บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 271 ปราชญ์หลิวฮั่วแห่งสำนักเทียนอิ่น
ตอนที่ 271: ปราชญ์หลิวฮั่วแห่งสำนักเทียนอิ่น
ตอนที่ 271: ปราชญ์หลิวฮั่วแห่งสำนักเทียนอิ่น
ห่างออกไปไม่ไกลนัก หวังจั๋วนิ่งตะลึงอยู่กับที่ตรงนั้น
ในใจของเจ้าตำหนักเทียนสิงหรือราชาเข็มทิศทมิฬแห่งต้าโจว ซึ่งเป็นหนึ่งในสิบบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่เวลานี้ตื่นตระหนกอย่างรุนแรง
เขายอมรับแก่ใจว่าตนเองไม่ได้ประเมินซูอี้ต่ำเลย
มิเช่นนั้นคงจะไม่ทำการดักซุ่มตามแผนการที่ตั้งไว้เป็นอย่างดี
แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าคนหนุ่มอายุสิบเจ็ดอย่างซูอี้คนนี้จะแข็งแกร่งจนถึงขั้นนี้!
ทั้งหมดนี้พลิกผันจากการคาดคะเนและการสันนิษฐานของเขาโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเหตุใดในโลกนี้จึงมีตัวตนที่ร้ายกาจดังอสุรกายเช่นนี้ได้
ฝนยังคงตกไม่หยุด
ผู้เฒ่าร่างผอมที่เคยตั้งค่ายกลอัคคีสายฟ้าเมื่อก่อนหน้านี้ก็เป็นปรมาจารย์ขั้นห้าคนหนึ่ง ทว่าเวลานี้กลับตื่นตระหนกจนหน้าไร้ซึ่งสีเลือด ตัวสั่นงันงก
ห่างออกไป ซูอี้ถือร่มกระดาษน้ำมันเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ด้วยฝีเท้ามั่นคง ชุดสีเขียวสะอาดไร้ฝุ่นแปดเปื้อน
“ยังมีกระบวนท่าอื่นอีกหรือไม่?”
ขณะที่พูด ซูอี้โยนบางอย่างออกไป
ฟิ้ว!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าราวกับรู้ใจ พลันหายไปจากพื้นข้างศพของเถี่ยคง
ภายในตัวดาบที่ดำขลับนั้น มีเงาเลือนรางของนกดุร้ายกำลังกระพือปีก ทำให้ตัวดาบส่ายขยับตามพลางส่งเสียงเสนาะหู
จากตาเปล่า สามารถมองเห็นศพของเถี่ยคงแห้งลงอย่างรวดเร็ว เลือดและปราณที่ตกค้างอยู่ภายในล้วนถูกดาบนิลกาฬกลืนฟ้าดูดซับไปจนไม่เหลือ!
จากนั้น ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าก็กลับมาอยู่ในมือของซูอี้อีกครั้ง
ภาพดูดกลืนเลือดที่แปลกประหลาดพิสดารทำให้หวังจั๋วไม่อาจสงบใจไว้ได้อีก เขากล่าวด้วยความตื่นตะลึงและสงสัย “หรือว่าดาบของเจ้ามีความคิดจิตวิญญาณ?”
ซูอี้ส่ายหน้า “ไม่ถึงเช่นนั้น เพียงแค่ดื่มกินเลือดสด ๆ กับดูดซับพลังลมปราณเป็นเท่านั้น”
หวังจั๋วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่งจึงกล่าวถอนใจ “มิน่าเล่าเจ้าจึงไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด มีศาสตราวิญญาณน่ากลัวเช่นนี้ นอกเสียจากเทพเซียนเดินดินแล้ว มิเช่นนั้น ในใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ฆ่าไม่ได้?”
