บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 273 จิตสัมผัส
ตอนที่ 273: จิตสัมผัส
ตอนที่ 273: จิตสัมผัส
กลางป่าเขา
ซูอี้เดินทางเพียงลำพังคนเดียว
ช่วงเวลาเช้าตรู่ แสงแดดส่องสว่างทั่วฟ้า ต้นไม้ใบหญ้าชุ่มชื้น ภูเขาลำเนาไพรมีชีวิตชีวา สรรพสิ่งทั้งหลายสวยสดงดงามราวกับปกคลุมด้วยผ้าแพรที่เฉิดฉายไฉไล เต็มไปด้วยความกระชุ่มกระชวย
ในป่าเขาพนาไพรที่ไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงแต่เสียงนกแมลงร่ำร้อง สัตว์ป่าร้องคำราม
ซูอี้ลัดเลาะอยู่ท่ามกลางไพรพนา ระหว่างทางชื่นชมแสงตะวันยามรุ่งอรุณ มองดูเมฆบนฟ้าลอยละล่อง จิตใจใสสงบนิ่ง
สิ่งที่พบและเห็นตลอดทางที่มานี้แปรเปลี่ยนเป็นการรับรู้อย่างละเล็กละน้อย กลั่นกรองจิตใจตัวเองให้บริสุทธิ์
ดังคำกล่าวที่ว่าชมความงดงามแห่งฟ้าดิน สัมผัสเสน่ห์แห่งธรรมชาติ จิตใจยิ่งผสานเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งได้ง่าย
ในสายตาของผู้ฝึกตนบำเพ็ญแล้วนี่ก็คือ ‘ฟ้าคนรวมเป็นหนึ่ง’ นั่นเอง
สำหรับผู้ฝึกตน การเก็บตัวนั่งกรรมฐาน การรบราฆ่าฟัน โลกวุ่นวายฝึกจิตล้วนเป็นการฝึกตน… รับรู้ถึงธรรมชาติทั้งมวลยิ่งเป็นการกลั่นกรองตนเองอีกแบบหนึ่ง เป็นขั้นตอนการเข้าใกล้มหาวิถี
ตลอดทาง จิตใจของซูอี้ว่างเปล่า ผ่อนคลายปล่อยสบาย สงบใจสัมผัสรับรู้ต่อทุกสิ่งที่ได้พบเห็นตลอดทาง โดยไม่รู้สึกตัว พลังลมปราณในตัวล้วนได้รับการยกระดับสูงขึ้น
จนกระทั่งมาถึงกลางป่าทึบต้นไม้รกชัฏ ทุกสิ่งที่เห็นพลันมืดลง ใบไม้ดกครึ้มบดบังแสงแดด ในป่าทึบอับชื้นอึมครึม
ชั่วขณะนี้เองซูอี้พลันหยุดเดิน
ภายในจิตวิญญาณของเขาพลันสั่นสะท้านขึ้นมาน้อย ๆ
จากนั้นในจิตวิญญาณของซูอี้ปรากฏพลังลี้ลับคล้ายกับเมล็ดพันธุ์พืชที่กำลังแตกหน่อผุดออกมาจากแผ่นดินอันกว้างใหญ่
ฉับพลันป่าทึมที่อึมครึมอับชื้นตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนไป เกิดมีสีสันหลากหลายมองเห็นได้อย่างชัดเจน
รอยปริของเปลือกไม้ที่ค่อย ๆ แผ่กระจายบนต้นไม้ สายใยเล็กละเอียดเป็นเส้น ๆ บนใบไม้ หรือแม้กระทั่งฝุ่นละอองที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ… ล้วนสะท้อนปรากฏอยู่ในห้วงความนึกคิดของซูอี้
ในรังมดใต้ดินที่อยู่ห่างออกไปสิบจั้ง มดกลุ่มหนึ่งกำลังเข้า ๆ ออก ๆ รัง
บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกลนัก งูเขียวซ่อนตัวอยู่ในพุ่มใบไม้ จ้องจับตาดูนกน้อยที่กำลังจัดแจงขนของตัวเองอยู่ไม่ไกล
ห่างออกไปอีก หยดน้ำค้างหยดหนึ่งกำลังไหลร่วงจากใบไม้เขียวแผ่นหนา ขณะที่หยดน้ำค้างร่วงหล่นกระจายตัวกลีบดอกหกแฉก…
ฉับพลันเสียงอันแผ่วเบาต่าง ๆ นานาก็ผุดขึ้นมา มีทั้งเสียงแมลง เสียงนกร้อง เสียงลมพัดใบไม้ เสียงแมงมุมถักทอใย…
แม้กระทั่งเสียงกระแสลมที่เคลื่อนไหวก็ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
เพียงครู่เดียว ทุกสิ่งในใต้หล้าที่ซูอี้รับรู้และมองเห็นก็แปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม
นิ่งเงียบเพื่อสัมผัสรับรู้อยู่นานมาก รอยยิ้มแห่งความพึงพอใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูอี้ ในดวงตาที่ลุ่มลึกส่อแววแห่งความยินดีและปีติออกมา
“จิตสัมผัส!”
