดั่งฟ้าร้อง พลันเถี่ยคงพุ่งโจมตีเข้ามา ร่างสูงใหญ่ราวกับภูเขา ฉีกแยกม่านน้ำฝนที่โปรยลงมา
หลังห่างเป้าหมายไปประมาณสิบกว่าจั้ง เขายกกำปั้นขึ้น พลางทุบออกไปทันที
ตูม!
พลันแรงกำปั้นที่เหมือนกับอาทิตย์โลหิตแสบตาปรากฏออกมาในความมืด ทลายอากาศ นำพาคลื่นไอชั่วร้ายทุบไปทางซูอี้
แววตาซูอี้สงบนิ่ง และเย็นชาเหมือนเดิม
ในตอนที่มีระดับขอบเขตปรมาจารย์ขั้นหนึ่ง เขาสามารถสังหารบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์อย่างเซี่ยโหวหลินได้อย่างสบาย หากใช้พลังทั้งหมดโจมตี ปีศาจเฒ่าฮวาหลิวเยว่ก็คงไม่อยู่ในสายตา
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในยามนี้ที่เขาเป็นถึงปรมาจารย์ขั้นสอง?
ทันใดนั้น
แขนเสื้อชายหนุ่มพลันสั่นไหว สะบัดออกไปทันที
เต๋ากังที่มองไม่เห็นพลันปรากฏออกมา นำพาแสงความร้อนที่พิเศษออกมาด้วย ก่อนที่ลมปราณลึกลับในฟ้าดินจะถูกผสานเข้าด้วยกัน
ตู้ม!!!
พื้นดินทรุดลง อากาศปั่นป่วน
พลังกำปั้นที่เหมือนกับอาทิตย์โลหิตของเถี่ยคงซึ่งชกออกไปในอากาศ ถูกทำลายจนย่อยยับ ประกายไฟสีเลือดสาดกระเด็นออกมา
ซูอี้ปล่อยพลังมากมายจู่โจมไปที่เถี่ยคงอย่างรุนแรง
รูม่านตาดั่งกระดิ่งของเถี่ยคงหดลง เขาแผดเสียงคำรามทันที แขนทั้งสองยกขึ้นราวกับยกภูเขาขนาดใหญ่
ด้านหน้าเขามีแสงสีเลือดแผ่ออก กลายเป็นเกาะสีเลือดหนาประหนึ่งแนวร่องน้ำขวางอยู่ตรงนั้น ทำหน้าที่ป้องกันแรงจู่โจมของซูอี้
ตึง!!
เกาะสีเลือดแผดเสียงขึ้น รุนแรงสนั่นสั่นไหว ปรากฏรอยแยกราวกับใยแมงมุมหนาแน่น แม้ว่าสุดท้ายจะต้านการโจมตีของซูอี้ได้ ทว่าเกาะสีเลือดก็ระเบิดแตกออก
ร่างที่ทรงอานุภาพของเถี่ยคงสั่นไหวเล็กน้อย เลือดลมปั่นป่วน
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกตะลึง
การต้องรับการโจมตีนี้ ทำให้ร่างสิบแปดร่างที่รวมกันภายใต้ ‘ค่ายกลปราณจักรวาล’ สั่นไหวไปพร้อมกัน แต่ละร่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
“ชายหนุ่มที่มีการบำเพ็ญขอบเขตปรมาจารย์ขั้นหนึ่งผู้นี้ น่ากลัวยิ่งกว่าในข่าวลือเสียอีก!”
ในที่ไกล ๆ หวังจั๋วสูดหายใจเข้าลึก ท้ายที่สุดก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป และยากที่จะสงบลงได้
“สังหาร!”
เถี่ยคงไม่รอช้า ในมือปรากฏกระบองสัมฤทธิ์ยาวออกมา เขาย่ำเท้าไปบนพื้นดิน และพุ่งออกไป
ตูม!
ก่อนที่ร่างของเขาจะเข้าไปใกล้ กระบองสัมฤทธิ์ยาวในมือถูกยกขึ้น ตวัดฟาดลงไปอย่างรุนแรง อานุภาพร้ายแรงจนสามารถทลายภูเขาและตัดแม่น้ำได้
ซูอี้มองร่มกระดาษน้ำมันในมือครู่หนึ่ง พลางตัดสินใจไม่ถือมันไว้อีก
ไม่เช่นนั้น ร่มกระดาษที่เปราะบางนี้ คงถูกทำลายจากการต่อสู้แน่ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะไม่เปียกโชกเหมือนหมาตกน้ำได้อย่างไร?
เช่นนั้นคงลำบากเกินไป
ชิ้ง!