เห็นได้ชัดว่าเขาเข้าใจผิด มองว่าดาบนิลกาฬกลืนฟ้าเป็นไพ่ไม้ตายของซูอี้
ซูอี้ไม่อธิบายให้มากความ เพียงแต่กล่าวเตือน “สายมากแล้ว”
สีหน้าของหวังจั๋วเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันยิ้มฝืดพลางกล่าว “คุณชายซู หวังผู้นี้นึกถึงตอนเมื่อสักครู่ เรียนเชิญด้วยความนอบน้อมจากใจจริง ไม่ได้คิดให้ร้ายอันใดอย่างเด็ดขาด…”
ซูอี้กล่าวตัดบทด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่ช่วยไม่ได้ อย่างไรเสียเจ้าก็ลงมือแล้ว”
หวังจั๋วกล่าวสีหน้าจริงจัง “แต่หวังผู้นี้กล้ารับประกันได้ว่า ต่อให้เมื่อสักครู่คุณชายซูเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หวังผู้นี้ก็จะไม่ซ้ำเติมเด็ดขาด เพราะอย่างไรเสีย จุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของข้าก็เพื่อเชิญคุณชายเข้าร่วมกองกำลังของข้า”
นิ่งเงียบไปสักครู่ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น “ตอนนี้ คุณชายให้โอกาสหวังผู้นี้ได้ชดเชยความผิดสักครั้งจะได้หรือไม่?”
ซูอี้ตอบ “แต่ข้ามองไม่เห็นความตั้งใจจริง”
หวังจั๋วนิ่งตะลึง ฉับพลันเบนสายตามองไปยังผู้เฒ่าร่างผอมที่อยู่ข้างกายราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษ
“พี่หย่งหมิง ต้องรบกวนเจ้าด้วย”
สีหน้าของผู้เฒ่าร่างผอมเปลี่ยนไปในทันใด พลางกล่าว “นายท่าน ท่าน…”
ปัง!
ยังพูดไม่ทันจบ หัวกะโหลกของเขาก็ถูกทุบจนเละ ร่างล้มพับไปกองกับพื้น
ซูอี้หรี่ตาลงน้อย ๆ พลางส่ายหน้า “ไม่พอ”
หวังจั๋วสูดลมหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นมองดูที่ ๆ ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ที่ตรงนั้นมีร่างคนสิบแปดร่างนอนเกลื่อนกลาด ต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่ก่อตัวเป็น ‘ค่ายกลลมปราณจักรวาล’ เมื่อก่อนหน้านี้
“รีบหนีไป!”
เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาของหวังจั๋ว ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ต่างก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล จึงรีบพากันหนีไป
“ทุกท่าน ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ”
หวังจั๋วถอนใจยาว ๆ ขึ้นมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หายตัว บุกฝ่าเข้าไปในม่านฝน ฆ่าฟันผู้แข็งแกร่งเหล่านั้น
เพียงแค่ชั่วครู่เดียวเท่านั้น ผู้แข็งแกร่งสิบแปดคนก็ถูกฆ่าตายจนหมด ไม่มีใครรอดแม้แต่คนเดียว
หวังจั๋วย้อนกลับมา ก้มหน้ากล่าวด้วยความเศร้าสลดใจ “คุณชายซู ความตั้งใจในตอนนี้เพียงพอหรือไม่?”
ซูอี้เบนสายตามองไปที่แมวดาวทมิฬที่อยู่ในอ้อมอกของเขา ขนของแมวดาวทมิฬลุกชัน ส่งเสียงร้องเหมียวออกมา
พอส่งเสียงร้องขึ้นมา นัยน์ตาสีฟ้าประหลาดจึงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและโมโห
สีหน้าของหวังจั๋วเปลี่ยนไป แล้วกล่าวคำออก “คุณชายซู ฆ่าแมวดาวทมิฬไม่ได้”
ซูอี้เก็บสายตากลับมา กล่าวราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ “เจ้ารู้หรือไม่ ในร่างของมันซุกซ่อนวิญญาณอสูรไว้?”
สีหน้าของหวังจั๋วกระด้างเล็กน้อย รู้สึกเพียงว่าหนังหัวเริ่มชาขึ้นมาตะหงิด ๆ เขากล่าวด้วยความตกใจ “คุณชายมองออกตั้งนานแล้วเช่นนั้นหรือ?”
ซูอี้กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “สัตว์เดรัจฉานน้อยชนิดนี้ ยังไม่อาจหลุดรอดสายตาของข้าซูอี้ไปได้ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าฆ่ามันด้วยตัวเอง ข้าจะให้ทางรอดแก่เจ้า”
สีหน้าของหวังจั๋วดำทะมึนในทันใด กล่าว “คุณชายต้องการจะบีบหวังผู้นี้ให้จนตรอกให้ได้เช่นนั้นหรือ?”