ตั้งแต่ฝึกวิชาลับจิตวิญญาณ ‘คัมภีร์เขากลายสู่อิสระ’ ที่จวนตระกูลเหวินแห่งเมืองกว่างหลิง ในที่สุดพลังจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ก็บรรลุถึงเนื้อแท้ สั่งสมพลังแห่งจิตสัมผัสออกมา!
“เมื่ออดีตชาติ กว่าข้าจะสั่งสมพลังแห่งจิตสัมผัสออกมาได้ มันก็เป็นตอนที่ข้าย่างก้าวสู่บรรพจารย์ยุทธ์ปฐมสวรรค์แล้ว ทว่าตอนนี้ข้าสามารถฝึกฝนพลังระดับนี้ได้ในขอบเขตปรมาจารย์”
ดวงตาของซูอี้ส่องสว่าง
โดยทั่วไปแล้ว จิตสัมผัสนี้มีแต่ผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกพลังแห่งจิตสัมผัสรับรู้
มีจิตสัมผัสเป็นการแสดงว่าสามารถสังเกตเบาะแสมหาวิถีในโลกหล้าได้อย่างละเอียดลออยิ่งกว่า และยังสามารถรับรู้ถึงจังหวะวิถีลี้ลับของสรรพสิ่ง
ในการฝึกตน อาศัยจิตสัมผัสก็สามารถรู้สึกได้ถึงทุกรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอกตัว เพิ่มเติมเสริมแต่งจนเกิดความสมบูรณ์บรรลุถึงความละเอียดอ่อน
ในระหว่างที่ทำการสู้รบ ใช้จิตสัมผัสในการรับรู้สามารถจับรายละเอียดที่ตาเปล่าไม่อาจมองเห็นได้ ความเปลี่ยนแปลงของพลังฝ่ายศัตรู กลิ่นอายของวัตถุล้ำค่า กระแสไหลเวียนในผืนแผ่นดิน…
ล้วนสามารถสะท้อนสู่สมองได้ภายในชั่วพริบตา!
เหตุใดผู้ฝึกตนวิถีต้นกำเนิดจึงได้แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น?
ไม่เพียงแต่เป็นเพราะพวกเขาสามารถกินลมดื่มน้ำค้าง เหาะเหินเดินอากาศ สามารถควบคุมอัสนีวายุ มีพลังสามารถฆ่าคนระยะไกลได้เท่านั้น ยังเป็นเพราะเมื่อจิตสัมผัสของพวกเขากวาดมองก็สามารถจับโอกาสดีมากมายได้ในเฉียบพลัน ในเวลาที่ฝ่ายศัตรูยังไม่ทันได้ตอบโต้ก็สามารถฆ่าฝ่ายศัตรูได้ก่อน!
แน่นอน หากล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่มีจิตสัมผัสต่อสู้กัน ไม่เพียงแต่จะประลองกันในด้านจิตสัมผัสเท่านั้น ยังประลองกันในด้านการฝึกตน ของวิเศษ วิชาและวิธีการต่อสู้ เป็นต้น
กล่าวโดยง่ายคือบนหนทางแห่งวิถีต้นกำเนิด จิตสัมผัสคือพลังที่ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนมีไว้ในครอบครอง เป็นสิ่งธรรมดาทั่วไป ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก
ทว่ามีจิตสัมผัสในวิถียุทธ์ขอบเขตที่สี่ เท่ากับมีอาวุธร้ายกาจอานุภาพร้ายแรงน่ากลัวอย่างไม่ต้องสงสัย!