เสียงต่ำลึกของดาบดังขึ้น ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าถูกยกขึ้นมาในความมืด และตวัดเข้าไปในอากาศ
ข้ามีหนึ่งดาบที่สามารถตัดสมุทรและขุนเขา!
ว่าแล้วความปั่นป่วนดั่งกระแสน้ำได้มลายหายไปตั้งแต่นั้น
ชั่วพริบตาหนึ่ง ปราณดาบหนึ่งร้อยจั้งถูกกวัดแกว่งออกไปทันที งดงามราวกับพระอาทิตย์ขึ้น
ความมืดมิด ม่านน้ำฝน อากาศ ไอหมอก… ราวกับถูกระเหยเป็นไอ แสงดาบที่ไม่มีสิ่งใดเทียบได้นั้น ทำให้ท้องฟ้าผืนนี้สว่างจ้าขึ้นมา
อานุภาพเหล่านั้นแตกต่างจากก่อนหน้านี้ทั้งหมด
อย่างแรกมาจากซูอี้ที่มีการบำเพ็ญปรมาจารย์ขั้นสอง
อย่างที่สองเป็นเพราะดาบนิลกาฬกลืนฟ้าเคยผ่านการหลอมมาจากซูอี้ และถูกสลักบัญญัติกลืนวิญญาณไว้บนนั้น ซึ่งเดิมทีสามารถดูดซับปราณวิญญาณ ผนวกกับภายในตัวดาบ ณ ยามนี้ ยังมีจิตวิญญาณของนกกระจอกเพลิงยมโลกอยู่
พลังทั้งหมดนี้ล้วนแสดงอานุภาพจาก ‘เพลงดาบสุดปรีดี’ ของซูอี้ อานุภาพเหล่านั้นจะสามารถเทียบเท่าเมื่อก่อนได้อย่างไร?
ทันใดนั้น
ปราณดาบราวกับสายรุ้งสีครามสว่างเจิดจ้าเหมือนมาจากมือของเซียน ตวัดผ่านม่านน้ำฝนที่อยู่ในความมืดลงมาสู่โลกมนุษย์
ชั่วพริบตาหนึ่ง หวังจั๋วขนลุกไปทั้งร่าง พลันมือไม้เย็นเฉียบ
ชายชราที่อยู่ด้านหลังเขายิ่งตกใจจนวิญญาณเกือบออกจากร่าง และส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจกลัว
ด้วยการโจมตีของดาบนี้ ร่างที่มีความสูงหลายจั้งของเถี่ยคง ถูกกระตุ้นด้วยลมปราณอันตรายร้ายแรงอย่างบ้าคลั่ง จำต้องใช้พลังทั้งหมดกวัดแกว่งกระบอกสัมฤทธิ์ยาวต้านทานเอาไว้
แกรก!
ประหนึ่งมีดที่หั่นเต้าหู้ กระบอกสัมฤทธิ์ยาวส่งเสียงหักพังออกมา
จากนั้นร่างสูงใหญ่ของเถี่ยคงที่ลอยอยู่ในอากาศก็ถูกฟันด้วยปราณดาบยาวหนึ่งร้อยจั้งเต็ม ๆ เลือดแดงฉานสาดกระเด็นในความมืด
บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้ถือครอง ‘พลังวานร’ นี้ ก่อนที่จะร่วงลงสู่พื้น ร่างของเขาก็ถูกแบ่งเป็นสองส่วน เลือดและอวัยวะภายในสาดกระจายในอากาศก่อนตกลงมา
ความตายครานี้ เป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนใจยิ่ง
ตูม!
บนผืนดิน มีรอยแยกของดาบยาวร้อยจั้งอย่างชัดเจน ก้อนหินแตกกระจาย ฝุ่นละอองตลบอบอวลขึ้นมา
ครั้นมองร่างสิบแปดร่างที่รวมกันจากค่ายกลรบ คนเหล่านี้เองก็ได้รับผลย้อนกลับที่น่าหวาดกลัว แต่ละคนกระเด็นลอยออกไปสะเปะสะปะ เลือดไหลออกจมูกและปาก กรีดร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
ก่อนหน้านี้ จิตวิญญาณของพวกเขารวมเข้ากับร่างของเถี่ยคง ทว่ายามนี้ด้วยการตายของเถี่ยคง ทำให้พวกเขาได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง!
เพียงดาบเดียวที่ยาวหนึ่งร้อยจั้ง ฟันร่างเถี่ยคง และทลายค่ายกลรบ!
หากไม่เห็นกับตา คงมิอาจจินตนาการได้ว่านี่คือพลังของดาบที่มาจากปรมาจารย์ขั้นสอง?