ในอ้อมอกของเขา แมวดำทมิฬตัวนั้นโก่งตัวตั้งท่าเตรียมตัวพร้อม
ซูอี้มองดูหวังจั๋วด้วยสายตาลุ่มลึก แล้วกล่าวคำออก “ข้าทำเช่นนี้เพื่อช่วยให้เจ้าได้เป็นอิสระ หรือว่าเจ้ายินดีที่จะถูกสัตว์เดรัจฉานน้อยตัวนี้บงการไปตลอดชีวิต?”
“เจ้า…” หวังจั๋วตื่นตระหนก
สวบ!
ทันใด แมวดำทมิฬตัวนั้นก็กระโดดขึ้น ตวัดกรงเล็บจนเกิดเป็นลมปีศาจสีดำที่น่ากลัว ข่วนตรงไปที่ซูอี้อย่างแรง
บุกโจมตีรวดเร็ว พละกำลังรุนแรง ไม่ด้อยไปกว่าบรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์เลยแม้แต่น้อย!
ทว่าซูอี้กลับหัวเราะพลันตวัดข้อมือ
ฉัวะ!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้ารวดเร็วประดุจสายฟ้าแลบ แทงทะลุเข้าร่างของแมวดำทมิฬ
“ของสกปรกโสมม อย่าให้ข้าได้เห็นเจ้าอีก!”
เสียงหวีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยวของหญิงสาวดังออกมาจากร่างของแมวดำทมิฬ ครู่ถัดมาร่างหญิงสาวที่เลือนรางดุจภาพลวงตาก็ปรากฏขึ้น
เห็นได้ชัดว่านี่คือร่างวิญญาณ บางเบาและเลือนรางมาก
พอนางปรากฏตัวขึ้นก็กลายร่างเป็นลมปีศาจแล้วหนีไป
ชิ้ง!
ดาบนิลกาฬกลืนฟ้าส่งเสียงดังกังวาน ตัวดาบที่ดำขลับระเบิดพลังของบัญญัติกลืนวิญญาณออกมา พลันราวกับมือขนาดใหญ่ไร้รูปร่างรวบวิญญาณสตรีนางนั้นยัดเข้าสู่ตัวดาบนิลกาฬกลืนฟ้า
“ถึงแม้จะเป็นเสี้ยววิญญาณของข้า แต่เจ้าจะมาล่วงละเมิดไม่ได้!”
ร่างวิญญาณของสตรีนางนั้นระเบิดพร้อมกับเสียงกรีดร้องด้วยความโกรธเกรี้ยว กลายเป็นฝนสะเก็ดไฟหายลับไป
เห็นเช่นนี้แล้ว ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬกลืนฟ้าไม่ใส่ใจต่อคำพูดนั้น
เอื๊อก!
ในช่วงเวลาเดียวกัน เลือดกระอักออกจากปากของหวังจั๋ว กำลังวังชาลดน้อยลงไปในชั่วพริบตา ดูแก่ชราลงไปมาก ผมที่ข้างหูขาวโพลน
เขาทรุดนั่งลงกับพื้นกอดศพของแมวดำทมิฬตัวนั้นแน่นด้วยสีหน้าเลื่อนลอยขาดสติ ดูน่าสมเพชและน่าเศร้าใจยิ่งนัก
ฝนลดแรงกำลังลงไปมาก ทว่ายังตกพรำ ๆ ต่อเนื่อง
ซูอี้ถือร่มกระดาษน้ำมันยืนอยู่อีกด้าน พลางกล่าว “ร่างเดิมของวิญญาณดวงนี้คือผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณเช่นนั้นหรือ?”