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกประหลาดใจ
ตามประสบการณ์เมื่อในอดีตชาติ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีคนใดในขอบเขตหลอมกำเนิดสามารถฝึกจิตสัมผัสได้สำเร็จ
เพราะอย่างไรเสีย วิถียุทธ์ก็เป็นขอบเขตแห่งคนธรรมดาทั่วไป ยังไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่แท้จริง
เช่นนี้เปรียบได้กับภายในร่างคนธรรมดาทั่วไปมีพลังของผู้ฝึกตน เรียกได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ยิ่งนัก!
“ในอดีตไม่เคยได้ยิน ใช่ว่าจะไม่มีอยู่ หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้กลับตัวบำเพ็ญอีกครั้ง ข้าไหนเลยจะรู้ได้ว่าที่แท้แล้วอยู่ในขอบเขตหลอมกำเนิดก็สามารถฝึกฝนจิตสัมผัสได้สำเร็จ?”
“ที่ข้าสามารถทำได้จนถึงขั้นนี้ เป็นเพราะรากฐานมหาวิถีล้ำลึกเกินธรรมดา แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคงจะมาจากการประยุกต์ใช้ ‘คัมภีร์เขากลายสู่อิสระ’ เป็นแน่”
ซูอี้ครุ่นคิด
ผลการฝึกตน จิตวิญญาณ และร่างกาย สามสิ่งนี้คอยส่งเสริมและเพิ่มเติมซึ่งกันและกัน
ฝึกลมปราณเพื่อฝึกร่างกายให้แข็งแกร่ง เมื่อร่างกายแข็งแกร่งจึงสามารถเพาะเลี้ยงจิตวิญญาณ
ในเก้ามหาแดนดิน ผู้ฝึกตนบำเพ็ญคนใดก็ตามที่มีปณิธานสู่ ‘ขอบเขตจักรพรรดิ’ เริ่มแรกแห่งการฝึกตนล้วนฝึกฝนและขัดเกลาจิตวิญญาณไปด้วยในตัว
ทว่าการฝึกจิตวิญญาณนั้นมีความเข้มงวดมาก เพราะเมื่อจิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บ ก็เท่ากับว่าวิถีได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
ดังเช่นกองกำลังระดับสุดยอดในเก้ามหาแดนดิน เมื่อลูกศิษย์ฝึกร่างกายจนถึง ‘ขอบเขตรวบรวมลมปราณ’ แล้วจึงทำการทดสอบคัดเลือกอย่างเข้มงวด ผู้ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมจึงจะได้รับการถ่ายทอดวิธีการฝึกจิตวิญญาณแบบตัวต่อตัวจากผู้อาวุโสในสำนัก
สาเหตุที่เมื่อชาติก่อนซูอี้หยุดชะงักอยู่ที่ ‘ขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ’ ขั้นสมบูรณ์ และไม่อาจก้าวถึงหนทางวิถีที่สูงยิ่งขึ้นได้ นอกจากโชคชะตาและโอกาสที่ไม่เพียงพอแล้ว จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งไม่พอก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อกลับมาฝึกตนอีกครั้งในโลกนี้ เพื่อไม่ให้เดินย้อนรอยเดิมกับเมื่อชาติก่อน ซูอี้ได้ขบคิดอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว สุดท้ายจึงเลือกใช้ ‘คัมภีร์เขากลายสู่อิสระ’ ฝึกจิตวิญญาณ
วิธีการฝึกจิตวิญญาณด้วยวิธีนี้ ในอดีตชาติ เขาได้รับมันมาจากการศึกษาโซ่เทวะทั้งเก้าที่ผนึก ‘ดาบเก้าคุมขัง’!
ในภายหลัง ด้วยพลังแห่งการรับรู้ประกอบกับสติปัญญาของตัวเอง จึงเขียนเป็นเคล็ดลับการฝึกจิตสัมผัสบทที่หนึ่งออกมาได้
กล่าวอย่างเข้มงวด ควรจะถือได้ว่าเขาใช้สติปัญญาและประสบการณ์การฝึกตนหนึ่งแสนแปดพันปีของตัวเอง ประกอบกับการรับรู้ที่ได้จากสิ่งที่ผนึกดาบเก้าคุมขังนั่น สุดท้ายจึงคิดค้นเป็นเคล็ดวิชาจิตวิญญาณ
ทว่าตอนนี้ อยู่ในขอบเขตปรมาจารย์ขั้นสองเท่านั้นก็ฝึกพลังแห่ง ‘จิตสัมผัส’ ได้แล้ว เพียงเท่านี้ก็สามารถแสดงให้เห็นได้ว่า ‘คัมภีร์เขากลายสู่อิสระ’ นั้นเยี่ยมยอดเพียงใด
ล้ำลึกยิ่งกว่า ‘พระสูตรบงกชเบิกมรรคาสวรรค์’ ของ ‘แดนบูรพาน้อย’ อันเป็นดินแดนฝึกพุทธอันดับหนึ่งของมหาแดนดิน กับ ‘เคล็ดวิชาแดนเทพนิรันดร์วิญญาณครามเลิศภพ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่เคล็ดวิชาระดับสูงของสำนักเต๋า!