“ไม่ผิด”
เสียงของหวังจั๋วแหบแห้งเคร่งขรึม เขาย้อนความทรงจำ “เมื่อตอนยังหนุ่ม ข้าเคยท่องเที่ยวอยู่ในต้าฉิน ได้พบเจอกับหญิงสาวผู้งดงามประดุจนางฟ้าบนสวรรค์เข้าโดยบังเอิญ นางบอกว่าในตัวข้ามีบางอย่าง จึงชี้แนะให้ข้าฝึกตน…”
“และนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ดวงชะตาของข้าก็แปรเปลี่ยนไป”
“วิชาที่ข้าฝึกฝน โอสถที่ข้าดื่มกิน รวมถึงความเข้าใจหนทางแห่งการฝึกตนทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนเป็นนางที่มอบให้แก่ข้า และเป็นเพราะทั้งหมดนี้เช่นกันจึงทำให้ข้าประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้…”
ฟังถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ได้แต่ส่ายหน้า และกล่าว “แต่นางกลับใช้เสี้ยววิญญาณเป็นตัวกักขัง ในช่วงระยะเวลาหลายปีมานี้ นางควบคุมทุกอากัปกิริยาของเจ้า หรือกล่าวได้ว่า นางไม่ได้ชื่นชมเจ้า แต่มองเจ้าเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดอยากจะควบคุมเช่นใดก็ได้”
“ข้ารู้”
แววตาของหวังจั๋วหม่นหมอง กล่าวด้วยความขมขื่น “ข้ารู้มานานแล้ว แต่ใจลึก ๆ ของข้าไม่เคยเลยที่จะเชื่อ หรืออาจกล่าวได้ว่า ข้าหลบหนีเรื่องนี้มาโดยตลอด…”
ซูอี้ตัดบท “เอาล่ะ ข้าไม่สนใจอยากจะฟังเรื่องราวในอดีตที่ไม่สวยงามของเจ้า เจ้าเพียงแต่บอกข้ามาว่ากองกำลังที่เจ้าเข้าร่วมนั้นชื่อว่าอะไร ผู้หญิงคนนี้มีฐานะอันใด จากนั้นก็จงจากไปเสีย”
หวังจั๋วนิ่งเงียบอยู่นานมากจึงกล่าวถอนใจ “คุณชายซูฆ่าเสี้ยววิญญาณของนางแล้ว นางจะต้องกลับมาหาไม่ช้าก็เร็ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าจะบอกให้รู้”
สูดลมหายใจลึก ๆ ไปครั้งหนึ่งแล้วเขาจึงกล่าวออกมาช้า ๆ “กองกำลังที่ข้าเข้าร่วมนั้นมีชื่อว่า ‘สำนักเทียนอิ่น’ ส่วนหญิงสาวที่ชี้แนะให้ข้าฝึกตนนั้น นางเรียกตัวเองว่า ‘ปราชญ์หลิวฮั่ว’ เป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเทียนอิ่น”
สำนักเทียนอิ่น!
ปราชญ์หลิวฮั่ว!
สำหรับซูอี้แล้ว ชื่อนี้เป็นชื่อแปลกใหม่
ทว่าสิ่งที่ทำให้ซูอี้รู้สึกตระหนกเสียยิ่งกว่า นั่นก็คือในอาณาจักรต้าฉินยังมีผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณเช่นนี้อีก
เพราะจากที่เขารู้มา ข่าวคราวส่วนใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณล้วนเกิดขึ้นใน ‘ต้าเซี่ย’ ผู้เป็นใหญ่แห่งมหาทวีปคังชิง
“คุณชายคงจะแปลกใจเช่นกันใช่หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณจึงปรากฏตัวอยู่ในอาณาจักรต้าฉินได้?”
หวังจั๋วสงบใจลงมาบ้างแล้วอย่างเห็นได้ชัด พลางกล่าว “เมื่อก่อนข้าก็เคยสงสัยถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน ต่อมาเมื่อได้คุยกับปราชญ์หลิวฮั่ว ข้าพบว่านางมักจะเอ่ยถึงเรื่องราวในอาณาจักรต้าเซี่ยอยู่บ่อย ๆ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ข้าคิดว่านางอาจจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนของอาณาจักรต้าฉิน แต่เป็นผู้ฝึกตนที่มาจากอาณาจักรต้าเซี่ย”
ซูอี้พยักหน้า “หากเป็นเช่นนี้ ยังพอสมเหตุสมผล แต่เหตุใดผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณจึงไปปรากฏตัวอยู่ในอาณาจักรต้าฉินได้ นางคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หวังจั๋วส่ายหน้าพลางกล่าว “ข้ารู้แต่เพียงว่า หลายปีมานี้ ปราชญ์หลิวฮั่วเสาะได้แสวงหาบุคคลและเรื่องราวที่ผิดปกติไม่ธรรมดามาโดยตลอด ในช่วงหลายปีมานี้ นางให้ข้าคอยจับตามองความเคลื่อนไหวภายในแปดมหาหุบเขามารภายในอาณาจักรโจว”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวต่ออีก “และครั้งนี้ที่พุ่งเจาะตรงมาที่คุณชาย ก็มีเหตุผลในแบบเดียวกัน ปราชญ์หลิวฮั่วคิดว่าในตัวของคุณชายมีพลังพิเศษซุกซ่อนอยู่”
สายตาของซูอี้เกิดประกาย แล้วจึงกล่าว “ที่แท้ก็เช่นนี้เอง”
ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณที่สงสัยว่าจะมาจากอาณาจักรต้าเซี่ย พรางตัวอยู่ในอาณาจักรต้าฉิน ทั้งยังคิดแต่จะเสาะแสวงหาเรื่องราวประหลาดพิสดารในโลกแห่งนี้ ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
ซูอี้ถาม “แล้วสำนักเทียนอิ่นเล่า เป็นกองกำลังของอาณาจักรต้าฉิน หรือว่าเป็นกองกำลังที่มาจากอาณาจักรต้าเซี่ย?”