มิเช่นนั้น เหตุใดในช่วงเวลายาวนานที่ผ่านมา สำนักพุทธกับสำนักวิถีจึงไม่เคยปรากฏว่ามีตัวตนที่สามารถฝึกจิตสัมผัสได้สำเร็จในขอบเขตปรมาจารย์?
พักใหญ่ ๆ ซูอี้จึงเก็บความคิดกลับมา
“ทดสอบจิตสัมผัสของข้าดูสักหน่อย!”
ซูอี้ตั้งสติ ในห้วงแห่งความคิด จิตสัมผัสดวงหนึ่งพุ่งออกไป
หนึ่งจั้ง ห้าจั้ง สิบจั้ง ยี่สิบจั้ง…
เมื่อพุ่งไปถึงสามสิบจั้ง ไม่ว่าซูอี้จะพยายามผลักดันสักเพียงใด ทว่าจิตสัมผัสก็ไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้อีกแม้แต่นิ้วเดียว
โดยไม่ต้องสงสัย ด้วยพลังจิตวิญญาณของเขาในตอนนี้ จิตสัมผัสรับรู้มากสุดไปได้ไกลเพียงระยะสามสิบจั้งเท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ซูอี้ก็พึงพอใจมากแล้ว
เพราะนี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น!
เมื่อฝึกจิตสัมผัสออกมาได้ พลังจิตวิญญาณอันลี้ลับเช่นนี้จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นตามการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ขอบเขตของการสัมผัสที่รับรู้ได้ก็มีแต่จะขยายกว้างมากขึ้น
“ไม่เลว ไม่เลว”
ถึงแม้จิตสัมผัสที่ฝึกฝนออกมาได้ในตอนนี้จะค่อนข้างอ่อนแออยู่สักหน่อย ทว่าล้ำค่าก็ตรงที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง เช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการสร้างรากฐานจิตวิญญาณอันแรงกล้าแล้ว!
เก็บจิตสัมผัสกลับมา ซูอี้รู้สึกปลื้มเปรมขึ้นไม่น้อย
หากว่าเป็นเมื่อก่อน บางทีเขาอาจจะยังหวาดเกรงเทพเซียนเดินดินในโลกสามัญ
เพราะอย่างไรเสีย บุคคลระดับนี้ล้วนมีจิตสัมผัส สำหรับเขาที่เพิ่งสำเร็จขอบเขตปรมาจารย์แล้ว ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ประมือด้วยยากมาก
ทว่าเวลานี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนเดินดิน เขาก็สามารถงัดข้อด้วยได้!
สวบ!
ฉับพลัน มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ในความรับรู้ของซูอี้ก็จับเบาะแสของปักษาเวคินได้
ถึงแม้ความเร็วของปักษาเวคินจะรวดเร็วประดุจสายฟ้าแลบ ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้การไล่ติดตามของจิตสัมผัส มันก็ยังคงเชื่องช้าอย่างเห็นได้ชัด
ซูอี้หัวเราะขึ้นมา
ไม่ใช่เพราะความเร็วของฝ่ายตรงข้ามลดลง แต่เป็นเพราะการดักจับของจิตสัมผัส จึงทำให้ปฏิกิริยาของตนเองรวดเร็วขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“อาศัยเพียงแค่จิตสัมผัส ก็เพียงพอที่จะทำให้ความได้เปรียบในการต่อสู้ของข้ามีเพิ่มมากขึ้น!”