“เรื่องนี้… ข้าไม่รู้แน่ชัด…”
หวังจั๋วส่ายหน้า “เรียนคุณชายตามตรง จนถึงตอนนี้แม้กระทั่งสำนักเทียนอิ่นอยู่ที่ใด มีศิษย์ในสำนักจำนวนเท่าใด ข้าก็ไม่เคยทราบเลย และในช่วงเวลาหลายปีมานี้ปราชญ์หลิวฮั่วก็ติดต่อกับข้าน้อยมาก”
“มีก็เพียงครั้งนี้ หลังจากที่ทราบเรื่องของคุณชายแล้ว ปราชญ์หลิวฮั่วจึงส่งทาสแมวดาวทมิฬมายังต้าโจว และตามหาข้าจนเจอ”
ฟังจนจบความ ซูอี้ถึงกับหมดคำจะพูด คน ๆ นี้ไม่แตกต่างอะไรไปจากหุ่นเชิดเลย
คิดสักครู่ ซูอี้จึงถามอีกครั้ง “คำถามสุดท้าย เจ้าติดต่อกับหอสิบทิศด้วยวิธีการใด?”
“เรื่องนี้…”
หวังจั๋วหยิบนกหวีดทองเหลืองสีดำรูปร่างคล้ายกับหอยทากออกมาจากอกเสื้อ แล้วกล่าว
“นี่คือนกหวีดของหอสิบทิศ เพียงแต่ใช้พลังการฝึกตนเป่านกหวีดนี้ ขอเพียงอยู่ในเมืองของต้าโจว ไม่นานเท่าใดนักก็จะมี ‘ปักษาเวคิน’ มาหาถึงที่”
“เขียนคำถามที่ตนเองต้องการอยากจะรู้ลงในกระดาษจดหมาย มอบให้ปักษาเวคิน หอสิบทิศก็จะแจ้งให้ทราบในทันใด พร้อมทั้งแจ้งราคาข้อมูลที่ต้องการอยากจะรู้”
“ข้อตกลงในภายหลังปักษาเวคินจะเป็นผู้ดำเนินการจนแล้วเสร็จ”
ซูอี้พยักหน้า พลางรับนกหวีดทองเหลืองสีดำชิ้นนั้นมา
พิจารณามองดูคร่าว ๆ ก็พบว่านี่คือของอาคมขนาดเล็กกะทัดรัดงดงามมากชิ้นหนึ่ง ภายในแกะสลักรูปสัญลักษณ์ลึกลับเป็นเอกลักษณ์ คนธรรมดาทั่วไปยากจะลอกเลียนแบบได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีราคาแพงมากมายนัก
“ใช้วิธีเช่นนี้ทำการติดต่อซื้อขายข้อมูลข่าวสาร ดูท่าแล้วหอสิบทิศแห่งนี้จะลึกลับระมัดระวังยิ่งกว่าที่ข้าคาดคิดไว้มาก…”
ขณะที่ครุ่นคิด ซูอี้แหงนหน้ามองดูท้องฟ้า “เจ้าว่า บนท้องฟ้าที่ไกลออกไปหลายพันจั้งในตอนนี้ จะมีปักษาเวคินจับตามองดูเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้หรือไม่?”