ขณะที่ซูอี้กำลังครุ่นคิด ปักษาเวคินก็โฉบมาถึง โยนจดหมายฉบับหนึ่งให้
ซูอี้รับมาเปิดอ่าน ในจดหมายลับเขียนไว้เพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น
‘ทำตามความปรารถนาของคุณชายซู’
เห็นเช่นนี้ ซูอี้พยักหน้า ความไม่พอใจที่มีต่อหอสิบทิศลดน้อยลงไปมาก จากคำกล่าวประโยคนี้ก็สามารถมองออกว่าฝ่ายตรงข้ามรู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวพอ
เพื่อไม่ให้เสียเวลามากไปกว่านี้ ซูอี้จึงมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้าต่อ
สาเหตุที่เลือกเดินทางไปนครหลวงด้วยเท้า ประการที่หนึ่งเพื่อชื่นชมทัศนียภาพระหว่างทางได้ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ…
ให้โอกาสฝ่ายศัตรูได้เตรียมรับมือเขา!
ด้วยเหตุนี้ซูอี้จึงไม่ร้อนใจนัก เขายังหวังเสียด้วยซ้ำว่าระหว่างทางจะได้เจอศัตรูบุกมาหาเขาถึงที่บ้าง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
จากช่วงเช้าตรู่จนถึงเย็น ซูอี้ลัดเลาะอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร นอกจากเจอสัตว์อสูรที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือบางตนแล้ว ก็ไม่ได้เจอศัตรูคนใดแม้แต่คนเดียว
ถึงแม้ซูอี้จะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ทว่าเขายังคงคร้านจะคิดให้มากความ
จนกระทั่งใกล้จะถึงกลางคืน ซูอี้ก็มาถึงริมลำธารกลางป่า รอบด้านซึ่งเต็มไปด้วยป่าทึบต้นไม้สูงชะลูด
ท้องฟ้ามืดมิด หมอกควันปกคลุมทั่วป่า
“ผ่านพ้นเทือกเขาตรงนี้ไป ไม่เกินสองวันก็จะถึงดินแดนที่ตั้งของเมืองจินหลิว เช่นนี้รวดเร็วกว่าที่ข้าคาดเอาไว้มาก…”
ซูอี้แหงนหน้ามองเทือกเขาที่ห่างไกลออกไป เตรียมตัวจะเดินหน้าต่อ
ฉับพลัน…
เสียงร้องคำรามดั่งเสียงฟ้าฟาดของสัตว์อสูรก็ดังขึ้น สั่นสะเทือนจนกิ่งไม้ใบไม้สั่นระริก นกน้อยมากมายตื่นตระหนก
“รีบหนี!”
“ให้ตายสิ เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า ในภูผาเขาวัวแห่งนี้มีสัตว์อสูรน่ากลัวระดับแปดอย่าง ‘พยัคฆ์เพลิงเขาทอง’ ซ่อนอยู่”
“อย่าพูดมาก รีบหนีเร็ว!”
ห่างไกลออกไป ร่างคนกลุ่มหนึ่งก็บุกเข้าหา มีทั้งหญิงและชาย แต่ละคนหน้าตาตื่นตระหนก
คนที่เป็นหัวหน้าคือผู้เฒ่าชุดคลุมยาว ผู้ที่ติดตามอยู่ข้างหลังคือคนวัยหนุ่มสาวสี่คน เป็นชายสามหญิงหนึ่ง
ซูอี้กวาดตามองแล้วเก็บสายตากลับมา
คนเหล่านี้ไม่มีทางเป็นศัตรูที่มาเพื่อต่อกรกับเขาอย่างแน่นอน
เพราะว่าผู้เฒ่าชุดคลุมซึ่งเป็นหัวหน้าคนนั้นเป็นเพียงแค่ปรมาจารย์ขั้นสี่คนหนึ่งเท่านั้น
หากว่าอยู่ในเขตแดนต้าโจว อาจจะเรียกได้ว่าบุคคลระดับสุดยอดในบรรดาผู้ฝึกตนบำเพ็ญ แต่สำหรับซูอี้ในตอนนี้แล้ว ไม่มีความน่ากลัวอันใดหลงเหลืออยู่อีก
ต่อให้ศัตรูที่ต้องการจะประมือกับตนเองจะโง่เขลาสักเพียงไหน ก็ไม่มีทางส่งคนกลุ่มนี้มาตายอย่างแน่นอน
หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่า ภาพตรงหน้าภาพนี้เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น ไม่ใช่แผนการที่เตรียมไว้สำหรับรับมือตนเอง
นึกถึงตรงนี้แล้ว ซูอี้ก็หัวเราะด้วยความผิดหวังระคนประหลาดใจ ไม่ต้องการจะให้ความสนใจอีก